เสียงพูดคุยดูน่าสนุกสนาน จนทำเอาร่างสูงที่ได้ยินเสียงต้องเดินเข้ามาภายในห้องอาหาร เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มนั่งยิ้มอยู่กับน้องชาย สายตาก็ฉายแววดุดันขึ้นมา
“กี่ทุ่มกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมถึงมานั่งยิ้มร่าอยู่ที่นี่” เสียงทุ้มนั้น มันเรียกสายตาของคนทั้งสองต้องหันไปที่ทางเข้าห้อง เมื่อเห็นว่ามีร่างสูงหน้านิ่งยืนอยู่ ตงฉินก็รีบทักพี่ชายทันที “พี่หยาง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นได้ยินเสียงรถ มานั่งก่อนสิ ผมเองก็พึ่งมาถึง เหยียนเหยียนก็เลยเป็นธุระตั้งโต๊ะให้” เขาฟาดสายตาไปมองคนที่นั่งตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้สาวเท้าไปหา แต่สิ่งที่พูดขึ้นนั้น “ฉันเหนื่อย แกจะกินก็กิน ฉันจะขึ้นไปพัก” เขาพูดเท่านั้นก็เดินหันหลัง เพียงแค่เห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตร ซิงเหยียนเธอก็พอจะรู้หน้าที่ “พี่ฉิน ฉันต้องขึ้นข้างบนแล้ว พี่นั่งทานคนเดียวได้ใช่ไหม” “ไม่ต้องห่วงพี่หรอก ห่วงตัวเองเถอะ ดูหน้าเขาสิ เป็นมิตรกับใครที่ไหน” อาจจะจริงที่ตงฉินพูด เขาเองก็พอรู้นิสัยพี่ชายดี รู้ว่าพี่ชายนิสัยได้แม่มาเต็มๆ ระหว่างที่เท้าของซิงเหยียนเดินขึ้นบันได เธอเองก็ใช้ความคิดต่างๆ นานา ไม่รู้ว่า คนในห้องจะหาเรื่องอะไรเธออีก แอ็ดด เพียงแค่ประตูห้องเปิดออก ก็เห็นแล้วว่าร่างสูงนอนเหยียดขายาวบนเตียง พร้อมมือถือเครื่องโปรดของเขา เมื่อร่างเธอแทรกเข้ามาในห้อง สายตาคมกริบก็ช้อนขึ้นมอง พร้อมเสียงที่เปล่งออกมาจากปาก “หน้าที่เธอคืออะไรซิงเหยียน” “นะ หน้าที่ เหรอคะ” พรึ่บ!! หมอนสีขาวใบใหญ่ลอยละล่องใส่ใบหน้าเธอ ดีที่ว่ามันนิ่ม ไม่อย่างนั้นคงเจ็บกว่านี้ “หน้าที่ของเมีย คือนอนรอผัว ไม่ใช่ไปเสนอหน้า หาข้าวให้น้องผัวกิน!!” “พี่หยาง ฉันก็แค่ทำเหมือนที่เคยทำ เมื่อก่อนเคยทำแบบไหนฉันก็แค่อยากทำแบบนั้นเท่านั้นเอง” “เมื่อก่อนกับตอนนี้ มันไม่เหมือนกัน ใช้สมองเธอคิดบ้างสิ!!” ไม่รู้ว่าไปกินรังแตนมาจากไหน ครั้นจะไม่ทำแม่สามีก็หาว่าเธอชุบมือเปิบสบายเพราะได้มรดก ครั้นทำเหมือนเดิมสามีก็หาว่าไม่สมควรอีก ซิงเหยียนยืนนิ่ง รู้สึกได้ว่าที่กำลังเจออยู่นี่ แม่กับลูกเขากำลังเล่นอะไรกับเธอ “ฉันจะอาบน้ำ เตรียมเสื้อผ้าให้ด้วย” เขาสั่งแบบนั้น แล้วลุกออกจากที่นอน ส่วนซิงเหยียนเธอก็ทำตามที่เขาสั่ง ภายในหนึ่งปี ที่ต้องมีลูก หากไม่มีลูกกับเขาก็ต้องโดนเขาเล่นงาน แบบนี้ไม่มีส่วนไหนแฟร์กับเธอสักนิด จัดเตรียมเสื้อผ้าให้ตงหยางจนเรียบร้อย แล้วก็วางมันไว้กับที่นอนนุ่ม ดูเหมือนเธอเองจะอาบน้ำไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังเป็นชุดเดรสคอบัวใส่สบายเป็นการแต่งการประจำของเธออยู่แล้ว “ซิงเหยียนเสื้อผ้าของฉันเอาเข้ามาในห้องนี่” เสียงตะโกนอยู่ภายในห้องน้ำ แต่เธอก็ได้ยินมันชัดเจน ซิงเหยียนเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ จากนั้นก็หอบเข้าไปให้เขาในห้องน้ำ ที่ไม่ได้ล็อกประตู เมื่อเข้ามาแล้วก็เห็นตงหยางนอนแช่อยู่ในอ่างขนาดใหญ่ “วางไว้!” คำสั่งที่ห้วนๆ ไม่ได้มีน้ำเสียงอ่อนโยนอ่อนหวานแต่อย่างใด จากนั้นซิงเหยียนเธอก็มองหาที่วาง เมื่อวางมันแล้วก็เตรียมตัวที่จะเดินกลับ ทว่า มือหนาดันรั้งมือเธอไว้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังดึงเธอลงไปในอ่างร่วมกับเขาอีก “พี่หยาง!!” ซ่าา “ฮึก!!” ร่างของเธอหล่นลงไปในอ่างขนาดใหญ่ ที่มีอีกร่างนอนแช่อยู่ในนั้น วินาทีที่ตัวเปียกปอนไปหมด