หูเวินเหลียงแดงเล็กน้อย เธอมองเขาอย่างเหลือจะเชื่อทีหนึ่ง ก่อนจะพูดปฏิเสธ “คุณพูดจาเพ้อเจ้ออะไรอยู่? ฉันจะขับเร็วหน่อย คุณกลับไปจัดการตัวเองที่บ้านแล้วกัน!”ทำไมเขาถึงได้...เอ่ยปากขอร้องให้เธอช่วยขึ้นมาโต้ง ๆ แบบนี้ได้เนี่ย?!นี่มันเหตุการณ์แบบไหนกัน?จะช่วยตามอำเภอใจได้ยังไง?ลูกกระเดือกของฟู่เจิงขยับขึ้นลง ลมหายใจหนักอึ้ง เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดกลั้นว่า “ฉันทนรอให้ถึงบ้านไม่ไหวแล้ว...เลี้ยวขวาตรงทางแยกข้างหน้า ไปสวนสาธารณะศูนย์กลาง”เวินเหลียงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าไปในเลนส์ของรถที่จะเลี้ยวขวาผ่านไปสามนาที รถยนต์ก็แล่นเข้าไปในสวนสาธารณะตอนนี้สวนสาธารณะศูนย์กลางเปิดให้เข้าฟรี สภาพอากาศยังเย็นอยู่ แถมยังเป็นตอนกลางคืน ภายในสวนสาธารณะไม่มีเงาคนแม้แต่คนเดียวเวินเหลียงสุ่มจอดรถข้างถนน เธอรีบกุลีกุจอปลดเข็มขัดนิรภัยออก “ฉันจะออกไปข้างนอก คุณจัดการตัวเองก็แล้วกัน”เธอกำลังจะเปิดประตูรถลงไปจริง ๆ แล้ว ทว่าฟู่เจิงกลับคว้าข้อมือของเธอเอาไว้จากเบาะที่นั่งด้านหลัง มองเธอด้วยสายตาเว้าวอน พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อาเหลียง ฉันขอร้องเธอละ ช่วยฉันหน่อยโอเคไหม? ฉันทรมานม
ฟู่เจิงมองเงาร่างของเธอ พลางฉีกรอยยิ้มอันงดงามออกมา แล้วกลับไปยังที่นั่งด้านหลังภายในรถคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเวินเหลียงสตาร์ตรถ พร้อมเปิดกระจก พลางลอบตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะเอารถไปล้างให้ได้“ฟู่เจิง คืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”เมื่อครู่ตอนที่อยู่เบาะที่นั่งด้านหลัง เธอเห็นร่องรอยการเสียดสีบนผนังบนเสื้อเสื้อโค้ตของเขา“มีคนคิดเล่นงานฉัน หลังจากที่จับได้ว่าฉันหนีออกจากห้องของโรงแรม ก็ให้คนมาเฝ้าทางออกของโรงแรมเอาไว้ ตรวจสอบจากบันไดหนีไฟทุกชั้น ฉันก็เลยต้องปีนกำแพงออกมา”หลังเข้าไปในห้อง เมื่อเสี่ยวหวังออกมา ฟู่เจิงก็ไปที่ระเบียงทันทีเขาปีนลงมาที่ชั้นสามสิบเอ็ดจากทางระเบียงห้องนั้นเป็นห้องว่างเขารู้ว่าฮั่วตงเฉิงไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่ ออกไปทางประตูปกติไม่มีทางหนีพ้น จึงจงใจอาศัยความต่างของเวลา ขึ้นลิฟต์จากชั้นสามสิบเอ็ดลงมายังชั้นสอง แล้วเข้าไปแอบอยู่ในห้องน้ำตอนที่คนของฮั่วตงเฉิงมาตรวจสอบห้องน้ำ เขาก็ปีนออกจากห้องน้ำทางหน้าต่างไปยังระเบียงของห้องที่ใกล้ที่สุดคนเหล่านั้นคิดแค่ว่าเขาจะต้องลงบันไดแน่ และไม่มีทางลงมาจากตึกได้เร็วขนาดนั้น พวกเขาตรวจสอบชั้นล่างไม่ค่อ
