รุ่งเช้า หน้าที่ปกติของภรรยาคือตื่นเช้ามาก็ต้องเตรียมอาหารให้สามี ใบหน้าหวานดูชื่นมื่นเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอนที่โซฟาเหมือนเก่า แต่เป็นการนอนบนเตียงเดียวกันกับตงหยาง ร่างสูงเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน ใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เป็นดังปกติเฉกเช่นทุกครั้ง หากจะถามว่าเขาเคยยิ้มไหม อาจจะเคยแต่น้อยคนนักที่จะเห็น “พี่หยางลงมาแล้วกินมื้อเช้าไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามสามี เมื่อคืนเธอตั้งใจจะคุยเรื่องจะขอไปทำงาน แต่ทุกอย่างมันผิดพลาด คิดว่าเช้านี้น่าจะได้เล่าและได้คำตอบ แต่เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่เย็นชาทำเอารอยยิ้มน้อยๆ ของซิงเหยียนหดหาย “ฉันมีประชุม!” เขาพูดเท่านั้นก็เรียกคนสนิทเข้ามาช่วยถือกระเป๋า เมื่อวานกับตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนละคนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขายังพูดอ่อนหวานแถมยังกอดร่างเธอแน่นจนเช้า นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน เมื่อแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจนลับตาสิ่งที่เธอทำได้คือถอนหายใจ แววตาเริ่มเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อยากบอกอยากเล่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจและไถ่ถามเธอเลย ซิงเหยียนเดินเข้ามาในห้องอาหารสุดหรู เตรียมทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่นานร่างสูงที่ดูสง่าไม่แพ้พี่ชายก็เดินเข้ามาพอดี “เหยียนเหยียน มีอะไรกินบ้าง” “พี่ฉินทำไมวันนี้ลงมาช้าจังเลยคะ” “ก็เมื่อคืนประชุมจนดึกน่ะสิ ไม่รู้จะบ้างานอะไรนักหนา พี่ใหญ่เล่นเปลี่ยนระบบงานใหม่หมด” ที่เขากลับช้าในเมื่อคืนก็เพราะมีประชุม แต่ทำไมมันดันมีกลิ่นเหล้าติดตัวมาด้วย “ประชุมเหรอคะ แต่ดูเหมือนพี่หยางจะดื่มมา” “อ้อ เมื่อคืนเราอยากมาประชุมงานด้านนอก มีไม่กี่คน ก็เลยดื่มกันด้วย” เธอพอจะเข้าใจแล้วจึงไม่ได้ถามตงฉินต่อ เมื่อเห็นว่าเขานั่งลงร่างเล็กก็นั่งตาม ทว่ามันแปลกที่ไม่เห็นหลี่น่าลงมาในเช้านี้ “ไม่ต้องมองหาหรอก แม่คงไม่ลงมาเมื่อกี้ฉันเดินสวนกับอาฟางน่าจะเอาอาหารไปเสิร์ฟบนห้อง” “อ้อ” ก็พอรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบร่วมรับประทานอาหารก็เพราะมีตัวเองมานั่งร่วมทุกมื้อ ซิงเหยียนไม่ได้พูดอะไรให้ตงฉินฟัง อันที่จริงก็อยากจะเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากไปทำงาน แต่ก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต กลัวว่าตงหยางจะโกรธที่ไม่เล่าให้เขาฟังกลับกันน้องชายดันรู้ก่อน เธอเลยเลือกที่จะเงียบจนกระทั่งทั้งคู่กินอิ่ม ช่วงสายของวันนั้น ซิงเหยียนอยากจะนัดพบเพื่อน อยากจะสอบถามเรื่องที่เคยเล่าให้ซูซ่านฟัง และแน่นอนว่าเธอนัดเพื่อนกินมื้อเที่ยงของวันนั้น ณ ร้านอาหาร ซูซ่านไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่ดันชวนพี่ชายมาด้วย พี่ชายที่เป็นเพื่อนตงฉินและมีดีกรีเป็นหมอและยังเป็นหนึ่งในผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งด้วย เมื่อมาถึงสองพี่น้องก็กวาดสายตามอง พอเห็นว่าซิงเหยียนมานั่งรอก่อนแล้วก็รีบทอดน่องยาวไปที่โต๊ะ พร้อมกับระบายรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักเสียงหวาน “มานานหรือยังซิงเหยียน” เธอเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนรักก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ “พึ่งมาได้ไม่นาน” “ฉันลืมบอกเธอว่าชวนพี่ซางมาด้วย” “อ้อ สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวทักทายรุ่นพี่ ก่อนที่สองพี่น้องจะหย่อนสะโพกลงนั่งกับเก้าอี้ บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายก็เพราะคนทั้งสองใบหน้าสดใสไม่ได้ตึงเครียดเหมือนสามีเธอ แถมซูซ่านเป็นคนช่างพูด และยังชวนคุยสนุก ส่วนพี่ชายแม้จะแอบเงียบแต่ก็ไม่ใช่คนหน้าบึ้ง เขายิ้มตอบทุกครั้งเมื่อเรื่องที่น้องสาวเล่ามันน่าตื่นเต้น “ที่นัดออกมากินข้าว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เป็นซูซ่านเองที่ยิงคำถามกลับมาหาคนตัวเล็ก ซิงเหยียนเม้มปากแน่นอยู่สักพัก ก่อนที่จะกลอกตามองทั้งพี่ทั้งน้องสลับกันไปมา “เรื่องที่ฉันถามเธอ เรื่องงาน สรุปที่บริษัทมีตำแหน่งว่างให้ทำไหม” นึกว่าเพื่อนแค่พูดเล่น ซูซ่านมองมาทางพี่ชายที่นั่งอยู่ จากนั้นก็ถอนหายใจ ตำแหน่งว่างมันไม่มีในช่วงนี้ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะให้เพื่อนทำอะไรเพราะบริษัทไม่ได้ใหญ่โต ทว่า “นี่ โรงพยาบาลพี่ซางรับใช่ไหม ได้ยินพี่บอกว่าห้องบัตรขาดคนนี่” “หือ พี่บอกเหรอ” “ใช่ พี่บอกเพราะโรงพยาบาลพี่ออกจะใหญ่ มีหลายแผนก เวลามีคนไข้แผนกบัตรทำไมทัน” เธอพยักหน้าหงึกๆ ให้พี่ชายเหมือนจะเป็นที่รู้กัน จนซูซางต้องเงียบทำเพียงยิ้มแล้วหันมามองหน้าซิงเหยียน ใบหน้าจิ้มลิ้มจ้องมองหน้าของรุ่นพี่เพื่อรอคำตอบ “หากซิงเหยียนทำได้ ก็ไปคุยกับพี่ที่โรงพยาบาลได้” “ขอบคุณพี่ซางนะคะ งั้นวันพรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปที่โรงพยาบาลพี่แล้วกัน” ต้องบอกว่าอยู่ๆ ก็ได้พนักงานของบัตรเพิ่มโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะซิงเหยียนเป็นเด็กน่ารัก ว่าง่ายไม่น่าจะเรื่องมากในการทำงาน หลังจากวันนั้นที่ได้บอกซูซางว่าจะเข้าไปพบ เธอก็พกความมั่นใจเข้าไปยังโรงพยาบาล โดยที่เรื่องนี้ตงหยางไม่รู้ เพราะเขาไม่สนใจเรื่องของซิงเหยียน แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามบอกแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับฟังแถมพูดตัดบททุกครั้ง ส่วนแม่สามี รายนั้นยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่เพราะไม่ต้องทนเห็นหน้าซิงเหยียนทุกวัน เธออยากให้เด็กสาวไปพ้นๆ จากบ้านอยู่แล้ว
สองวันผ่านไป“เป็นไงบ้างโรงพยาบาลดูวุ่นวายไหม”คำถามของคุณหมอหนุ่มรูปหล่อที่มีความสูงราวๆ ร้อยแปดสิบ ใบหน้าคมคายจมูกสันโด่ง ดวงตาดำขลับ รับกับผมสีเข้มเช่นกัน“นิดหน่อย แต่ฉันรู้สึกสนุกกับงานนะ ดีกว่าอยู่ที่บ้านเวลาผ่านเร็วด้วย”สองวันมานี้ ซิงเหยียนออกมาทำงานหลังจากที่ตงหยางออกไปแล้ว อีกทั้งโรงพยาบาลที่ซูซางสังกัดก็ไม่ได้ไกลจากคฤหาสน์อันโอ่อ่า แถมเธอยังเลิกงานตอนสี่โมงครึ่ง ส่วนรอบดึก ที่ต้องผลัดเปลี่ยนเวรกัน หญิงสาวบอกรุ่นพี่ว่าไม่สะดวก ขอทำงานแค่ช่วงเช้า และแน่นอนว่าเส้นสายของคุณหมอหนุ่มย่อมทำได้อยู่แล้วการทำงานของซิงเหยียน เป็นทั้งที่รัก และที่ชังของเพื่อนร่วมงานก็ว่าได้ เพราะคนในนั้นไม่มีใครรู้ว่าเธอแต่งงาน จึงทำให้คนบางกลุ่มมองว่าหญิงสาวเข้ามาเพราะหมอซาง และยังคอยจับตาทั้งคู่อีกด้วยเลิกงาน“ซิงเหยียนจะกลับแล้วเหรอ”เสียงเข้มเอ่ยถาม ในขณะที่ซิงเหยียนสะพายกระเป๋า เดินออกมาจากตัวอาคารมุ่งหน้ามาที่ถนนใหญ่“กลับแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ซางไม่เข้าเวรหรือคะ”“วันนี้พี่ออกเวรแล้ว เอายังงี้เดี๋ยวพี่ไปส่ง”ข้อเสนอนั้นทำเอาซิงเหยียนชะงักไปเล็กน้อย แม้จะรู้สึกถึงความหวังดีและจริงใจที่พี่ชายเพื่อนม