ทำเอาซิงเหยียนต้องใช้ฝ่ามือเล็กลูบไล้ใบหน้าที่เปียกปอน “พี่ทำอะไรคะ ฉันเปียกหมดแล้ว” “ฉันรู้สึกว่าอาบคนเดียวมันไม่สนุกเลยอยากให้เธออาบด้วย” “แต่ฉันอาบน้ำไปแล้ว” เหมือนว่าเขาจะไม่ฟังที่เธอพูด แขนเกร็งยังกอดรัดเรือนร่างเธอไว้แน่น ไม่เพียงเท่านั้นฝ่ามือใหญ่ยังบีมมาที่ปลายคางเรียวเล็กจนรู้สึกถึงความเจ็บและความอึดอัด “เจ็บนะ พี่หยาง ปล่อย” “ฉันอยากจะเตือนสติเธอให้รู้ การปรนนิบัติผัวควรทำอย่างไร ไม่ใช่ไปเสนอหน้าอยู่ด้านล่าง” ขณะที่ปากพูดมือก็ไม่ได้ปล่อยออกจากปลายคางเธอเลย แถมยังบีบแรงขึ้น ทำเอาซิงเหยียนหน้าเบ้ด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะแนบริมฝีปากหยักได้รูปลงมาสัมผัสริมฝีปากเธอ “อึก ฮือ” พยายามที่จะเบือนหน้าหนีแล้ว แต่มันไม่ได้ผล เพราะฝ่ามือใหญ่ยังประคองอยู่ที่ใบหน้าเรียว ซิงเหยียนหลับตารับสัมผัสนั้นด้วยความกระอักกระอ่วน มันไม่ใช่จูบที่แสนหวานแต่อย่างใด แต่จูบที่เขามอบให้มันรุนแรง จนรู้สึกได้ว่าริมฝีปากเธอร้อนผ่าวเมื่อโดนบดขยี้ “ฮึบ!” แค่ตงหยางถอดถอนจูบอันแสนดุเดือดออกมาเท่านั้น ซิงเหยียนเธอก็รีบสูดเอาอากาศเข้าไปเลี้ยงปอด พร้อมด้วยการจ้องหน้าของเขาอยู่อย่างนั้น แต่แล้ว “ออกไปได้แล้ว วันหลังไม่ใช่หน้าที่เธอ ที่จะต้องไปหาอาหารให้ตงฉินอีก!” เขาทำแบบนั้นแล้วก็ไล่เธอออกไป นั่นหมายความว่าในสายตาของเขาไม่ได้เห็นคุณค่าความรู้สึกของซิงเหยียนเลยแม้แต่น้อย เธออึ้งกับการกระทำเขาอยู่สักพัก นั่งมองหน้าเขา ท่ามกลางน้ำที่อุ่นได้ที่ ใบหน้าแสนนิ่งนี่เธอเดาทางไม่ถูกเสียจริง “เธอหูหนวกหรือยังไง ฉันบอกว่าออกไปได้แล้ว!” แม้จะไม่ได้ตะเบ็งเสียงใส่ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็พอจะรู้ว่าใช้อำนาจอยู่เป็นนิจ ซิงเหยียนค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นจากอ่างอย่าทุลักทุเล เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยน้ำ เพียงก้าวขาออกไปก็ต้องคว้าเอาผ้าอีกผืนมาพันร่างกาย เขาคงไม่คิดซินะว่า เธอตัวเปียกขนาดนั้นเดินออกไปโดนแอร์ปรับอากาศจะหนาวแค่ไหน และคงไม่คิดว่า เธอต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเสียใหม่ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ตงหยางก็คงนอนแช่น้ำอุ่น ขณะที่ซิงเหยียนจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อย คืนนี้คงเป็นคืนแรกที่ได้มานอนห้องเขา ย้ายมาอยู่ห้องที่เธอไม่คิดว่าจะได้เข้ามาด้วยซ้ำ ปึก!! เสียงประตูห้องน้ำปิดลง พร้อมร่างสูงที่เดินออกมาพร้อมด้วยชุดคลุมอาบน้ำสีขาว เขาเดินมาพร้อมกับผ้าผืนเล็กที่ขยี้ผมให้หมาดๆ ส่วนซิงเหยียนเธอไม่กล้าแม้ล้มตัวลงนอนที่เตียง สิ่งที่ทำได้คือนั่งรอเขาอยู่อย่างนั้น “ทำไมเธอยังไม่นอน” “คือ ที่นี่มันแปลกที่สำหรับฉัน พี่จะให้ฉันนอนฝั่งไหน” คำถามของหญิงสาว ทำเอาสายตาดุราวมัจจุราช ต้องหันมามองเธอ จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองทั่วห้อง พร้อมคำพูดที่ไม่เห็นค่า “ฉันไม่สะดวกให้คนอย่างเธอนอนเตียงเดียวกับฉันหรอกนะ เธอเลือกเอาจะนอนพื้น หรือนอนบนโซฟา” “.....” “อ้อ วันนี้ฉันเหนื่อยไม่มีอารมณ์เล่นสนุกกับเธอ คืนนี้เธอไม่ต้องหวังทั้งนั้น”ยิ่งกว่าจุกอก ยิ่งกว่าโดนหักหน้า ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนแล้วที่จะพูดออกมา ความหมายคือหญิงสาวเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์และเครื่องปั๊มลูกให้เขา แค่จะนอนร่วมเตียงอีกฝ่ายยังไม่ให้ ค่าของตัวเธอมันอยู่ที่ไหนกันอดกลั้นจนที่สุด ใบหน้าหวานแต่แววตาแฝงด้วยความเศร้า