ภายในห้องของโรงแรม หลินอี้หน่วนเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องรับแขกอย่างหงุดหงิดคิดไม่ถึงเลยว่าเป็ดที่กำลังจะต้มสุกแล้ว ยังบินหนีไปได้อีก!หึ ดูสิว่าเขาจะบินไปได้ถึงไหน!ทว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ ลูกพี่ลูกน้องของตนจัดแจงคนไว้ทั่วทั้งตึกแล้ว ไม่ช้าก็เร็วฟู่เจิงต้องตกมาอยู่ในมือของเธอหลินอี้หน่วนเดินไปที่ทางหนีไฟอย่างลุกลี้ลุกลนภายในมีแต่ความมืด คละคลุ้งไปด้วยความเย็นยะเยียบน่าขนลุกเธอเกิดความลังเลขึ้นมานี่คือชั้นที่สามสิบกว่า ฟู่เจิงจะเดินลงไปจากตรงนี้จริง ๆ เหรอ?“คุณผู้หญิง”ทันใดนั้นก็มีเสียงเสียงหนึ่งแว่วดังมาจากด้านในหัวใจของหลินอี้หน่วนแทบหลุดออกมา เธอเอามือทาบอกพลางถอยหลังสองก้าวเธอชะโงกคอไปดู ในตอนนี้เองถึงได้พบเงาดำสายหนึ่งยืนอยู่ในซอกมุมบันไดเธอออกแรงกระทืบเท้า ไฟควบคุมด้วยเสียงสว่างขึ้นในตอนนี้เองหลินอี้หน่วนถึงได้เห็นว่า เงาดำสายนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง สีหน้าซีดขาว เบ้าตาแดงเถือก ราวกับอารมณ์ไม่ค่อยดีนักถึงได้มาหลบอยู่ตรงนี้“ฉันตกใจหมดเลย” หลินอี้หน่วนถอนหายใจเฮือกหนึ่งหญิงสาวเอ่ยขึ้นว่า “ฉันเห็นคุณเอาแต่มองมาในนี้ตลอด”“คุณอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้
“คุณป้าคะ หนูอยากไปสวนสนุกค่ะ”แม้เจ้าตัวน้อยจะแก่แดดกว่าเด็กที่อายุเท่ากันไปมาก แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากไปเรียนได้ห้าวัน ก็เอาแต่อยากเล่นอย่างเดียวเวินเหลียงมองท้องฟ้า ดูมืดครึ้มช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดีนัก มีฝนตกปรอย บางทีก็ถึงขั้นเทกระหน่ำลงมาวันนี้เช้าก็ตกลงมาปรอย ๆ ตอนนี้หยุดแล้ว เพียงแต่อากาศยังคงมืดครึ้มดังเดิม ไม่มีพระอาทิตย์ เป็นไปได้มากว่าฝนจะเทลงมาอีก“งั้นป้าพาเธอไปกินของอร่อยดีไหม?”“ตอนเช้าไปสวนสนุก ตอนเที่ยงไปกินของอร่อย”เด็กน้อยต่างหากที่ต้องเลือก ฟู่ซือฝานจะเอาหมดทุกอย่าง!เวินเหลียง: “...”“เอาละ งั้นป้าจะพาเธอไปสวนสนุก แต่เป็นไปได้ว่าฝนจะตกลงมา ถ้าตกลงมาพวกเราก็กลับ?”“อืม ๆ” ฟู่ซือฝานพยักใบหน้าน้อย ๆบนรถ ปากน้อย ๆ ของฟู่ซือฝานเล่าชีวิตในโรงเรียนอนุบาลในช่วงนี้ให้เธอฟังบลา ๆ ๆพูดไปได้ครึ่งทางท้ายที่สุดก็พูดจนเหนื่อยพอเธอหยุดพูด เวินเหลียงก็ยิ้มแย้ม พร้อมเปลี่ยนเพลงหลังมาถึงยังสวนสนุก ฟู่ซือฝานหาวทีหนึ่ง ไม่นานก็กลับมาจมดิ่งสู่ความร่าเริงสนุกสนานแล้วลงมาจากม้าหมุน ฟู่ซือฝานก็เงยหน้ามองไปยังรถไฟเหาะ ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งไปทางน