“ฟังนะเหยียนเหยียน ทุกอย่างคือบททดสอบของชีวิต เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนคุณชายก็แค่เชื่อคุณนายมากเกินไป สักวันเขาจะเข้าใจเธอเอง”“กว่าจะถึงวันนั้น ฉันอาจจะไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้แล้วก็ได้”“แค่นี้ก็คิดจะยอมแพ้แล้วเหรอ เธอคิดว่าที่คุณท่านเขียนพินัยกรรมให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่เพราะอะไร ?”เธอเงียบ อันที่จริงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคุณปู่ทำแบบนั้นทำไม ทำไมถึงให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยสนใจเธอสักครั้ง“สักวันเธอจะเข้าใจ”ป้าไฉผู้อาวุโสที่สุดของบ้านพูดขึ้น จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานตามเดิม ส่วนซิงเหยียนก็แอบคิด คิดว่าเหตุผลอะไรได้ที่คุณปู่ต้องทำแบบนั้นหลังจากอาหารในมื้อค่ำเรียบร้อย ทุกคนก็รวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร วันนี้เรียกว่ากินพร้อมหน้า แม้ว่าคุณนายหลี่จะเกลียดลูกสะใภ้แต่ก็ยังมาร่วมโต๊ะ ส่วนตงหยางรายนั้นไม่พูด แต่สิ่งที่ทำคือชำเลืองหางตามองซิงเหยียนบ่อยๆ“พี่ใหญ่ เรื่องที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคนที่ขึ้นตำแหน่งใหม่ ฝ่ายจัดงานไปถึงไหนแล้ว”“เรียบร้อยดี”สองพี่น้องคุยกันแต่ดูเหมือนคุณนายหลี่อยากจะรู้ด้วย ก็แน่ละเธอไม่ได้มีตำแหน่งใดในบริษัท หน้าที่หลักก็แค่เข้าไปดูร้านเพชรที่ตัวเองมีส่วน
เมื่อได้ยินชื่อคุณหมอหนุ่มหล่อใจดี แถมยังเมตตาเธอให้เข้าทำงาน ทำเอาซิงเหยียนยิ้ม เพราะหญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอซูซางที่นี่“คุณหมอซาง ไม่เห็นบอกว่าจะมา”ในขณะที่เธอถาม ดวงตาที่ทอประกายความไม่พอใจก็ฉายขึ้น ตงหยางมองหน้าหมอหนุ่มแล้วหันมามองคนตัวเล็กที่ส่งยิ้มให้“สวัสดีครับคุณหยาง ยินดีที่ได้เป็นแขกในงานของคุณ”คุณหมอหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มไมตรีอย่างที่เขามี ทว่าคนอย่างตงหยางน่ะเหรอจะส่งยิ้มกลับไปให้“ขอบใจ!”คำสั้นๆและน้ำเสียงห้วนห้าว ทำเอาซิงเหยียนต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ตัวสูงกว่า แถมเขายังกระชับกอดเธอแน่นกว่าเดิม“วันนี้ซิงเหยียนสวยมากนะ”“ขอบคุณค่ะ”ก็คงเป็นธรรมเนียมของคนที่ชื่นชมตัวเอง ก็ต้องกล่าวของคุณ การยิ้มก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาอีก ทว่ามันดันสร้างความไม่พอใจให้คนข้างๆ“ซิงเหยียน เธอยิ้มมากไปแล้วนะ”เพียงแค่เขาพูดแบบนั้น ทำเอาซิงเหยียนหันมามองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะหุบยิ้ม มันรู้สึกทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตอนนี้ เธอรู้ดีว่าตงหยางไม่พอใจเท่าไรนักที่ร่างเล็กยิ้มให้คุณหมอหนุ่มแบบนั้น แต่ดูเหมือนซูซ่านเองก็รู้ หญิงสาวจึงรีบชวนพี่ชายไปหาของกินรองท้องทันที“พี่ซางเราไปมุมนั้นดีกว่า ปล่อ