ไม่อยากจะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องสมเพช แค่พินัยกรรมที่เขียนระบุว่าให้แต่งงาน ก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะดีกว่านี้เสียอีกซิงเหยียนหยิบได้แค่หมอนใบใหญ่ แล้วเดินมาที่โซฟาตัวยาวภายในห้อง ชุดนอนกระโปรงสีขาวลายลูกไม้น่ารัก สะบัดพลิ้วเวลาที่เธอสาวเท้าไปข้างหน้า เมื่อรู้ตัวเองว่าต้องนอนที่โซฟาก็วางหมอนใบใหญ่ลงไป แอบชำเลืองมองร่างสูงเล็กน้อยแต่ตงหยางไร้หัวใจเกินกว่าจะสนใจมองภรรยาด้วยซ้ำ แถมยังล้มตัวลงนอนอย่างไม่มีเยื้อใยอีกต่างหากเธอค่อยๆ นอนราบลงไปก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา วินาทีนั้นไฟในห้องก็ถูกดับจนมืดมิด ความคิดชั่ววูบก็ลอยเข้ามาในหัวของซิงเหยียนเหยียนเหยียน ก่อนที่ปู่จะตายปู่อยากให้มีใครสักคนที่ดูแลเธอได้ หากปู่ไม่อยู่แล้ว ก็อยากให้เธอได้มีที่พึ่งคำนั้นลอยเข้ามาทำเอาน้ำตาของซิงเหยียนไหลลงมาอาบแก้ม คนที่ดูแลเธอ
“คุณผู้หญิงไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ”“ได้ไง ให้ฉันช่วยเธอเถอะ อยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร”“แต่ตอนนี้คุณเป็นเมียคุณชายใหญ่ เป็นเจ้าของบ้าน มันไม่เหมาะสมที่จะมาช่วยแม่บ้านเช็ดถูนะคะ”สาวใช้ที่นับถือซิงเหยียนก็ยังไม่อยากให้ทำ แต่บางคนที่อยู่กับคุณนายหลี่ดันมองว่าร่างเล็กเข้ามายุ่งแถมยังเบ้ปากใส่ แต่หญิงสาวชินแล้วและไม่อยากจะมีปากเสียงกับแม่สามี ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด หลี่น่าเดินเข้ามา พร้อมสายตาเหยียดหยัน“หากเธอว่างนัก ก็รู้จักออกไปทำงานบ้างสิ หรือคิดว่าที่มีอยู่ไม่ต้องทำมาหากิน คิดจะเอาเปรียบลูกชายฉันเหรอ ตงฉินกับตงหยางมีหุ้นน้อยกว่าเธอ แต่ก็ยังออกไปทำงาน โธ่ๆ น่าสงสาร”การประชดของหลี่น่าพร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าเธอเกลียดซิงเหยียนเข้าไส้ ส่วนหญิงสาวไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ทำได้อย่างเดียวคือเงียบ ไม่ใช่ว่าคนที่เด็กกว่าไม่อยากตอบกลับเพียงแต่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นตลอดทั้งวัน ซิงเหยียนคิดถึงคำพูดของหลี่น่า คุณปู่แบ่งหุ้นให้เธอมากว่าสองแม่ลูกจริง ขนาดตงหยางที่เป็นประธานก็ยังน้อยกว่า ทว่าหญิงสาวเป็นภรรยาเขา หุ้นผัวเมียรวมกันก็มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วเมื่อความคิดเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คิดได้คื
รุ่งเช้าหน้าที่ปกติของภรรยาคือตื่นเช้ามาก็ต้องเตรียมอาหารให้สามี ใบหน้าหวานดูชื่นมื่นเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอนที่โซฟาเหมือนเก่า แต่เป็นการนอนบนเตียงเดียวกันกับตงหยางร่างสูงเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน ใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เป็นดังปกติเฉกเช่นทุกครั้ง หากจะถามว่าเขาเคยยิ้มไหม อาจจะเคยแต่น้อยคนนักที่จะเห็น“พี่หยางลงมาแล้วกินมื้อเช้าไหมคะ”เสียงหวานเอ่ยถามสามี เมื่อคืนเธอตั้งใจจะคุยเรื่องจะขอไปทำงาน แต่ทุกอย่างมันผิดพลาด คิดว่าเช้านี้น่าจะได้เล่าและได้คำตอบ แต่เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่เย็นชาทำเอารอยยิ้มน้อยๆ ของซิงเหยียนหดหาย“ฉันมีประชุม!”เขาพูดเท่านั้นก็เรียกคนสนิทเข้ามาช่วยถือกระเป๋า เมื่อวานกับตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนละคนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขายังพูดอ่อนหวานแถมยังกอดร่างเธอแน่นจนเช้า นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันเมื่อแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจนลับตาสิ่งที่เธอทำได้คือถอนหายใจ แววตาเริ่มเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อยากบอกอยากเล่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจและไถ่ถามเธอเลยซิงเหยียนเดินเข้ามาในห้องอาหารสุดหรู เตรียมทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่นานร่างสูงที่ดูสง่าไม่แพ้พี่ชายก็เดิ
