ทว่าพวกเขาดูแล้วแจ่มใสมีชีวิตชีวากันเป็นอย่างมาก จริง ๆไม่เหมือนเธอ เธอเคยมีช่วงเวลาแบบนั้น การแต่งงานสามปีที่หวงแหนที่สุด ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่คำโกหกหลอกลวงที่อีกคนตั้งใจสร้างขึ้นมา ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพเนื่องจากเป็นเรื่องโกหก เขาก็เลยควบคุมได้ทุกด้านในใจของเวินเหลียงเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เจ็บจนเธอหายใจไม่ออกเสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นถังซือซือที่โทรเข้ามาเวินเหลียงรับสาย “ฮัลโหล ถังถัง เมื่อกี้ฉันเจอคนรู้จักก็เลยพูดคุยกันสองประโยค จะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ”เธอปิดโทรศัพท์ แล้วยกเท้าก้าวไปอย่างยากลำบาก กลับไปยังที่นั่งในร้านอาหารเธอเห็นของที่ซื้อมาซึ่งอยู่ข้างที่นั่งเหล่านั้น ทั้งหมดล้วนใช้บัตรดำของฟู่เจิงซื้อ“ถังถัง กินข้าวเสร็จฉันอยากกลับไปคืนเสื้อผ้าเหล่านี้”“คืนงั้นเหรอ? ทำไมถึงอยากคืนล่ะ?” ถังซือซือถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ“อันที่จริงบัตรดำนี่ไม่ใช่ของฉัน เป็นของคนที่บ้าน ฉันกลัวว่าแอบใช้เงินของเขาแล้วจะถูกเขารู้เข้า ยังไงก็คืนดีกว่า”“ได้ งั้นฉันจะกลับไปกับคุณเอง”เมื่อเห็นการกระทำของเวินเหลียง พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็ค่อนข้างมีมารยาทเป็นอย่างมาก คืนของคืนเ
คนขับรถจอดอยู่ด้านนอก เวินเหลียงอ้อมมาอีกทางเพื่อขึ้นที่นั่งด้านหลัง มองทิวทัศน์ยางค่ำคืนนอกหน้าต่างรถ ๆ เงียบตลอดทางคนขับรถมองตรงไปด้านหน้า ขับรถอย่างมีสมาธิข้างนอกเสียงเอ็ดอึง เสียงขลุ่ยดังไม่ขาดสาย กลายเป็นบรรยากาศที่แตกต่างสุดขั้วกับในรถอันเงียบสงบฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงมีสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อยจึงถาม “การ์ดที่ฉันให้เธอ ใช้ก็ใช้ไปสิ ทำไมถึงต้องคืนแล้วซื้อใหม่อีก?”ภายหลังโทรศัพท์มือถือของเขามีข้อความแจ้งเตือน เงินที่จ่ายไปเมื่อก่อนหน้านี้คืนกลับมาหมดแล้ว แต่เวลานี้ข้าวของพวกนั้นยังอยู่ในมือของเธอ หรือก็หมายถึงเธอใช้เงินของตัวเองซื้อใหม่เวินเหลียงยังคงมองนอกหน้าต่าง ไม่ได้หันกลับมา “ฉันอยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ไม่ซื้อ ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”“เพราะฉันชอปปิงเป็นเพื่อนซืออี๋ เธอก็เลยโกรธเหรอ?”“เรื่องที่คุณทำเพื่อฉู่ซืออี๋ยังจะน้อยอีกเหรอ? ก็แค่ชอปปิง ฉันจะโกรธอะไร?”เวินเหลียงฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้า นั่งพิงกับเก้าอี้และหลับตาลง“งั้นเธอเป็นอะไรไป?”เธอเป็นอะไรน่ะเหรอ?เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอเป็นอะไรไปหัวใจของเธออ่อนล้ามาก มันว่างเปล่าไร้เรี่ยวแรงเหมือนเครื่องจั
