“ในเมื่อไม่เกี่ยวกับเธอ แล้วเธอจะหนีทำไม?” ฮั่วจวินซานแค่นเสียงฮึทีหนึ่งพลางมองหลินเจียหมิ่น “ช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เธอดูแลตงหลินให้ดี เรื่องอื่นเธอไม่ต้องมายุ่งอะไรทั้งนั้น”“แต่ว่า ถึงยังไงหนวนหน่วนก็เป็นลูกเพียงคนเดียวของพี่ชายและพี่สะใภ้ฉันนะคะ” พูดพลางหลินเจียหมิ่นก็น้ำตาซึมขึ้นมาตรงขอบตา “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่บ้านเก่า พี่ใหญ่ของฉันดีกับฉันที่สุด ของดีอะไรก็จะเหลือไว้ให้ฉันเสมอ ฉันถูกบ้านสามีเก่าแฉ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ฉันคอยหนุนหลัง จะหย่ากันสำเร็จง่าย ๆ ได้ยังไง? ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับหนวนหน่วนขึ้นมา อีกร้อยปีฉันจะมีหน้าไปเจอพี่ใหญ่ฉันได้ยังไง?”“ฉันรู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ญาติพี่น้อง กลัวว่าจะต้องรู้สึกผิดกับพี่ใหญ่ของเธอ แต่ถ้าเธอหวังดีกับเขาจริง ก็ไม่ควรตามใจเขาจนเสียนิสัยกลายเป็นอย่างนี้! ถ้าเจิ้งเหวินไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่รู้เรื่องที่เขาไปขโมยผลงานภาพถ่ายคนอื่นมาด้วยซ้ำ”ฮั่วจวินซานมองใบหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดีตามแบบฉบับที่แสนงดงามทว่าอ่อนแอของภรรยา ก็นึกไปถึงความน่าสงสารและน่าเวทนาของภรรยาในตอนที่เจอกันครั้งแรก น้ำเสียงของเขายังคงขึงขัง ทว่าเห็นได้ชัดว่าท่าทีผ
“แล้วไอ้วิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายนั่น พ่อคิดออกหรือยังครับ?” ฮั่วตงเฉิงยิ้มทว่าราวกับไม่ยิ้ม ทำเป็นว่ามองความคิดในใจฮั่วจวินซานไม่ออก“ฉันได้ยินมาว่าผู้เสียหายเป็นเพื่อนของแก? งั้นก็รบกวนแกช่วยไปเจรจากับพวกเธอด้วยตัวเองหน่อย ขอแค่พวกเธอยกโทษให้ฮ่าวหรัน จะด้วยเงื่อนไขอะไรก็ได้ทั้งนั้น”“ที่แท้นี่ก็คือวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายที่พ่อบอกเหรอ?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงถากถางของฮั่วตงเฉิง ขอบตาของฮั่วจวินซานก็กระตุก เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “คุณเวินนั่นเป็นนักเรียนของแกไม่ใช่เหรอ? ขอแค่แกออกหน้า เธอต้องไว้หน้าแกอยู่แล้ว”การแข่งขันถ่ายภาพก่อนหน้านี้ ทางฮั่วตงเฉิงก็เกิดเรื่องเกิดราวขึ้น ปล่อยให้หลินอี้หน่วนอาศัยช่องโหว่ กว่าจะแก้ไขได้ไม่ง่ายเลย วันนั้นในห้องรับรองอู๋ฮ่าวหรันก็พูดจาละลาบละล้วงเวินเหลียง บวกกับเรื่องในครั้งนี้เข้าไปอีก ฮั่วตงเฉิงไม่มีหน้าไปขอให้เวินเหลียงยกโทษให้อู๋ฮ่าวหรันจริง ๆเห็นฮั่วตงเฉิงลังเล ฮั่วจวินซานก็ชำเลืองมองเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “หรือว่าจะเป็นเหมือนที่ฮ่าวหรันสารภาพ แกถูกเวินเหลียงทำให้ลุ่มหลง ยอมเห็นฮ่าวหรันติดคุก ทนเห็นลูกพี่ลูกน้องแกเกิดเรื่องได้ แต่ไม่