สองวันผ่านไป“เป็นไงบ้างโรงพยาบาลดูวุ่นวายไหม”คำถามของคุณหมอหนุ่มรูปหล่อที่มีความสูงราวๆ ร้อยแปดสิบ ใบหน้าคมคายจมูกสันโด่ง ดวงตาดำขลับ รับกับผมสีเข้มเช่นกัน“นิดหน่อย แต่ฉันรู้สึกสนุกกับงานนะ ดีกว่าอยู่ที่บ้านเวลาผ่านเร็วด้วย”สองวันมานี้ ซิงเหยียนออกมาทำงานหลังจากที่ตงหยางออกไปแล้ว อีกทั้งโรงพยาบาลที่ซูซางสังกัดก็ไม่ได้ไกลจากคฤหาสน์อันโอ่อ่า แถมเธอยังเลิกงานตอนสี่โมงครึ่ง ส่วนรอบดึก ที่ต้องผลัดเปลี่ยนเวรกัน หญิงสาวบอกรุ่นพี่ว่าไม่สะดวก ขอทำงานแค่ช่วงเช้า และแน่นอนว่าเส้นสายของคุณหมอหนุ่มย่อมทำได้อยู่แล้วการทำงานของซิงเหยียน เป็นทั้งที่รัก และที่ชังของเพื่อนร่วมงานก็ว่าได้ เพราะคนในนั้นไม่มีใครรู้ว่าเธอแต่งงาน จึงทำให้คนบางกลุ่มมองว่าหญิงสาวเข้ามาเพราะหมอซาง และยังคอยจับตาทั้งคู่อีกด้วยเลิกงาน“ซิงเหยียนจะกลับแล้วเหรอ”เสียงเข้มเอ่ยถาม ในขณะที่ซิงเหยียนสะพายกระเป๋า เดินออกมาจากตัวอาคารมุ่งหน้ามาที่ถนนใหญ่“กลับแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ซางไม่เข้าเวรหรือคะ”“วันนี้พี่ออกเวรแล้ว เอายังงี้เดี๋ยวพี่ไปส่ง”ข้อเสนอนั้นทำเอาซิงเหยียนชะงักไปเล็กน้อย แม้จะรู้สึกถึงความหวังดีและจริงใจที่พี่ชายเพื่อนม
“ฟังนะเหยียนเหยียน ทุกอย่างคือบททดสอบของชีวิต เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนคุณชายก็แค่เชื่อคุณนายมากเกินไป สักวันเขาจะเข้าใจเธอเอง”“กว่าจะถึงวันนั้น ฉันอาจจะไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้แล้วก็ได้”“แค่นี้ก็คิดจะยอมแพ้แล้วเหรอ เธอคิดว่าที่คุณท่านเขียนพินัยกรรมให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่เพราะอะไร ?”เธอเงียบ อันที่จริงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคุณปู่ทำแบบนั้นทำไม ทำไมถึงให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยสนใจเธอสักครั้ง“สักวันเธอจะเข้าใจ”ป้าไฉผู้อาวุโสที่สุดของบ้านพูดขึ้น จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานตามเดิม ส่วนซิงเหยียนก็แอบคิด คิดว่าเหตุผลอะไรได้ที่คุณปู่ต้องทำแบบนั้นหลังจากอาหารในมื้อค่ำเรียบร้อย ทุกคนก็รวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร วันนี้เรียกว่ากินพร้อมหน้า แม้ว่าคุณนายหลี่จะเกลียดลูกสะใภ้แต่ก็ยังมาร่วมโต๊ะ ส่วนตงหยางรายนั้นไม่พูด แต่สิ่งที่ทำคือชำเลืองหางตามองซิงเหยียนบ่อยๆ“พี่ใหญ่ เรื่องที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคนที่ขึ้นตำแหน่งใหม่ ฝ่ายจัดงานไปถึงไหนแล้ว”“เรียบร้อยดี”สองพี่น้องคุยกันแต่ดูเหมือนคุณนายหลี่อยากจะรู้ด้วย ก็แน่ละเธอไม่ได้มีตำแหน่งใดในบริษัท หน้าที่หลักก็แค่เข้าไปดูร้านเพชรที่ตัวเองมีส่วน
