ตอนบ่ายฟู่เจิงมาที่บ้านเวินเหลียงเวินเหลียงอดไม่ได้ที่จะรีบต้อนรับขับสู้ให้เขาเข้ามา ก่อนจะถามขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้าง?”ฟู่เจิงเห็นสีหน้าของเวินเหลียงแล้วก็รู้สึกขำเล็กน้อยเธอไม่เคยต้อนรับขับสู้เขาแบบนี้มาก่อน“จัดการเรียบร้อยแล้ว” ฟู่เจิงนั่งลงบนโซฟา“พวกคุณเจรจากันยังไง?” เวินเหลียงนั่งลงตรงหน้าเขา อย่างกับนักเรียนที่ดีคนหนึ่ง เธอเผยความปลื้มปีติยินดีออกมาบนใบหน้า“เขาขอให้ผมเข้าใจที่เขารักลูกสุดหัวใจ ผมเลยขอให้เขาเข้าใจที่ผมรักภรรยาดุจชีวิต” ฟู่เจิงกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมารอยยิ้มหนึ่งเวินเหลียงเองก็กระตุกมุมปากขึ้นมาเช่นกัน “ฟู่เจิง ฉันเพิ่งรู้ว่าหน้าคุณนี้มันหนามากจริง ๆ”“เธอเพิ่งรู้เหรอ?”เวินเหลียง: “...”เธอเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “หลังจากนั้นล่ะ? เขาคงไม่ละทิ้งหนังสือยอมความเพราะเรื่องนี้หรอกใช่ไหม”“แน่นอนว่าไม่มีทางอยู่แล้ว เพราะงั้นฉันก็เลยชี้จุดหนึ่งให้เขา”“หมายความว่ายังไง?”“ฉันใช้ให้พวกเขาไปหาตระกูลฮั่ว” ฟู่เจิงมองเธอด้วยท่าทีจริงจังทีหนึ่ง “เธอรู้ไหมว่าคำให้การของอู๋ฮ่าวหรันที่สถานีตำรวจคืออะไร?”เวินเหลียงส่ายหน้า “ไม่รู้”“เขาบอกว่า ที่เขาทำแบบนี้เพราะไ
เวินเหลียงเข้าใจแล้วว่าเขาหมายความว่ายังไง เธอเบะปากพลางส่ายหน้า “ยังไงก็ช่างมันเถอะ”เธอแค่คิดจะบริจาคเงินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทว่าจำนวนมันค่อนข้างมหาศาล ถึงได้ก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมาเอง ไม่ได้คิดจะหยิบยืมมูลนิธิขูดรีดเงินแต่อย่างใดฟู่เจิงรู้อยู่แล้วเชียวว่าในจิตใต้สำนึก เธอก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง มีเรื่องอะไรก็แจ้งตำรวจแม้เป็นเช่นนี้แล้วฟู่เจิงก็ต้องคอยเป็นห่วงเธอเสมอ ทว่าเขาก็ยอมที่จะปกป้องเวินเหลียงที่มีความคิดง่าย ๆ แบบนี้ “ช่างเถอะ ช่างมันเถอะ ฉันคอยคุ้มกะลาหัวเธอ เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกติดค้างอะไรฉัน นอกจากเธอยังคิดจะจากไปอยู่”ฟู่เจิงมองเธอด้วยความหมายลึกซึ้ง “ฉันคงไม่ได้ไปพูดแทงใจดำเข้าหรอกนะ?”เวินเหลียง: “...”ทีแรกเธอก็ยังซาบซึ้งอยู่หรอกนะ ทว่าเมื่อได้ยินประโยคด้านหลัง เวินเหลียงก็กลอกตาขาว พร้อมตอบกลับด้วยทีท่าจริงจัง “เปล่าซะหน่อย ดูสิคุณสงสัยแค่ไหน”ทว่าแอบคิดอยู่ในใจว่า คดีการตายของพ่อลองเชื่อฟู่เจิงดูสักครั้งดีไหม? ต้องจากไปให้ได้เลยจริง ๆ หรือเปล่านะ?“ถึงยังไงจอมลวงโลกอย่างเธอ โกหกฉันที่เมืองจิงยังไง ฉันยังจำได้ดีนะ” ฟู่เจิงยิ้มทว่าก็ราวกั