บ้านตระกูลกู้พรึ่บ!!“พี่หยาง” ร่างเล็กประคองร่างของสามีมาถึงห้อง ก่อนจะวางเขาลงบนเตียงกว้าง ตงหยางในเวลาแทบประคองสติไม่อยู่ เพราะเหล้าในงานที่ดื่มไปพอสมควรทำให้เขาเมาอยู่ไม่น้อย“พี่หยาง ถอดเสื้อก่อนไหม”ความหวังดีของเธอยังมีต่อเขา ซิงเหยียนเห็นว่าชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ค่อนข้างหนา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกทับด้วยเสื้อสูทอาจจะทำให้คนเมาขาดสติรู้สึกอึดอัดเธอพยายามพลิกตัวอีกฝ่ายพร้อมดึงเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ก่อนที่มันจะหลุดออกจากนั้นก็เดินเอาไปเก็บ เมื่อมองร่างที่นอนแผ่หลาบนเตียงก็แทบถอนหายใจ วินาทีที่เปลือกตาของเขาปิด มองไม่เห็นดวงตาตุดัน ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ตงหยางก็คล้ายคนที่ไม่ได้มีภัยอะไร ทว่าเวลาที่ดวงตานั้นเปิดออก ทำไมมันดูเยือกเย็นน่ากลัวแปลกๆระหว่างที่ซิงเหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมในตู้พร้อมสาวเท้าเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือถือเครื่องโปรดของเธอมีสายโทร.เข้าครืด ครืดโทรศัพท์“ฮัลโหล”(ซิงเหยียน พรุ่งนี้ซูจะชวนไปกินข้าวที่บ้านหลังเลิกงาน ว่างไหม)“ทำไมเขาไม่โทร.มาบอกเองล่ะคะ ทำไมต้องให้พี่ซางโทร.มา”(พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินว่าแบตฯหมด เลยอยากบอกเธอไว้
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต
คำพูดเหมือนจะปลอบใจซิงเหยียนมากกว่า หญิงสาวเห็นแววตาของตงฉินล่อกแล่กอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตงหยางคงไม่เห็นเธอสำคัญอยู่แล้ว เพราะเขาพูดแบบนั้นตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เธอนอนโรงพยาบาล จะมีแค่พี่ฉินเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนตงหยางไม่เคยถามไถ่กันเลยด้วยซ้ำ“แล้วพี่ไม่ไปทำงานหรือไง”“ยายบื้อ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ว ใครเขาทำงานถึงค่ำกันล่ะ”ก็คงจะมี ขนาดสามีเธอป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง“เหรอคะ”“เอาละ ฉันจะเฝ้าไข้เธอเอง”“พี่ฉิน ฉันว่าพี่กลับไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว พอช่วยเหลือตัวเองได้ อีกอย่างที่นี่เขามีพยาบาล พี่เองก็ต้องพักผ่อน ฉันไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสาร ตงฉินมองหน้าหญิงสาว แม้จะรักซิงเหยียนเหมือนน้องสาว แต่ก็แอบคิดว่าหากพี่ชายดูแลเธอไม่ได้ ตัวเองก็พร้อมที่จะยืนข้างๆ คนตัวเล็ก“ก็ได้ งั้นฉันจะฝากหมอซางไว้แล้วกัน เผื่อมีอะไรให้เขาโทร.หา หมอซางเป็นหมอประจำตัวเธอนะ”“เหรอคะ”ตงฉินลุกขึ้นพร้อมกับจะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของซิงเหยียนเหมือนที่เคยกระทำเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอกลับเอียงหัวออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะความเหมาะสมของ
“พี่ซาง สรุปฉันออกโรงพยาบาลได้ไหม”น้ำเสียงที่เอ่ยถามคล้ายจะหย่อนยานสักนิด ซิงเหยียนเหมือนคนอมทุกข์ ดวงตาของเธอก็ไม่ค่อยสดใสหรือเพราะหญิงสาวอาจจะป่วยอยู่เลยทำให้ทุกอย่างบนใบหน้าเศร้าตามไปด้วย“หากไม่มีไข้ เดี๋ยวเย็นๆ พี่จะเซ็นเอกสารให้ออก แต่จากนี้ถึงเที่ยงต้องรอดูอาการก่อน โอเคไหม”“ขอบคุณค่ะ”“การได้กลับไปนอนที่บ้านก็ยังอุ่นใจกว่าอยู่ที่นี่ จริงอย่างที่ตงฉินบอกว่าเธอไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร คนที่บ้านคงมีแต่พี่ฉินที่เป็นห่วงเธอรวมทั้งป้าไฉด้วยบรรยากาศภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ดูเหมือนจะปกติ ที่บอกว่าปกติเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เงียบอย่างไรก็เงียบอย่างนั้น ประกอบกับผู้คนในบ้านก็ไม่อยู่ จะมีก็แค่คุณนายหลี่เท่านั้นที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะอายุตอนนี้ก็เข้าวัยอาวุโสหกสิบกลางๆ“อาฟาง เมื่อคืนคุณชายใหญ่กลับบ้านมาหรือเปล่า ไม่ใช่ไปนอนเฝ้านางคนใช้ที่โรงพยาบาลหรอกนะ”“ไม่หรอกค่ะคุณนาย เพราะเมื่อคืนนี้รู้สึกว่าคุณชายใหญ่จะไม่ได้เข้าบ้าน แต่เมื่อเช้าเหมือนคุณชายรองรีบออกบ้านแต่เช้าค่ะ”“ตงฉินเลือดพ่อมันแรงจริงๆ บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง เอาเถอะ ดีแล้วที่ตงหยางไม่กลับเข้าบ้าน”“แล้วเรื่องที่คุณซิงเหยียนป่ว
ซิงเหยียนตกใจอยู่เล็กน้อย ต้องแปลกใจว่าเขาไปไหนมาที่ไม่ไปเยี่ยมเธอตั้งแต่เมื่อวาน แต่พอเห็นร่างของหญิงสาวหน้าตาดียืนเคียงข้างแม่สามี ซิงเหยียนยิ่งรู้สึกใจแป้วขึ้นมา“แค่เป็นไข้หวัด ที่จริงเธอน่าจะกินยาก็หายแล้วนะ”“แม่ครับ หากกินยาหายจริง ซิงเหยียนคงไม่หมดสติหรอก ดีเท่าไรแล้วที่มีคนขึ้นไปพบ”เสียงคัดค้านของตงฉินทำเอาผู้เป็นแม่จิปากเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะหันมาทางตงหยาง หมายจะบอกลูกชายให้ขึ้นไปอาบน้ำมากินข้าวเพราะตนมีแขก ทว่า“ไม่ใช่ธุระของนายแล้ว ฉันจะพาซิงเหยียนขึ้นห้องเอง”พูดจบก็รีบมาประคองเมียขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อมาถึงห้องก็ปล่อยร่างของซิงเหยียน ทว่าสิ่งที่เขาควรถามกลับไม่ถาม แต่สิ่งที่ไม่ควรถามดันพูดขึ้น“เธอป่วยแล้วทำไมต้องให้ตงฉินไปรับ ทำไมเรื่องที่เธอป่วยฉันไม่รู้”“พี่หยาง เมื่อวานพี่ฉินเขาบอกว่าโทร.หาพี่แล้ว แต่พี่ไม่รับ”“ทำไมต้องให้ตงฉินเป็นคนโทร. โทรศัพท์เธอไม่มีหรือไง”“ก็ฉันป่วย พี่ก็ได้ยินที่พี่ฉินบอก ฉันสลบและไปฟื้นที่โรงพยาบาล ตอนนี้โทรศัพท์ฉันก็ยังอยู่ที่บ้าน พี่ฉินพึ่งเอาไปให้เมื่อเช้า”“อ้อ ทุกอย่างเลยเป็นตงฉินสินะ ที่คอยใส่ใจเธอ”“ใช่ค่ะ”“ซิงเหยียน!”“พี่หยาง
กลับมาที่ห้องแล้วก็พาตัวของซิงเหยียนมานั่งลงที่ปลายเตียง จากนั้นก็รื้อกระเป๋าหายามาทาให้ เขานิ่งมากไม่พูดไม่จาไม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำว่าจริงหรือเปล่า แต่คนที่ถามดันเป็นซิงเหยียน“พี่คิดว่าฉันทำร้ายเธอหรือเปล่า”“แล้วเธอทำหรือเปล่า”ดวงตานิ่งราวกับว่าตงหยางไร้ความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนซิงเหยียนไม่รู้จะพูดอะไร หากแต่พูดไปแล้วเขาอาจจะหาว่าเธอโกหกก็ได้“เงียบทำไมล่ะ เล่ามาสิ”“ฉันจะเล่าไม่เล่า มันก็ไม่มีความหมายหรอกเพราะคนชั้นต่ำอย่างฉันคำพูดมันไม่มีค่าอยู่แล้ว”“อย่าประชดสิ”“ไม่ได้ประชด...โอ๊ย”“เจ็บเหรอ”“ไม่เจ็บมั้งคะ รอยแดงขนาดนี้”“อย่าถือสาแม่เลย เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้”คนที่ผิดก็ยังถูกปกป้อง จริงอยู่ว่าหลี่น่าเป็นแม่ของเขา แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ลงโทษเธอตามอำเภอใจ ในเมื่อความจริงตัวเองก็ไม่รู้ แต่ซิงเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอนิ่งแล้วจ้องใบหน้าตงหยางผู้เป็นสามี“พี่หยาง!!”“มีอะไร”“สมมุติว่าวันหนึ่งเราต้องหย่ากัน...”นิ้วเรียวที่เกลี่ยยาบนแก้มนวลชะงักไป จากนั้นก็มองใบหน้าหวานอย่างหาคำตอบ“คิดจะหย่ากับฉันเหรอ”“...”ซิงเหยียนยังคงเงียบ แท้จริงก็ไม่อยากจะเอ่ยถามเรื่