เมื่อได้ยินชื่อคุณหมอหนุ่มหล่อใจดี แถมยังเมตตาเธอให้เข้าทำงาน ทำเอาซิงเหยียนยิ้ม เพราะหญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอซูซางที่นี่“คุณหมอซาง ไม่เห็นบอกว่าจะมา”ในขณะที่เธอถาม ดวงตาที่ทอประกายความไม่พอใจก็ฉายขึ้น ตงหยางมองหน้าหมอหนุ่มแล้วหันมามองคนตัวเล็กที่ส่งยิ้มให้“สวัสดีครับคุณหยาง ยินดีที่ได้เป็นแขกในงานของคุณ”คุณหมอหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มไมตรีอย่างที่เขามี ทว่าคนอย่างตงหยางน่ะเหรอจะส่งยิ้มกลับไปให้“ขอบใจ!”คำสั้นๆและน้ำเสียงห้วนห้าว ทำเอาซิงเหยียนต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ตัวสูงกว่า แถมเขายังกระชับกอดเธอแน่นกว่าเดิม“วันนี้ซิงเหยียนสวยมากนะ”“ขอบคุณค่ะ”ก็คงเป็นธรรมเนียมของคนที่ชื่นชมตัวเอง ก็ต้องกล่าวของคุณ การยิ้มก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาอีก ทว่ามันดันสร้างความไม่พอใจให้คนข้างๆ“ซิงเหยียน เธอยิ้มมากไปแล้วนะ”เพียงแค่เขาพูดแบบนั้น ทำเอาซิงเหยียนหันมามองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะหุบยิ้ม มันรู้สึกทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตอนนี้ เธอรู้ดีว่าตงหยางไม่พอใจเท่าไรนักที่ร่างเล็กยิ้มให้คุณหมอหนุ่มแบบนั้น แต่ดูเหมือนซูซ่านเองก็รู้ หญิงสาวจึงรีบชวนพี่ชายไปหาของกินรองท้องทันที“พี่ซางเราไปมุมนั้นดีกว่า ปล่อ
บ้านตระกูลกู้พรึ่บ!!“พี่หยาง” ร่างเล็กประคองร่างของสามีมาถึงห้อง ก่อนจะวางเขาลงบนเตียงกว้าง ตงหยางในเวลาแทบประคองสติไม่อยู่ เพราะเหล้าในงานที่ดื่มไปพอสมควรทำให้เขาเมาอยู่ไม่น้อย“พี่หยาง ถอดเสื้อก่อนไหม”ความหวังดีของเธอยังมีต่อเขา ซิงเหยียนเห็นว่าชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ค่อนข้างหนา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกทับด้วยเสื้อสูทอาจจะทำให้คนเมาขาดสติรู้สึกอึดอัดเธอพยายามพลิกตัวอีกฝ่ายพร้อมดึงเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ก่อนที่มันจะหลุดออกจากนั้นก็เดินเอาไปเก็บ เมื่อมองร่างที่นอนแผ่หลาบนเตียงก็แทบถอนหายใจ วินาทีที่เปลือกตาของเขาปิด มองไม่เห็นดวงตาตุดัน ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ตงหยางก็คล้ายคนที่ไม่ได้มีภัยอะไร ทว่าเวลาที่ดวงตานั้นเปิดออก ทำไมมันดูเยือกเย็นน่ากลัวแปลกๆระหว่างที่ซิงเหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมในตู้พร้อมสาวเท้าเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือถือเครื่องโปรดของเธอมีสายโทร.เข้าครืด ครืดโทรศัพท์“ฮัลโหล”(ซิงเหยียน พรุ่งนี้ซูจะชวนไปกินข้าวที่บ้านหลังเลิกงาน ว่างไหม)“ทำไมเขาไม่โทร.มาบอกเองล่ะคะ ทำไมต้องให้พี่ซางโทร.มา”(พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินว่าแบตฯหมด เลยอยากบอกเธอไว้
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต
คำพูดเหมือนจะปลอบใจซิงเหยียนมากกว่า หญิงสาวเห็นแววตาของตงฉินล่อกแล่กอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตงหยางคงไม่เห็นเธอสำคัญอยู่แล้ว เพราะเขาพูดแบบนั้นตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เธอนอนโรงพยาบาล จะมีแค่พี่ฉินเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนตงหยางไม่เคยถามไถ่กันเลยด้วยซ้ำ“แล้วพี่ไม่ไปทำงานหรือไง”“ยายบื้อ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ว ใครเขาทำงานถึงค่ำกันล่ะ”ก็คงจะมี ขนาดสามีเธอป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง“เหรอคะ”“เอาละ ฉันจะเฝ้าไข้เธอเอง”“พี่ฉิน ฉันว่าพี่กลับไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว พอช่วยเหลือตัวเองได้ อีกอย่างที่นี่เขามีพยาบาล พี่เองก็ต้องพักผ่อน ฉันไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสาร ตงฉินมองหน้าหญิงสาว แม้จะรักซิงเหยียนเหมือนน้องสาว แต่ก็แอบคิดว่าหากพี่ชายดูแลเธอไม่ได้ ตัวเองก็พร้อมที่จะยืนข้างๆ คนตัวเล็ก“ก็ได้ งั้นฉันจะฝากหมอซางไว้แล้วกัน เผื่อมีอะไรให้เขาโทร.