หลินอี้หน่วนเห็นหลินเจียหมิ่นเงียบไม่ตอบ จึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจว่า “คุณอาคะ คุณอาต้องช่วยหนูนะคะ”หลินเจียหมิ่นได้สติกลับมา แล้วตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนว่า “เธอบอกว่าอู๋ฮ่าวหรันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เหรอ? ตำรวจไม่ได้จับเธอไปด้วย งั้นเธอก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วยแล้ว วางใจเถอะ”หลินอี้หน่วนหัวใจเต้นตึกตัก ๆ “แต่หนูกลัว ถ้าเขาอยากลดโทษหนักให้เป็นเบา แล้วพูดสาวมาถึงตัวหนูที่สถานีตำรวจจะทำยังไง? ไหนจะตระกูลอู๋อีก ถ้าพวกเขายืนยันว่าหนูมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวล่ะ? คุณอาเขยจะลากหนูไปรับโทษเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลหรือเปล่าคะ?”ทางอู๋ฮ่าวหรันหลินอี้หน่วนไม่เป็นกังวลเลยเขาเป็นคนที่ยอมทำทุกสิ่งเพื่อตามจีบ เพียงแค่เธอกระดิกนิ้ว ให้เขาไปทางตะวันออก เขาก็ไม่กล้าไปทางตะวันตกแน่นอนสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือคนตระกูลอู๋ถึงยังไงก็เป็นตระกูลใหญ่ แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลผู้เจนโลก ดูออกได้ง่ายว่าเธอยุยงส่งเสริมอู๋ฮ่าวหรัน ต้องมาถามหาคำอธิบายกับตระกูลฮั่วอย่างแน่นอนหลินเจียหมิ่นกำลังจะตอบกลับ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเสียงหนึ่งแว่วดังมาจากชั้นล่างเมื่อหลินอี้หน่วนวิ่งไปดูตรงข้างหน้าต่าง
“คุณเวิน ผลการตรวจพบว่าคุณมีผนังมดลูกบางแต่กำเนิด ทารกในครรภ์ผิดปกติ ต้องระวังเรื่องการกินการออกกำลังในปกติมากหน่อยนะคะ”หมอกำชับพลางจ่ายยา ก่อนจะยื่นบัตรไป “นี่ค่ะ ไปรับยาได้เลย”“ค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณหมอ” เวินเหลียงรับบัตรมาแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนหมอกำชับเธออีกคำ “ต้องระวังนะคะ อย่าเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญล่ะ!”ผนังมดลูกบางทำให้แท้งง่าย ผู้หญิงตั้งครรภ์หลาย ๆ คนพอแท้งลูกแล้วก็ตั้งครรภ์ไม่ได้อีก“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ฉันจะระวังนะคะ” เวินเหลียงยิ้มน้อย ๆ พร้อมพยักหน้าแต่งงานมาสามปี ไม่มีใครรอคอยการมาของเด็กคนนี้มากไปกว่าเธออีกแล้ว เธอต้องปกป้องเขาอย่างดีแน่นอนหลังจากรับยา เวินเหลียงออกมาจากตึกแผนกผู้ป่วยนอกและกลับขึ้นรถคนขับรถสตาร์ตรถ มองเธอจากกระจกหลัง “คุณผู้หญิงครับ เที่ยวบินของคุณผู้ชายคือบ่ายสามโมง ยังมีเวลาอีกยี่สิบนาที จะไปสนามบินเลยไหมครับ?”“ไปสิ”พอนึกถึงว่าอีกยี่สิบนาทีก็จะได้เจอเขา ใบหน้าเวินเหลียงปรากฏรอยยิ้มหวานนิด ๆ ในใจเริ่มอดรนทนไม่ไหวแล้วฟู่เจิงไปดูงานเกือบเดือนแล้ว เธอคิดถึงเขามาก ๆระหว่างทางเธออดใจไม่ไหว หยิบผลตรวจครรภ์ออกมาจากกระเป๋าดูแล้วดูอีก วางมือบนท้องน้อ