สองสาวเดินออกมาจากบ้านพัก เดินชมบรรยากาศตามแนวทางเดิน ด้านล่างเป็นน้ำสีเขียวมรกต ไม่เพียงเท่านั้น ก็ยังเปลี่ยนกันถ่ายรูปเก็บไว้ จังหวะนั้นเสียงแจ้วๆ พูดไม่หยุดก็ดังขึ้น เธอหันไปมองก็เห็นสามีพาสาวหน้าขาวเดินชมบรรยากาศแทนที่จะเป็นซิงเหยียนที่เดินข้างเขาชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมใส่แว่นตาสีดำสนิท เดินล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้านิ่งเฉย แต่คนที่พูดไม่หยุดก็คงเป็นคุณหนูจาง“พี่หยาง นั่นภรรยาพี่นี่คะ”เขาเห็นแต่ที่ไม่อยากพูดอะไร เพราะบุคลิกก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว“ท่านประธานกู้ แทนที่จะพาภรรยาเดินเล่น แต่กลับควงคุณหนูตระกูลดังเดินเล่นแทน แล้วบอกว่ามาฮันนีมูนไม่ทราบว่าฮันนีมูนกับใครกันแน่”เป็นเสียงของซูซ่านที่พูดประชด เธออดไม่ได้ที่จะว่าเขาแทนเพื่อน แต่ถูกซิงเหยียนสะกิดไว้ก่อน“เธอเดินเล่นกับเพื่อนได้ใช่ไหม แม่อยากให้ฉันดูแลลี่ถิง กลัวเธอจะเหงา”ซิงเหยียนมองแต่เธอไม่ได้พูด ความรู้สึกตอนนี้เริ่มไม่ดีเอามากๆ เขาบอกว่าจะมาฮันนีมูนกับเธอ แต่ดันเทคแคร์คนอื่น แบบนั้นมันไม่ให้ค่ากันเลยด้วยซ้ำจังหวะที่เธอเงียบ เสียงโพล่งมาจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น“งั้นพี่พาพวกเธอเดินเที่ยวเองแล้วกัน”เสียงของห
สองพี่น้องชวนกันคุยขณะที่เท้าก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ตงหยางที่เดินตามหลังภรรยาได้ยินทุกคำแต่ก็ไม่ได้พูด ส่วนคนที่อยากพูดด้วยก็เหมือนพยายามยิ้มให้เขาแต่คนหน้านิ่งอย่างตงหยางหรือจะมอง“ตงหยาง ดูสิแม่ได้ห้องเบอร์ไหน”ชายหนุ่มหันมามองแม่พร้อมเอื้อมไปหยิบบัตรคีย์การ์ด บ้านพัก เมื่อเห็นว่าหมายเลขไหนก็กวาดสายตามองตามแถวบ้าน แล้วชี้นิ้วให้แม่ดู“ด้านนั้นครับ”“เดินไปส่งแม่หน่อยได้ไหม”“คุณหนูจางคุณรู้จักใช่ไหม”เขารู้ว่าระดับคุณหนูตระกูลจางย่อมรู้อยู่แล้ว การที่แม่นอนห้องเดียวกับเธอก็ไม่มีอะไรน่าห่วง“เราสองคนเป็นผู้หญิงทั้งคู่ แกจะใจดำไม่เดินไปส่งหน่อยเหรอ”เขาเองก็เป็นคนไม่พูดมากและไม่อยากมีปัญหา เมื่อแม่บอกแบบนั้นก็สาวเท้านำปล่อยให้ซิงเหยียนยืนมอง สายตาของเธอแฝงความเศร้าเต็มเปี่ยม ทำไมกัน แม่สามีถึงรังเกียจเพียงนี้ แถมยังพาหญิงอื่นมาประเคนลูกชาย แค่เอาอีกฝ่ายมาร่วม ร่างเล็กก็มองออกแล้ว“เหยียนเหยียน แม่สามีเธอร้ายมาก แล้วยายคนนั้นก็ไม่รู้จักละอาย รู้ทั้งรู้ว่าพี่หยางแต่งกับเธอแล้วยังกล้ามา หน้าตาก็ดีทำไมหาผัวเองไม่ได้หรือไง”“ช่างเขาเถอะซู ฉันคงชินแล้วละ”“ซิงเหยียน เรื่องของเธอพี่ไม่อยากก้าวก่าย