หา หมอซางเป็นหมอประจำตัวเธอนะ”“เหรอคะ”ตงฉินลุกขึ้นพร้อมกับจะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของซิงเหยียนเหมือนที่เคยกระทำเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอกลับเอียงหัวออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะความเหมาะสมของ
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต
บ้านตระกูลกู้พรึ่บ!!“พี่หยาง” ร่างเล็กประคองร่างของสามีมาถึงห้อง ก่อนจะวางเขาลงบนเตียงกว้าง ตงหยางในเวลาแทบประคองสติไม่อยู่ เพราะเหล้าในงานที่ดื่มไปพอสมควรทำให้เขาเมาอยู่ไม่น้อย“พี่หยาง ถอดเสื้อก่อนไหม”ความหวังดีของเธอยังมีต่อเขา ซิงเหยียนเห็นว่าชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ค่อนข้างหนา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกทับด้วยเสื้อสูทอาจจะทำให้คนเมาขาดสติรู้สึกอึดอัดเธอพยายามพลิกตัวอีกฝ่ายพร้อมดึงเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ก่อนที่มันจะหลุดออกจากนั้นก็เดินเอาไปเก็บ เมื่อมองร่างที่นอนแผ่หลาบนเตียงก็แทบถอนหายใจ วินาทีที่เปลือกตาของเขาปิด มองไม่เห็นดวงตาตุดัน ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ตงหยางก็คล้ายคนที่ไม่ได้มีภัยอะไร ทว่าเวลาที่ดวงตานั้นเปิดออก ทำไมมันดูเยือกเย็นน่ากลัวแปลกๆระหว่างที่ซิงเหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมในตู้พร้อมสาวเท้าเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือถือเครื่องโปรดของเธอมีสายโทร.เข้าครืด ครืดโทรศัพท์“ฮัลโหล”(ซิงเหยียน พรุ่งนี้ซูจะชวนไปกินข้าวที่บ้านหลังเลิกงาน ว่างไหม)“ทำไมเขาไม่โทร.มาบอกเองล่ะคะ ทำไมต้องให้พี่ซางโทร.มา”(พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินว่าแบตฯหมด เลยอยากบอกเธอไว้
เมื่อได้ยินชื่อคุณหมอหนุ่มหล่อใจดี แถมยังเมตตาเธอให้เข้าทำงาน ทำเอาซิงเหยียนยิ้ม เพราะหญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอซูซางที่นี่“คุณหมอซาง ไม่เห็นบอกว่าจะมา”ในขณะที่เธอถาม ดวงตาที่ทอประกายความไม่พอใจก็ฉายขึ้น ตงหยางมองหน้าหมอหนุ่มแล้วหันมามองคนตัวเล็กที่ส่งยิ้มให้“สวัสดีครับคุณหยาง ยินดีที่ได้เป็นแขกในงานของคุณ”คุณหมอหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มไมตรีอย่างที่เขามี ทว่าคนอย่างตงหยางน่ะเหรอจะส่งยิ้มกลับไปให้“ขอบใจ!”คำสั้นๆและน้ำเสียงห้วนห้าว ทำเอาซิงเหยียนต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ตัวสูงกว่า แถมเขายังกระชับกอดเธอแน่นกว่าเดิม“วันนี้ซิงเหยียนสวยมากนะ”“ขอบคุณค่ะ”ก็คงเป็นธรรมเนียมของคนที่ชื่นชมตัวเอง ก็ต้องกล่าวของคุณ การยิ้มก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาอีก ทว่ามันดันสร้างความไม่พอใจให้คนข้างๆ“ซิงเหยียน เธอยิ้มมากไปแล้วนะ”เพียงแค่เขาพูดแบบนั้น ทำเอาซิงเหยียนหันมามองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะหุบยิ้ม มันรู้สึกทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตอนนี้ เธอรู้ดีว่าตงหยางไม่พอใจเท่าไรนักที่ร่างเล็กยิ้มให้คุณหมอหนุ่มแบบนั้น แต่ดูเหมือนซูซ่านเองก็รู้ หญิงสาวจึงรีบชวนพี่ชายไปหาของกินรองท้องทันที“พี่ซางเราไปมุมนั้นดีกว่า ปล่อ