“ฉันเอง”“คุณดื่มมาเหรอ...”“อืม ดื่มกับเพื่อนมานิดหน่อย”เสียงฝักบัวดังมาจากห้องน้ำ เวินเหลียงขมวดคิ้วพลิกตัว เพราะนอนหลับไม่สนิทฟูกข้างตัวยุบลงมือใหญ่ข้างหนึ่งตกลงบนตรงเอวของเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามโค้งเว้าอันสวยงามช้า ๆ“อื้อ...คืนนี้ไม่ได้...” เวินเหลียงหลับตาห้ามเขาทั้งสะลึมสะลือเพราะกลัวกระทบกระเทือนกับลูกตามสัญชาตญาณมือใหญ่หยุดชะงักอยู่บนหลังของเธอ “งั้นนอนเถอะ”เวินเหลียงเพลียจริง ๆ ไม่นานนักจึงหลับสนิทเช้าตรู่ ตอนที่เวินเหลียงตื่นขึ้นมา ข้างตัวปราศจากไออุ่นแล้ว มีเพียงผ้าปูเตียงที่ยับเล็กน้อย ซึ่งบ่งบอกว่าเมื่อคืนคนข้างตัวได้กลับมาเธอนึกเสียใจนิด ๆ ทำไมเมื่อคืนถึงหลับไปได้นะ?ไม่เป็นไร บอกวันนี้ก็เหมือนกันหลังจากเวินเหลียงอาบน้ำเสร็จก็เดินไปที่ห้องแต่งตัว เลือกสูทสีขาวให้ฟู่เจิง และเลือกเนกไทสีแดงเพราะคิดว่าเรื่องที่ตัวเองท้องถือเป็นเรื่องมงคลเรื่องหนึ่ง หลังจากนั้นก็นำไปวางบนเตียงนอนฟู่เจิงกลับจากการวิ่งยามเช้าแล้ว และกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในชุดลำลอง เมื่อเงยหน้าเห็นเวินเหลียงที่กำลังลงมาจากบันไดจึงวางเอกสารในมือลง “กินข้าวเถอะ”จบมื้ออาหารเช้า เวินเหล
สามปีมานี้ แม้พวกเขาจะไม่ได้ประกาศให้คนนอกรู้ แต่ก็ไม่ต่างจากสามีภรรยาทั่วไปทุกเช้าเธอจะเลือกสูทพร้อมเนกไทให้เขาแล้วไปบริษัทด้วยกันกลางคืนต่างคนต่างแยกย้ายไปรับรองลูกค้าออกกำลังกายก่อนนอนเป็นประจำ อาบน้ำด้วยกันในบางครั้ง รวมถึงจูบราตรีสวัสดิ์ของทุกคืนก็ไม่เคยขาดเขาไม่เคยพลาดของขวัญวันครบรอบวันแต่งงาน วันวาเลนไทน์และวันเกิด เธออยากได้อะไรเขาก็มอบให้ตามที่ปรารถนาทั้งหมดความโรแมนติก ความพิธีรีตอง เขาล้วนทำให้ครบหมดทุกอย่างเขาทำทุกเรื่องที่สามีสมบูรณ์แบบคนหนึ่งพึงกระทำแม้แต่ตัวเธอเองยังนึกว่าชีวิตจะมีความสุขแบบนี้ไปเรื่อย ๆแต่ฉู่ซืออี๋กลับมาแล้วดังนั้นทุกอย่างจึงต้องจบลงฉะนั้นเสียงผู้หญิงในสายเมื่อวานก็คงจะเป็นฉู่ซืออี๋พวกเขาติดต่อกันมานานแล้วเหรอ?ทริปดูงานหนึ่งเดือนนี้ พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเหรอ?เมื่อวานพวกเขากลับมาด้วยกันเหรอ?เมื่อคืนเขาอยู่เป็นเพื่อนฉู่ซืออี๋เหรอ?พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ ก้นบึ้งหัวใจเวินเหลียงก็เย็นเยียบ คล้ายกับฟู่เจิงเฉือนเลือดเฉือนเนื้อเธอทีละนิดจนขาดแหว่งไม่มีชิ้นดี“เวินเหลียง เธอวางใจเถอะ ถึงเราจะหย่ากัน แต่เธอก็ยังเป็นคนตระกูลฟู่ เป็นน