หลายวันผ่านไปอาการของซิงเหยียนดีขึ้น และได้กลับมาทำงานที่แผนกบัตรที่โรงพยาบาลตามเดิม เพราะไม่อยากให้แม่สามีค่อนแคะเธอ เดี๋ยวจะหาว่าป่วยเพื่อไม่อยากทำงาน ส่วนตงหยางก็เข้าบริษัทเหมือนทุกครั้ง แทบจะไม่มีวันหยุดให้กับครอบครัว คำว่าฮันนีมูนคงไม่มีสำหรับภรรยาคนนี้“เหยียนเหยียน ช่วงวันหยุดเราไปพักผ่อนกันไหม”เสียงแจ้วเสนอ ในขณะที่ตัวของซูซ่านเข้ามาหาเพื่อนในช่วงพักกลางวัน คำว่าพักผ่อนทำให้เธอก็อยากไป แต่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหากับคนที่บ้านหรือเปล่า“พักผ่อนเหรอ ที่ไหนล่ะ”“ฉันอยากไปทะเล ลมเย็นๆ น่าจะดีนะ”“ไม่รู้ว่าฉันจะไปด้วยได้หรือเปล่าน่ะสิ”“ทำไมล่ะ”“ก็...”“อย่าบอกนะว่ากลัวพี่หยางไม่ให้ไป”“บางทีเขาอาจไม่สนใจหรอก แต่ก็อยากบอกให้เขารู้ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีเรื่องตามมาทีหลัง”ซูซ่านก็เหมือนจะเข้าใจเพื่อน เพราะมาเฟียหน้าตายอย่างตงหยางเป็นคนอารมณ์ร้อน หากไม่พอใจก็คงอาละวาด เสียงร่ำลือวงในเธอเองก็พอรู้ ว่าเขาร้ายขนาดไหน“งั้นเธอลองบอกเขาก่อน หากยังไงฉันจะได้ชวนพี่ซางไปด้วย”“อืม”เหมือนจะลำบากใจที่จะบอกว่าอยากไปพักผ่อนกับเพื่อน เธอไม่รู้ว่าตงหยางจะอนุญาตหรือปฏิเสธเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แท
ซิงเหยียนตกใจอยู่เล็กน้อย ต้องแปลกใจว่าเขาไปไหนมาที่ไม่ไปเยี่ยมเธอตั้งแต่เมื่อวาน แต่พอเห็นร่างของหญิงสาวหน้าตาดียืนเคียงข้างแม่สามี ซิงเหยียนยิ่งรู้สึกใจแป้วขึ้นมา“แค่เป็นไข้หวัด ที่จริงเธอน่าจะกินยาก็หายแล้วนะ”“แม่ครับ หากกินยาหายจริง ซิงเหยียนคงไม่หมดสติหรอก ดีเท่าไรแล้วที่มีคนขึ้นไปพบ”เสียงคัดค้านของตงฉินทำเอาผู้เป็นแม่จิปากเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะหันมาทางตงหยาง หมายจะบอกลูกชายให้ขึ้นไปอาบน้ำมากินข้าวเพราะตนมีแขก ทว่า“ไม่ใช่ธุระของนายแล้ว ฉันจะพาซิงเหยียนขึ้นห้องเอง”พูดจบก็รีบมาประคองเมียขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อมาถึงห้องก็ปล่อยร่างของซิงเหยียน ทว่าสิ่งที่เขาควรถามกลับไม่ถาม แต่สิ่งที่ไม่ควรถามดันพูดขึ้น“เธอป่วยแล้วทำไมต้องให้ตงฉินไปรับ ทำไมเรื่องที่เธอป่วยฉันไม่รู้”“พี่หยาง เมื่อวานพี่ฉินเขาบอกว่าโทร.หาพี่แล้ว แต่พี่ไม่รับ”“ทำไมต้องให้ตงฉินเป็นคนโทร. โทรศัพท์เธอไม่มีหรือไง”“ก็ฉันป่วย พี่ก็ได้ยินที่พี่ฉินบอก ฉันสลบและไปฟื้นที่โรงพยาบาล ตอนนี้โทรศัพท์ฉันก็ยังอยู่ที่บ้าน พี่ฉินพึ่งเอาไปให้เมื่อเช้า”“อ้อ ทุกอย่างเลยเป็นตงฉินสินะ ที่คอยใส่ใจเธอ”“ใช่ค่ะ”“ซิงเหยียน!”“พี่หยาง
“พี่ซาง สรุปฉันออกโรงพยาบาลได้ไหม”น้ำเสียงที่เอ่ยถามคล้ายจะหย่อนยานสักนิด ซิงเหยียนเหมือนคนอมทุกข์ ดวงตาของเธอก็ไม่ค่อยสดใสหรือเพราะหญิงสาวอาจจะป่วยอยู่เลยทำให้ทุกอย่างบนใบหน้าเศร้าตามไปด้วย“หากไม่มีไข้ เดี๋ยวเย็นๆ พี่จะเซ็นเอกสารให้ออก แต่จากนี้ถึงเที่ยงต้องรอดูอาการก่อน โอเคไหม”“ขอบคุณค่ะ”“การได้กลับไปนอนที่บ้านก็ยังอุ่นใจกว่าอยู่ที่นี่ จริงอย่างที่ตงฉินบอกว่าเธอไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร คนที่บ้านคงมีแต่พี่ฉินที่เป็นห่วงเธอรวมทั้งป้าไฉด้วยบรรยากาศภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ดูเหมือนจะปกติ ที่บอกว่าปกติเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เงียบอย่างไรก็เงียบอย่างนั้น ประกอบกับผู้คนในบ้านก็ไม่อยู่ จะมีก็แค่คุณนายหลี่เท่านั้นที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะอายุตอนนี้ก็เข้าวัยอาวุโสหกสิบกลางๆ“อาฟาง เมื่อคืนคุณชายใหญ่กลับบ้านมาหรือเปล่า ไม่ใช่ไปนอนเฝ้านางคนใช้ที่โรงพยาบาลหรอกนะ”“ไม่หรอกค่ะคุณนาย เพราะเมื่อคืนนี้รู้สึกว่าคุณชายใหญ่จะไม่ได้เข้าบ้าน แต่เมื่อเช้าเหมือนคุณชายรองรีบออกบ้านแต่เช้าค่ะ”“ตงฉินเลือดพ่อมันแรงจริงๆ บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง เอาเถอะ ดีแล้วที่ตงหยางไม่กลับเข้าบ้าน”“แล้วเรื่องที่คุณซิงเหยียนป่ว