ณ กองถ่ายเวินเหลียงที่เพิ่งถ่ายไปฉากหนึ่งกำลังอ่านบทละครอยู่ในห้องแต่งตัวทีมงานคนหนึ่งชะโงกหน้ามาที่ประตู เมื่อเห็นเวินเหลียงก็เดินเข้ามา “คุณเวิน มีคนมาหาคุณอยู่ด้านนอกน่ะ”“ใครเหรอคะ?” เวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมาจากบทละครสถานการณ์แบบนี้ คนที่มาต้องมีความสัมพันธ์กับตัวนักแสดงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นทีมงานคงไม่มาแจ้งโดยเฉพาะ ไม่งั้นแฟนคลับก็ต่อแถวมาเจอไอดอลกันหมดแล้ว“บอกว่าเป็นแม่ของคุณค่ะ”เวินเหลียงอึ้งไปสองสามวินาที หลังได้สติกลับมาก็ตอบกลับทีมงานไปอย่างราบเรียบว่า “แม่ฉันจากไปยี่สิบกว่าปีแล้ว คนที่อยู่ข้างนอกคงเป็นสิบแปดมงกุฎแน่ คุณไล่เขาไปก็พอแล้วค่ะ”ทีมงานประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมแอบพึมพำในใจว่า คำว่า ‘จากไป’ ที่เวินเหลียงบอกคงจะหมายถึงตายใช่ไหม?“โอเคค่ะ ฉันจะไปไล่เธอเดี๋ยวนี้”ทีมงานมาถึงข้างรถที่จอดอยู่นอกรั้วกองถ่าย พร้อมชำเลืองมองประเมินหลินเจียหมิ่นที่นั่งอยู่ในเบาะที่นั่งด้านหลังสองสามที หน้าตาก็ดูเหมือนคนปกติ แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสิบแปดมงกุฎ!เธอพูดกับหลินเจียหมิ่นอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ “คุณไปเถอะ คุณเวินไม่ออกมาพบคุณ”คิ้วอันงดงามของหลินเจียหมิ่นขมวดเข้าหา
“ฉันเป็นแม่ของเขา เธอให้เขามารับสายซะ”ผู้ช่วยอึ้งไปครู่หนึ่งแม่ของคุณเวินเหลียง?แต่ว่าถ้าเป็นแม่ของคุณเวินเหลียง จะเป็นหมายเลขทั่วไปได้ยังไง?เห็นได้ชัดว่าคุณเวินเหลียงไม่รู้จักหมายเลขนี้ผู้ช่วยหันกลับไปมองทีหนึ่ง ทีมงานหน้าเซ็ตมาเรียกให้เวินเหลียงไปลองเข้าฉากแล้ว เธอจึงบอกกับคนที่อยู่ปลายสายไปว่า “ขอโทษนะคะ ตอนนี้คุณเวินเหลียงกำลังทำงานอยู่ ถ้ามีเรื่องด่วนอะไรก็บอกฉันมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยเอาไปบอกให้คุณเอง ถ้าไม่มีเรื่องด่วนละก็ รบกวนคุณต่อสายมาใหม่หลังจากที่คุณเวินเหลียงเลิกงานแล้วนะคะ”“ฉันเป็นแม่ของเขา ไม่ใช่คนอื่นคนไกลอะไร เธอส่งโทรศัพท์ให้เขาซะ!” น้ำเสียงของหลินเจียหมิ่นเคร่งขรึม พร้อมกับเน้นย้ำอีกรอบผู้ช่วย: “ขอโทษนะคะ คุณเวินเหลียงกำลังทำงานอยู่ค่ะ ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไร ฉันวางสายแล้วนะคะ รอคุณเวินเหลียงเลิกงานคุณค่อยโทรมาใหม่นะคะ”หลังวางสายผู้ช่วยก็หยิบแก้วน้ำเดินเขาไปที่หน้าเซ็ตถ่ายทำเวินเหลียงกำลังถ่ายฉากต่อสู้กับนักแสดงอีกคนอยู่ ผู้ช่วยของนักแสดงคนนั้นเองก็รอสแตนด์บายอยู่รอบ ๆ หน้าเซ็ตเช่นกันทั้งสองคนพูดคุยกัน ไม่รู้คุยกันไปถึงเรื่องหลอกลวงในอินเทอร์เน