นับจากพ่อจากไป เธอก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นอีกหัวใจของเธอเปราะบาง ทั้งต้อยต่ำและความรู้สึกไว ดังนั้นเธอจึงเคยชินกับการสร้างปราการที่แข็งแรงให้กับตัวเองเธอเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เคราะห์ดีจึงถูกตระกูลฟู่รับอุปการะ กลับต้องหวาดหวั่น ระมัดระวัง คอยสังเกตสีหน้าเพราะเหตุนี้คนตระกูลฟู่ดูถูกเธอ นอกจากคุณปู่ คุณย่า ก็มีแต่ฟู่เจิงที่ทำดีกับเธอหน่อย บางครั้งเวินเหลียงยังคิด ถึงเขาจะไม่รักเธอ แต่ก็น่าจะมีความรู้สึกให้เธอบ้างแต่เธอผิดไปแล้ว ผิดไปมากจริง ๆถ้าเขามีสายใยครอบครัวกับเธอสักนิดจะไม่ทำกับเธอแบบนี้สำหรับเขา เธอยังสู้คนแปลกหน้าไม่ได้เลยเขาเป็นเหมือนกับคนพวกนั้น แล้วยังจะเย็นชากว่าคนพวกนั้นเยอะด้วย เขาแค่ซ่อนอารมณ์อยู่ในใจ ภายนอกดูมีมารยาท จึงทำให้เธอลุ่มหลงในรถเงียบเหมือนไม่มีคนฟู่เจิงสูดลมหายใจเข้าลึก มองท่าทางเวินเหลียงที่น้ำตานองหน้า หัวใจราวกับถูกคนบีบแน่นก็มิปานเขาไม่เคยเห็นเวินเหลียงเป็นแบบนี้มาก่อนเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เห็นน้ำตาของเวินเหลียงแล้ว ในใจกลับทรมานจนหายใจไม่ออกฟู่เจิงนิ่งอยู่นานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ “ขอโทษ”ขอโทษอีกแล้ว ไม่ว่าเกิดอะ
“หนังสือสัญญาหย่า ฉันอยากหารือกับเธอใหม่หน่อย มาที่ห้องทำงานเถอะ”“ได้”เวินเหลียงวางผ้าขนหนูกลับที่เดิมแล้วตามฟู่เจิงออกมา ปิดประตูและไปที่ห้องทำงานฟู่เจิงค้นเอกสารหนังสือสัญญาหย่าฉบับอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มเนื้อหาลงไปในนั้นอีกสองสามข้อ ก่อนจะเบี่ยงตัวหันหน้าจอให้ และให้เวินเหลียงมา “เธอลองมาดูเนื้อหาที่ฉันเพิ่ม”เวินเหลียงเอามือค้ำโต๊ะแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า เห็นตัวหนังสือสีแดงหลายบรรทัดที่เน้นอยู่บนหน้าจอข้อแรกที่เพิ่มคือ ทั้งสองคนหย่าแต่ไม่ออกจากบ้าน หลังจากจดทะเบียนหย่าแล้วยังอยู่ที่คฤหาสน์ย่านซิงเหอวานเหมือนเดิมฝ่ายหญิงต้องช่วยฝ่ายชายปกปิดกับทางบ้านของฝ่ายชาย พร้อมแสดงเป็นสามีภรรยาไปกตัญญูต่อผู้ใหญ่ที่บ้านใหญ่เมื่อจำเป็น จนกว่าผู้ใหญ่จะทราบว่าทั้งสองหย่ากันแล้วข้อที่สอง ทั้งสองฝ่ายห้ามพูดเรื่องแต่งงานหรือหย่ากับบุคคลอื่นข้างนอกข้อที่สาม ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพักอยู่ที่คฤหาสน์ย่านซิงเหอวาน ไม่อนุญาตให้พาผู้ชายหรือผู้หญิงคนอื่นมาค้างแรมที่คฤหาสน์นอกจากนั้นยังมีอีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือการแบ่งทรัพย์สินเดิมทีเวินเหลียงจะได้เงินหนึ่งร้อยล้านบาท คฤหาสน์สองหลังและรถหรูส