“ฟังนะเหยียนเหยียน ทุกอย่างคือบททดสอบของชีวิต เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนคุณชายก็แค่เชื่อคุณนายมากเกินไป สักวันเขาจะเข้าใจเธอเอง”“กว่าจะถึงวันนั้น ฉันอาจจะไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้แล้วก็ได้”“แค่นี้ก็คิดจะยอมแพ้แล้วเหรอ เธอคิดว่าที่คุณท่านเขียนพินัยกรรมให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่เพราะอะไร ?”เธอเงียบ อันที่จริงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคุณปู่ทำแบบนั้นทำไม ทำไมถึงให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยสนใจเธอสักครั้ง“สักวันเธอจะเข้าใจ”ป้าไฉผู้อาวุโสที่สุดของบ้านพูดขึ้น จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานตามเดิม ส่วนซิงเหยียนก็แอบคิด คิดว่าเหตุผลอะไรได้ที่คุณปู่ต้องทำแบบนั้นหลังจากอาหารในมื้อค่ำเรียบร้อย ทุกคนก็รวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร วันนี้เรียกว่ากินพร้อมหน้า แม้ว่าคุณนายหลี่จะเกลียดลูกสะใภ้แต่ก็ยังมาร่วมโต๊ะ ส่วนตงหยางรายนั้นไม่พูด แต่สิ่งที่ทำคือชำเลืองหางตามองซิงเหยียนบ่อยๆ“พี่ใหญ่ เรื่องที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคนที่ขึ้นตำแหน่งใหม่ ฝ่ายจัดงานไปถึงไหนแล้ว”“เรียบร้อยดี”สองพี่น้องคุยกันแต่ดูเหมือนคุณนายหลี่อยากจะรู้ด้วย ก็แน่ละเธอไม่ได้มีตำแหน่งใดในบริษัท หน้าที่หลักก็แค่เข้าไปดูร้านเพชรที่ตัวเองมีส่วน
สองวันผ่านไป“เป็นไงบ้างโรงพยาบาลดูวุ่นวายไหม”คำถามของคุณหมอหนุ่มรูปหล่อที่มีความสูงราวๆ ร้อยแปดสิบ ใบหน้าคมคายจมูกสันโด่ง ดวงตาดำขลับ รับกับผมสีเข้มเช่นกัน“นิดหน่อย แต่ฉันรู้สึกสนุกกับงานนะ ดีกว่าอยู่ที่บ้านเวลาผ่านเร็วด้วย”สองวันมานี้ ซิงเหยียนออกมาทำงานหลังจากที่ตงหยางออกไปแล้ว อีกทั้งโรงพยาบาลที่ซูซางสังกัดก็ไม่ได้ไกลจากคฤหาสน์อันโอ่อ่า แถมเธอยังเลิกงานตอนสี่โมงครึ่ง ส่วนรอบดึก ที่ต้องผลัดเปลี่ยนเวรกัน หญิงสาวบอกรุ่นพี่ว่าไม่สะดวก ขอทำงานแค่ช่วงเช้า และแน่นอนว่าเส้นสายของคุณหมอหนุ่มย่อมทำได้อยู่แล้วการทำงานของซิงเหยียน เป็นทั้งที่รัก และที่ชังของเพื่อนร่วมงานก็ว่าได้ เพราะคนในนั้นไม่มีใครรู้ว่าเธอแต่งงาน จึงทำให้คนบางกลุ่มมองว่าหญิงสาวเข้ามาเพราะหมอซาง และยังคอยจับตาทั้งคู่อีกด้วยเลิกงาน“ซิงเหยียนจะกลับแล้วเหรอ”เสียงเข้มเอ่ยถาม ในขณะที่ซิงเหยียนสะพายกระเป๋า เดินออกมาจากตัวอาคารมุ่งหน้ามาที่ถนนใหญ่“กลับแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ซางไม่เข้าเวรหรือคะ”“วันนี้พี่ออกเวรแล้ว เอายังงี้เดี๋ยวพี่ไปส่ง”ข้อเสนอนั้นทำเอาซิงเหยียนชะงักไปเล็กน้อย แม้จะรู้สึกถึงความหวังดีและจริงใจที่พี่ชายเพื่อนม
รุ่งเช้าหน้าที่ปกติของภรรยาคือตื่นเช้ามาก็ต้องเตรียมอาหารให้สามี ใบหน้าหวานดูชื่นมื่นเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอนที่โซฟาเหมือนเก่า แต่เป็นการนอนบนเตียงเดียวกันกับตงหยางร่างสูงเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน ใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เป็นดังปกติเฉกเช่นทุกครั้ง หากจะถามว่าเขาเคยยิ้มไหม อาจจะเคยแต่น้อยคนนักที่จะเห็น“พี่หยางลงมาแล้วกินมื้อเช้าไหมคะ”เสียงหวานเอ่ยถามสามี เมื่อคืนเธอตั้งใจจะคุยเรื่องจะขอไปทำงาน แต่ทุกอย่างมันผิดพลาด คิดว่าเช้านี้น่าจะได้เล่าและได้คำตอบ แต่เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่เย็นชาทำเอารอยยิ้มน้อยๆ ของซิงเหยียนหดหาย“ฉันมีประชุม!”