หลินเจียหมิ่นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะต่อสายให้คนขับรถขับรถมา แต่น่าเสียดายที่รถของเวินเหลียงขับออกไปไกลแล้วเธอนั่งมองวิวถนนนอกหน้าต่างผ่านหน้าต่างอยู่บนเบาะที่นั่งด้านหลัง ในใจผุดความหงุดหงิดขึ้นมาสายหนึ่งไม่นึกเลยว่าคนตระกูลเวินจะหลอกเวินเหลียงว่าเธอตายไปแล้ว?ถ้าเป็นอย่างนี้ หากเธอต้องการบรรลุเป้าหมายก็ต้องทำให้เวินเหลียงเชื่อก่อนว่าเธอคือแม่ของเวินเหลียงถึงจะได้พอลองมาคิดดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว หลินเจียหมิ่นก็รู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลถ้าเวินเหลียงคิดว่าแม่ของตัวเองตายไปแล้วจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วจู่ ๆ คนที่เคยบาดหมางกับตนมาก่อนไปบอกว่าเป็นแม่ของเธอ เธอก็จะต้องโกรธ เธอจะคิดว่าคนคนนั้นเสียสติไปแล้ว แต่ไม่ใช่การพูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า ‘ฉันไม่มีแม่ แม่ฉันจากไปนานแล้ว’เวินเหลียงราวกับรู้อยู่นานแล้วว่าเธอจะพูดอะไรหรือบางทีเวินเหลียงอาจจะรู้ตัวตนของเธอตั้งนานแล้วก็ได้ ถึงได้สุขุมขนาดนั้น?หวนนึกไปถึงแววตาของเวินเหลียงเมื่อครู่นี้ คงจะเป็นอย่างนี้แล้วเวินเหลียงรู้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?หลินเจียหมิ่นหวนนึกไปเมื่อตอนเจอกันที่โรงพยาบาลครั้งก่อน การตอบสนองของเวินเหลียงไม่เหม
ทว่าหลังกดส่งไป ข้าง ๆ ข้อความกลับปรากฏเครื่องหมายอัศเจรีย์สีแดงแสนสะดุดตาขึ้นมาหมายเลขนี้ถูกเวินเหลียงบล็อกไปเช่นกันนัยน์ตาของหลินเจียหมิ่นประกายความดำมืดออกมาสายหนึ่งในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล ก็มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งแล้ววันต่อมา ขณะที่เวินเหลียงอยู่ในกองถ่าย เธอได้รับสายจากคุณครูโรงเรียนอนุบาลของฟู่ซือฝานผู้ช่วยถือโทรศัพท์ที่มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาให้ เธอมองหน้าจอก่อนจะกดรับสายคุณครูที่อยู่ปลายสายพูดขึ้นว่า “คุณแม่ซือฝานคะ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาที่โรงเรียนอนุบาล บอกว่าเป็นยายของซือฝาน จะพาตัวซือฝานไปค่ะ”หัวใจเวินเหลียงเต้นตึกตัก ๆ พร้อมรีบตอบกลับไปว่า “ห้ามให้เธอพาตัวฝานฝานไปเด็ดขาด”“เรื่องนี้เราทราบค่ะ แต่ตอนนี้เธอไม่ยอมออกไปจากโรงเรียนอนุบาล บอกจะเจอคุณให้ได้”เวินเหลียงขมวดคิ้วมุ่น เธอเงียบไปอยู่สองสามวินาที ก่อนจะตอบไปว่า “เอาโทรศัพท์ให้เธอหน่อยค่ะ”“ได้ค่ะ”เสียงกึก ๆ กัก ๆ ระลอกหนึ่งแว่วดังขึ้นมาเสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นมาจากปลายสาย “เสี่ยวเหลียง ในที่สุดเธอก็รับสายแม่ได้สักที”เวินเหลียงแสยะยิ้ม “คุณหลิน คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”“เธอคือลูกสาวของฉัน ฉันก็แค่อยาก