คืนวันนั้น สมองของเธอเหลือเพียงภาพเศษเสี้ยว ดื่มด่ำที่สุดไม่รู้ว่าเรื่องของพวกเขารู้ไปถึงหูคุณปู่ได้อย่างไร คุณปู่มาหารือกับพวกเขาทีละคน สุดท้ายได้วิธีการจัดการที่เหมาะสมมากในตอนนั้น ก็คือให้พวกเขาแต่งงานกันพวกเขาไม่ได้จัดงานแต่งงาน แค่กินอาหารกับคนในตระกูลฟู่ที่บ้านใหญ่มื้อหนึ่ง จากนั้นก็ไปจดทะเบียนสมรสเธอได้เป็นภรรยาของฟู่เจิงแล้วขณะนั้นไม่มีใครรู้ว่าเธอดีใจมากขนาดไหนเธอได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองชอบเธอแต่งงานกับคนที่เธอชอบมาหลายปีเขาโดดเด่นอย่างนั้น เธอได้แต่แหงนหน้ามองเขาก่อนแต่งงาน พวกเขาไม่ได้คลุกคลีกันมากนัก เวลาที่เจอเขา เวินเหลียงจะได้แต่เรียกเขาที่มุมปากว่าพี่รองเขาจะ ‘อืม’ เสียงหนึ่งเบา ๆ บางครั้งจะแค่พยักหน้ากับเธอแบบเรียบง่าย และมีสองสามครั้งที่หลังจาก ‘อืม’ แล้วยังถามว่าตอนนี้การเรียนของอาเหลียงเป็นยังไงบ้างคำพูดนี้เป็นคำถามที่ใช้ถามเพื่อคลายความเก้อเขินระหว่างญาติไม่สนิท แต่นี่กลับทำให้หัวใจของเวินเหลียงชุ่มฉ่ำหลายวันเธอขยันขันแข็งจนลืมกินข้าว ตั้งใจเรียนหนังสือ เริ่มแรกหวังว่าในสายตาของเขาจะมองเห็นเธอ ภายหลังเธอหวังจะได้เดินเคียงข้างเขาอย่างเปิดเผยเ
เวินเหลียงได้แต่สวมเสื้อผ้า ขับรถออกจากบ้านไปถึงพิกัดที่เจียงมู่ส่งมา ไปถึงห้องวีไอพีแบบชินทางก่อนจะผลักประตูเข้าไปบนโซฟามีคนนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งคือเจียงมู่ อีกคนคือฟู่เจิงเจียงมู่นั่งพิงอยู่กับพนักพิงของโซฟา กำลังจุดบุหรี่มวนหนึ่งส่วนฟู่เจิงนั่งพิงอยู่กับพนักพิงของโซฟา หลับตาพักผ่อน ในมือยังถือแก้วเหล้าที่เหลือเหล้าอยู่ครึ่งแก้วพอได้ยินเสียงเปิดประตูก็ลืมตาขึ้นแล้วหลับลงอีกบนพื้นมีขวดเหล้าระเกะระกะอยู่ไม่น้อยเวินเหลียงเห็นแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่น “คงไม่ใช่ว่าเขาดื่มหมดนี่นะ?”เจียงมู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ เขานั่นแหละ”“อาเจิง”เวินเหลียงเรียกเขาทีหนึ่งและเดินไปทางโซฟา หยิบแก้วเหล้าจากมือของเขาแล้ววางลงบนโต๊ะฟู่เจิงลืมตาขึ้น ดวงตาดำขลับทั้งสองจ้องเธอเขม็ง แต่ไม่ได้พูดอะไรเวินเหลียงสี่สายตาสอดประสานกับเขา หัวใจสะท้านนิด ๆ นาทีนั้นแบ่งแยกไม่ออกว่าเขาเมาหรือแกล้งเมากันแน่“ดึกมากแล้ว กลับบ้านพักผ่อนเถอะ”ฟู่เจิงยกมือนวดหว่างคิ้ว เขาลุกขึ้นยืนจากโซฟา แต่ซวนเซทันใดเวินเหลียงรีบเข้าไปประคองเขาไว้ “เดินไหวไหมคะ?”“ไหว”เสียงแหบพร่าของฟู่เจิงดังขึ้น เขาปัดมือของเวินเห