คำพูดเหมือนจะปลอบใจซิงเหยียนมากกว่า หญิงสาวเห็นแววตาของตงฉินล่อกแล่กอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตงหยางคงไม่เห็นเธอสำคัญอยู่แล้ว เพราะเขาพูดแบบนั้นตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เธอนอนโรงพยาบาล จะมีแค่พี่ฉินเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนตงหยางไม่เคยถามไถ่กันเลยด้วยซ้ำ“แล้วพี่ไม่ไปทำงานหรือไง”“ยายบื้อ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ว ใครเขาทำงานถึงค่ำกันล่ะ”ก็คงจะมี ขนาดสามีเธอป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง“เหรอคะ”“เอาละ ฉันจะเฝ้าไข้เธอเอง”“พี่ฉิน ฉันว่าพี่กลับไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว พอช่วยเหลือตัวเองได้ อีกอย่างที่นี่เขามีพยาบาล พี่เองก็ต้องพักผ่อน ฉันไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสาร ตงฉินมองหน้าหญิงสาว แม้จะรักซิงเหยียนเหมือนน้องสาว แต่ก็แอบคิดว่าหากพี่ชายดูแลเธอไม่ได้ ตัวเองก็พร้อมที่จะยืนข้างๆ คนตัวเล็ก“ก็ได้ งั้นฉันจะฝากหมอซางไว้แล้วกัน เผื่อมีอะไรให้เขาโทร.หา หมอซางเป็นหมอประจำตัวเธอนะ”“เหรอคะ”ตงฉินลุกขึ้นพร้อมกับจะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของซิงเหยียนเหมือนที่เคยกระทำเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอกลับเอียงหัวออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะความเหมาะสมของ
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต
บ้านตระกูลกู้พรึ่บ!!“พี่หยาง” ร่างเล็กประคองร่างของสามีมาถึงห้อง ก่อนจะวางเขาลงบนเตียงกว้าง ตงหยางในเวลาแทบประคองสติไม่อยู่ เพราะเหล้าในงานที่ดื่มไปพอสมควรทำให้เขาเมาอยู่ไม่น้อย“พี่หยาง ถอดเสื้อก่อนไหม”ความหวังดีของเธอยังมีต่อเขา ซิงเหยียนเห็นว่าชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ค่อนข้างหนา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกทับด้วยเสื้อสูทอาจจะทำให้คนเมาขาดสติรู้สึกอึดอัดเธอพยายามพลิกตัวอีกฝ่ายพร้อมดึงเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ก่อนที่มันจะหลุดออกจากนั้นก็เดินเอาไปเก็บ เมื่อมองร่างที่นอนแผ่หลาบนเตียงก็แทบถอนหายใจ วินาทีที่เปลือกตาของเขาปิด มองไม่เห็นดวงตาตุดัน ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ตงหยางก็คล้ายคนที่ไม่ได้มีภัยอะไร ทว่าเวลาที่ดวงตานั้นเปิดออก ทำไมมันดูเยือกเย็นน่ากลัวแปลกๆระหว่างที่ซิงเหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมในตู้พร้อมสาวเท้าเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือถือเครื่องโปรดของเธอมีสายโทร.เข้าครืด ครืดโทรศัพท์“ฮัลโหล”(ซิงเหยียน พรุ่งนี้ซูจะชวนไปกินข้าวที่บ้านหลังเลิกงาน ว่างไหม)“ทำไมเขาไม่โทร.มาบอกเองล่ะคะ ทำไมต้องให้พี่ซางโทร.มา”(พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินว่าแบตฯหมด เลยอยากบอกเธอไว้