เขาพูดเท่านั้นก็เรียกคนสนิทเข้ามาช่วยถือกระเป๋า เมื่อวานกับตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนละคนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขายังพูดอ่อนหวานแถมยังกอดร่างเธอแน่นจนเช้า นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันเมื่อแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจนลับตาสิ่งที่เธอทำได้คือถอนหายใจ แววตาเริ่มเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อยากบอกอยากเล่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจและไถ่ถามเธอเลยซิงเหยียนเดินเข้ามาในห้องอาหารสุดหรู เตรียมทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่นานร่างสูงที่ดูสง่าไม่แพ้พี่ชายก็เดิ
“คุณผู้หญิงไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ”“ได้ไง ให้ฉันช่วยเธอเถอะ อยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร”“แต่ตอนนี้คุณเป็นเมียคุณชายใหญ่ เป็นเจ้าของบ้าน มันไม่เหมาะสมที่จะมาช่วยแม่บ้านเช็ดถูนะคะ”สาวใช้ที่นับถือซิงเหยียนก็ยังไม่อยากให้ทำ แต่บางคนที่อยู่กับคุณนายหลี่ดันมองว่าร่างเล็กเข้ามายุ่งแถมยังเบ้ปากใส่ แต่หญิงสาวชินแล้วและไม่อยากจะมีปากเสียงกับแม่สามี ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด หลี่น่าเดินเข้ามา พร้อมสายตาเหยียดหยัน“หากเธอว่างนัก ก็รู้จักออกไปทำงานบ้างสิ หรือคิดว่าที่มีอยู่ไม่ต้องทำมาหากิน คิดจะเอาเปรียบลูกชายฉันเหรอ ตงฉินกับตงหยางมีหุ้นน้อยกว่าเธอ แต่ก็ยังออกไปทำงาน โธ่ๆ น่าสงสาร”การประชดของหลี่น่าพร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าเธอเกลียดซิงเหยียนเข้าไส้ ส่วนหญิงสาวไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ทำได้อย่างเดียวคือเงียบ ไม่ใช่ว่าคนที่เด็กกว่าไม่อยากตอบกลับเพียงแต่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นตลอดทั้งวัน ซิงเหยียนคิดถึงคำพูดของหลี่น่า คุณปู่แบ่งหุ้นให้เธอมากว่าสองแม่ลูกจริง ขนาดตงหยางที่เป็นประธานก็ยังน้อยกว่า ทว่าหญิงสาวเป็นภรรยาเขา หุ้นผัวเมียรวมกันก็มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วเมื่อความคิดเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คิดได้คื
ยิ่งกว่าจุกอก ยิ่งกว่าโดนหักหน้า ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนแล้วที่จะพูดออกมา ความหมายคือหญิงสาวเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์และเครื่องปั๊มลูกให้เขา แค่จะนอนร่วมเตียงอีกฝ่ายยังไม่ให้ ค่าของตัวเธอมันอยู่ที่ไหนกันอดกลั้นจนที่สุด ใบหน้าหวานแต่แววตาแฝงด้วยความเศร้า ไม่อยากจะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องสมเพช แค่พินัยกรรมที่เขียนระบุว่าให้แต่งงาน ก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะดีกว่านี้เสียอีกซิงเหยียนหยิบได้แค่หมอนใบใหญ่ แล้วเดินมาที่โซฟาตัวยาวภายในห้อง ชุดนอนกระโปรงสีขาวลายลูกไม้น่ารัก สะบัดพลิ้วเวลาที่เธอสาวเท้าไปข้างหน้า เมื่อรู้ตัวเองว่าต้องนอนที่โซฟาก็วางหมอนใบใหญ่ลงไป แอบชำเลืองมองร่างสูงเล็กน้อยแต่ตงหยางไร้หัวใจเกินกว่าจะสนใจมองภรรยาด้วยซ้ำ แถมยังล้มตัวลงนอนอย่างไม่มีเยื้อใยอีกต่างหากเธอค่อยๆ นอนราบลงไปก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา วินาทีนั้นไฟในห้องก็ถูกดับจนมืดมิด ความคิดชั่ววูบก็ลอยเข้ามาในหัวของซิงเหยียนเหยียนเหยียน ก่อนที่ปู่จะตายปู่อยากให้มีใครสักคนที่ดูแลเธอได้ หากปู่ไม่อยู่แล้ว ก็อยากให้เธอได้มีที่พึ่งคำนั้นลอยเข้ามาทำเอาน้ำตาของซิงเหยียนไหลลงมาอาบแก้ม คนที่ดูแลเธอ