เวินเหลียงกอดโทรศัพท์มือถือ ปวดใจจนหายใจไม่ออกที่แท้พอฟู่เจิงลงจากเครื่องบินก็พาฉู่ซืออี๋ไปเจอกับเพื่อนของเขานี่เองพวกเขารู้และอวยพรกันทุกคนมีแต่เธอที่ถูกครอบอยู่ในกะลาและสามปีมานี้ การแต่งงานของพวกเขา มีแต่คนตระกูลฟู่ที่รู้เขาไม่เคยพาเธอไปเจอเพื่อนของเขาเลย แม้ว่าจะเจอบ้าง แต่ทุกคนต่างก็คิดว่าเธอเป็นลูกบุญธรรมตระกูลฟู่โดยปริยาย“คุณผู้หญิงครับ?”คนขับรถมาถึงโรงจอดรถเพื่อมาเป็นสารถี เห็นรถของเวินเหลียงยังอยู่จึงเรียกด้วยความสงสัยเวินเหลียงปาดน้ำตาอย่างว่องไว ทำเป็นไม่ได้ยินและสตาร์ตรถออกไปทันทีเวินเหลียงจะไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัวในการทำงานตอนนี้เธอจึงได้แต่ใช้การทำงานเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองเมื่อเวินเหลียงหาอีเมลของฟู่เจิงพบ จึงอัพโหลดแผนงานลงในอีเมลแล้วกดส่งแพล็บเดียวฟู่เจิงก็ตอบกลับสั้นกระชับเหมือนทุกที ‘ผ่าน หลังจากนี้เธอคอยจับตาดูให้มากหน่อยแล้วกัน’เวินเหลียงหยุดชะงักครู่หนึ่ง พิมพ์คำว่า ‘ได้’ ส่งไปแล้วมอบหมายงานอย่างรวดเร็วหลังจากเลิกงานตอนเย็น เวินเหลียงก็ได้รับข้อความจากฟู่เจิง ‘คืนนี้มีธุระ เธอกลับไปก่อน’เวินเหลียงเม้มริมฝีปาก ในใจเกิดความรู้สึกเจ็
เวินเหลียงรู้สึกแสบบริเวณปลายจมูก ภาพตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยม่านน้ำตา หัวใจทุกข์ระทมขื่นขมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเธอไม่เคยเห็นท่าทางอ่อนโยนอย่างนี้ของฟู่เจิงเลย แต่งงานกันสามปีเขามักเมินเฉยใส่เธอเสมอเธอมักปลอบใจตัวเองว่าเขาเป็นคนอย่างนี้เองโกหกจนแม้แต่ตัวเองเธอก็ยังเชื่อเวลานี้เธอเห็นแล้วว่าเขาก็อ่อนโยนเป็นเหมือนกัน เพียงแค่มอบให้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเท่านั้นพวกเขาเดินผ่านหน้ารถของเธอไป เขาไม่ได้สังเกตว่านั่นคือรถของเธอ และแน่นอนว่าไม่เคยสังเกตตัวเธอเช่นกัน“คุณผู้หญิง กลับมาแล้วเหรอคะ กลางคืนจะกิน...”แม่บ้านเห็นหยดน้ำตาบนใบหน้าของเวินเหลียงแวบ ๆ ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นเธอเข้าห้องนอนไปเลย จึงไม่กล้าถามอีกเวินเหลียงทรุดหลังพิงกับประตู ลำคอรู้สึกถึงรสชาติขมเฝื่อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากอดกลั้นมาทั้งวันในที่สุดเธอก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ม่านน้ำตาเอ่อขึ้นมาในเบ้าตาอย่างรวดเร็ว มันมากเสียจนล้นออกมาจากขอบตาและไหลลงตามพวงแก้มเธอปวดหัวใจมาก ปวดมากจริง ๆหลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน เธอก็ทนรับกับความทุกข์ของครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวมากพอแล้ว เธอจึงไม่อยากให้ลูกของเธอต้องเป็นเหมือนกั