เวินเหลียงอึ้งกิมกี่ไปเลย ก่อนจะมองประเมินผู้หญิงคนนั้นสองที “คุณคือผู้ปกครองของเขาเหรอคะ? มาได้ทันเวลาพอดีเลย ลูกของคุณเพิ่งชนเด็กของฉันจนตกลงมาจากสไลเดอร์ รีบให้เขาขอโทษเด็กของฉันเดี๋ยวนี้!”เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินดังนั้นเธอก็มองเวินเหลียงสองที ก่อนจะแสยะยิ้ม “คุณบอกว่าเขาเป็นคนชนเขาก็เป็นคนชน? ข้างบนไม่ได้มีแค่ลูกฉันคนเดียวซะหน่อย!”“เมื่อกี้เขาเพิ่งเป็นคนยอมรับเอง”ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าไปมองเด็กผู้ชายทีหนึ่ง “หึ ผู้ใหญ่อย่างคุณมายืนตะคอกบีบเขาอยู่อย่างนี้ เขาก็คงกลัวถึงได้ยอมรับออกมา”“ในเมื่อคุณพูดออกมาแบบนี้ งั้นพวกเราไปดูกล้องวงจรปิดที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดกัน!”“ให้ตายเถอะ ช่างสรรหาเหตุผลแต่ไม่ยอมถอยจริง ๆ ต่อให้ลูกฉันเป็นคนชนแล้วจะทำไม เขาไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย อีกอย่าง ฉันดูแล้วลูกสาวคุณก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย คงไม่ได้คิดจะกล่าวหาเอาไปแบล็กเมล์ใช่ไหม?” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยเด็กผู้ชายใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัวจริง ๆ แต่เสื้อผ้าของเธอกับฟู่ซือฝานเองก็ไม่ด้อยไปกว่าเลย ไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอไปขุดหาข้อสรุปมาจากไหนกัน!ณ ที่นี้ ต่อให้พวกเธอเป็นครอบครัวธรรมดา ๆ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะ
เธอติดต่อไปที่เลขาของคุณฮั่ว เลขาบอกว่าเขาจะไปบอกกล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่สถานีตำรวจเอง ถึงยังไงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเจ้าหน้าที่อาวุโสชำเลืองมองเวินเหลียงทีหนึ่ง ก่อนจะแค้นเสียงฮึ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหัวหน้าของเราครับ? ชนก็ชน ไม่ชนก็ไม่ชนสิครับ มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ตรงนั้น ชนแล้วก็ต้องขอโทษเขา”สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน?เลขาหลิวบอกว่าไปบอกกล่าวแล้วไม่ใช่เหรอ?เด็กผู้ชายเองก็ถูกทำให้ตกใจเช่นกัน สีหน้าเขาซีดเผือด ลมหายใจถี่ขึ้น“ถ้าเราไม่อยากขอโทษล่ะ?”“งั้นก็ไปนั่งพักที่สถานีตำรวจก็แล้วกันครับ ถึงยังไงห้องขังของเราก็มีเยอะแยะ”เมื่อเด็กชายได้ยินดังนั้นก็กระวนกระวายใจขึ้นมา บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆเมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เวินเหลียงเองก็มองออกว่า ครอบครัวของผู้หญิงคนนี้คงมีภูมิหลังอยู่บ้าง เดาว่าเมื่อครู่คงต่อสายให้คนไปบอกกล่าวที่สถานีตำรวจแต่นึกไม่ถึงว่าคนที่แจ้งตำรวจคือเธอ ฉะนั้นแม้จะไปบอกกล่าวก็ไร้ประโยชน์เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจเวินเหลียงก็ทอดถอนใจเธออยากขีดเส้นความสัมพันธ์ระหว่างฟู่เจิงให้