เธอรู้อยู่แล้วว่าที่หลินเจียหมิ่นมาครั้งนี้เพราะมีจุดประสงค์ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เองแค่เวินเหลียงครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ในใจเธอแสยะยิ้มคนตระกูลอู๋ไปหาคำอธิบายกับตระกูลฮั่วตามที่ฟู่เจิงบอก ตระกูลฮั่วอยากปกป้องหลินอี้หน่วน จึงคิดหาวิธีช่วยอู๋ฮ่าวหรันออกมาฉะนั้นหลินเจียหมิ่นจึงมาที่นี่เขาทิ้งเธอไปยี่สิบกว่าปี วันนี้กลับมาเพื่อหลินอี้หน่วนอาหลานรักกันสุดหัวใจจริง ๆ!เมื่อเห็นสีหน้าเย้ยหยันของเวินเหลียง หลินเจียหมิ่นก็คีบอาหารให้เธออย่างไม่เร็วและไม่ช้าอีกคำหนึ่ง สีหน้าแฝงไปด้วยความอ่อนโยน “เสี่ยวเหลียง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอค่อนข้างต่อต้านกับเรื่องนี้ แต่แม่ทำไปเพราะหวังดีกับเธอทั้งนั้น เธอลองคิดดูสิ เธอกับเพื่อนเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ฮ่าวหรันเองก็เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น เขาไม่ได้มีเจตนาร้าย ปล่อยให้เขาติดคุกมันไม่น่าเสียดายเหรอ? ขอแค่เธอยอมให้อภัย ตระกูลอู๋ตระกูลฮั่วก็จะรู้สึกซาบซึ้งใจ นี่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและอาชีพการงานของเธอมากทีเดียวนะ ทำไมต้องทำตัวสุดโต่ง ทำให้เสียหายไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายด้วยล่ะ?”“อีกอย่างแค่คิดเธอก็รู้แล้ว
“คุณเวิน ผลการตรวจพบว่าคุณมีผนังมดลูกบางแต่กำเนิด ทารกในครรภ์ผิดปกติ ต้องระวังเรื่องการกินการออกกำลังในปกติมากหน่อยนะคะ”หมอกำชับพลางจ่ายยา ก่อนจะยื่นบัตรไป “นี่ค่ะ ไปรับยาได้เลย”“ค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณหมอ” เวินเหลียงรับบัตรมาแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนหมอกำชับเธออีกคำ “ต้องระวังนะคะ อย่าเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญล่ะ!”ผนังมดลูกบางทำให้แท้งง่าย ผู้หญิงตั้งครรภ์หลาย ๆ คนพอแท้งลูกแล้วก็ตั้งครรภ์ไม่ได้อีก“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ฉันจะระวังนะคะ” เวินเหลียงยิ้มน้อย ๆ พร้อมพยักหน้าแต่งงานมาสามปี ไม่มีใครรอคอยการมาของเด็กคนนี้มากไปกว่าเธออีกแล้ว เธอต้องปกป้องเขาอย่างดีแน่นอนหลังจากรับยา เวินเหลียงออกมาจากตึกแผนกผู้ป่วยนอกและกลับขึ้นรถคนขับรถสตาร์ตรถ มองเธอจากกระจกหลัง “คุณผู้หญิงครับ เที่ยวบินของคุณผู้ชายคือบ่ายสามโมง ยังมีเวลาอีกยี่สิบนาที จะไปสนามบินเลยไหมครับ?”“ไปสิ”พอนึกถึงว่าอีกยี่สิบนาทีก็จะได้เจอเขา ใบหน้าเวินเหลียงปรากฏรอยยิ้มหวานนิด ๆ ในใจเริ่มอดรนทนไม่ไหวแล้วฟู่เจิงไปดูงานเกือบเดือนแล้ว เธอคิดถึงเขามาก ๆระหว่างทางเธออดใจไม่ไหว หยิบผลตรวจครรภ์ออกมาจากกระเป๋าดูแล้วดูอีก วางมือบนท้องน้อ