เวินเหลียงหน้าซีดฉับพลันเธอกับฟู่เจิงแต่งงานกันสามปี เขาไม่เคยเรียกเธอว่าที่รักมาก่อน ถ้าไม่เรียกเธอว่าอาเหลียง ก็เรียกว่าเวินเหลียงเธอไม่ใช่ที่รักในดวงใจของเขาที่รักในดวงใจเขาคือ...ฉู่ซืออี๋เวินเหลียงรู้สึกว่าตัวเองน่าขำเล็กน้อย ดึก ๆ ดื่น ๆ ลุกจากเตียงไปพาฟู่เจิงกลับมาจากข้างนอก สุดท้ายพอเขาหลับตาก็เรียกฉู่ซืออี๋ในความฝันเธอไม่ควรสนใจเขาเลย ให้เขาดื่มตายอยู่ข้างนอกไปเถอะ!เวินเหลียงกระชากมือออก อุ้มผ้าห่มผืนใหม่แล้วไปนอนที่ห้องรับรองแขกอีกห้องหนึ่งหลังจากเธอเดินไป ฟู่เจิงยังคงพึมพำเบา ๆ เหมือนเดิม “อาเหลียง...ที่รัก...”……ในราตรีดึกสงัดนี้ ทันใดนั้น สองโพสต์ราวกับตกลงมาจากฟ้า ดังสายอัสนีบนผืนดิน ขึ้นลำดับการค้นหายอดฮิตในพริบตา ก่อให้เกิดการวิจารณ์อย่างร้อนแรงของชาวเน็ตแสงอาทิตย์แสบตาทะลุกระจกสาดตกบนใบหน้าของฟู่เจิง เขาเอามือบัง ก่อนจะลืมตาขึ้นแบบสะลึมสะลือปวดหัวแทบจะระเบิดเขาหลับตาเอามือนวดหน้าผากสักเดี๋ยวแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง เมื่อนั้นจึงพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนอนใหญ่ แต่อยู่ในห้องของเวินเหลียงเวินเหลียงไม่ได้อยู่ในห้อง ผ้าปูเตียงอีกด้านหนึ่งเป็นระเบียบ ท่าท
คอมเมนต์ยอดฮิตในพื้นที่แสดงความคิดเห็น : ไม่มั้ง ๆ คงไม่มีใครเชื่อจริง ๆ ว่าคุณชายตระกูลฟู่แบบนี้จะบริสุทธิ์ผุดผ่องหรอกนะ? เห็นเขาเป็นพระเอกในนิยายเหรอ? เขาเที่ยวเก่งจะตาย แค่ไม่เป็นข่าวเท่านั้นเองพื้นที่แสดงความคิดเห็นมีคนมากมายหลายหลาก มีแฟนคลับของฟู่เจิงแย้งอธิบาย มีแฟนคลับของฉู่ซืออี๋ขีดเส้นแบ่งกับฟู่เจิงชัดเจน ขาจรรอดูเรื่องสนุก พวกแอนตี้แฟนกัดไม่ปล่อยด้านล่างยังมีอีกโพสต์การค้นหายอดฮิต : เวินเหลียงเรื่องราวเป็นกระแสร้อนแรงเมื่อคืน หลังจากพยายามหลายชั่วโมง ชาวเน็ตได้เปิดเฟซบุ๊กของเวินเหลียงซึ่งเป็นคนที่ฟู่เจิงนอกใจด้วย พร้อมนำรูปถ่ายที่เวินเหลียงลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของตัวเองมาเปรียบเทียบ เสื้อผ้าเหมือนกันเด๊ะ อีกทั้งเวลานี้เวินเหลียงมีบุญคุณความแค้นกับฉู่ซืออี๋ ชาวเน็ตจำนวนมากรู้แล้วว่าเธอคือผู้จัดการแบรนด์เอ็มคิว และเป็นลูกสาวบุญธรรมของประธานกรรมการใหญ่ฟู่ด้านล่างโพสต์ของเปิดโปงเวินเหลียงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบ่งออกเป็นสองขั้วขั้วหนึ่ง มีขาจรและแอนตี้แฟนของฉู่ซืออี๋คิดว่า ในเมื่อเวินเหลียงเป็นลูกบุญธรรมของประธานกรรมการใหญ่ฟู่ ก็นับว่าเป็นเพื่อนวัยเด็กของฟู่เจิง ไม่แน่ว่