“เห็นฉันทำอะไร?” เวินเหลียงขมวดคิ้วน้อย ๆ ดื่มน้ำผลไม้คำหนึ่ง “ตอนนี้ฉันไม่ว่างนะ” ฝั่งตรงข้ามมีเสียงดังเอ็ดอึงสองสามวินาที จากนั้นในสายก็มีเสียงผู้หญิงดุดังขึ้น “คุณเวินใช่ไหม? โรคหืดหอบลูกชายฉันกำเริบจนเกือบจะตายแล้วเพราะคุณ คุณมาขอโทษลูกชายฉันที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยนะ+”เสียงผู้หญิงฟังดูไม่คุ้นหูเลย ไม่เหมือนกับผู้หญิงไร้เหตุผลคนนั้น แต่ก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกันสมกับพวกเดียวกันต้องอยู่ด้วยกันจริง ๆขมับของเวินเหลียงเต้นตุบ ๆ ชักจะโมโห “โรคหืดหอบลูกชายคุณกำเริบมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย? เรื่องเขาชน...ลูกสาวฉันยังไม่ขอโทษเลย ฉันไม่ได้ตามไปถึงโรงพยาบาลก็ผ่อนปรนให้มากแล้ว”อีกฝ่ายแค่นเสียงหัวเราะ “พูดอย่างนี้ ฉันยังต้องขอโทษคุณสินะ? เท่าที่ฉันรู้มา ลูกสายคุณก็แค่ถลอกนิดหน่อย แต่คุณกลับเอาเรื่องเด็กไม่เลิก กัดไม่ปล่อย ยังใช้ตำรวจมาข่มขู่ลูกชายฉันอีก ทำให้โรคหืดหอบเขากำเริบ+ คุณยังกล้าแก้ตัวอีกเหรอ?”“แล้วที่ฉันพูดไม่ใช่ความจริงเหรอ? เขาชนลูกสาวฉัน จะขอโทษก็สมควร แค่เพราะว่าเขาป่วย ทำผิดก็เลยไม่ต้องรับผิดชอบ?” ถ้าพวกเขาขอโทษแต่แรก เธอก็คงไม่เอาความให้ได้ และจะไม่แจ้งความ“ฉันขอถามคุณ
“คุณเวินไปล่วงเกินใครเข้า ตัวเองยังไม่รู้เหรอครับ?”เวินเหลียงเลิกคิ้ว เข้าใจในทันทีเป็นพวกคนเมื่อเช้านั่นเคลื่อนไหวเร็วทีเดียว“ได้ ฉันจะตามพวกแกไป ขอฉันเอาของไปวางไว้ในรถก่อน”“ได้”เวินเหลียงวางถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าที่อยู่ในมือไปวางไว้ในรถ ก่อนจะจูงมือน้อย ๆ ของฟู่ซือฝานขึ้นไปบนรถตู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม“ไม่ต้องกลัวไปนะ” เธอพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนฟู่ซือฝานขดอยู่ในอ้อมอกของเวินเหลียง เธอมองเหล่าชายฉกรรจ์ท่าทางดุดันใจดำอำมหิตทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณป้าคะ พวกเขาจะพาเราไปที่ไหนเหรอคะ?”เจ้าตัวน้อยจิ้ม ๆ นาฬิกาข้อมือทั้งใบหน้าน้อย ๆ แสนซีดเผือดคุณลุงรีบมาเร็วเข้าสิ เธอกับคุณป้าถูกลักพาตัวแล้ว“อืม...น่าจะโรงพยาบาล” เวินเหลียงคาดเดาเธอเงยหน้ามองคนที่เป็นหัวหน้าที่อยู่ในที่นั่งข้างคนขับ แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ฟังจากสำเนียงของพวกแกเหมือนจะไม่ใช่คนในพื้นที่?”สายตาของคนที่เป็นหัวหน้ามองตรงไปด้านหน้า ทำอย่างกับไม่ได้ยินอย่างนั้นคนอื่นเองก็เงียบราวกับใบไม้ใบหนึ่งที่ค่อย ๆ ลอยตกไปบนผิวทะเลสาบ ไร้ซึ่งความตกตะลึงใด ๆเวินเหลียงถามขึ้นอีกว่