สีหน้าของฟู่เจิงแข็งทื่อ เขาเม้มริมฝีปากแน่น ในใจไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากเธอชอบโจวอวี่มากจริง ๆ แม้แต่หลักการของตัวเขาก็ยังเอาชนะได้“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ?” เวินเหลียงเอ่ยถาม“เมื่อคืนพวกเธอทำอะไรกัน?”“ฉันไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้คุณฟัง”นี่เป็นคำพูดที่ฟู่เจิงเคยพูดกับเธอมาก่อน ตอนนี้ได้คืนให้เขาแล้วฟู่เจิงขมวดคิ้วพลางถูคิ้ว น้ำเสียงขึงขังขึ้น “เวินเหลียง เธออย่าใช้อารมณ์ได้ไหม!”เห็นได้ชัดว่าความรักทำให้คนตาบอด เดิมทีเวินเหลียงไม่ยอมรับฟังคำพูดของเขาอยู่แล้วเขาหวังว่าเวินเหลียงจะมีความสุข เพียงแต่โจวอวี่คนนี้ไม่เหมาะสมกับเวินเหลียงเลยสักนิด“ฉันใช้อารมณ์ยังไงไม่ทราบ?”“ฉันแค่เป็นห่วงเธอ โจวอวี่ตนคนนี้ไม่เหมาะสมกับเธอเลย หวังว่าเธอจะพิจารณาอย่างจริงจังดูหน่อย อย่าทำเป็นหูทวนลม ทำเรื่องอะไรที่มันกลับมาแก้ไขไม่ได้!”“ทำเรื่องอะไรที่มันกลับมาแก้ไขไม่ได้? คุณสื่อถึงอะไร? มีชู้เหรอ?” เวินเหลียงเลิกคิ้วฟู่เจิงเงียบ“ก่อนที่พวกเราจะหย่ากันอย่างเป็นทางการ ฉันไม่มีวันสวมเขาคุณแน่นอน คุณวางใจได้เลย แต่คุณ...ตอนนี้เขาบนหัวฉันงอกยาวเป็นกิโลแล้วมั้ง?” เวินเหลียงหัวเราะเยาะทีห
“อืม พูดกันถึงไหนแล้วนะครับ อ๋อ ๆ เงื่อนไขข้อที่สามสิบเอ็ดตรงนี้...”ผ่านไปยี่สิบนาที ทนายฟางเรียบเรียงเอกสาร แล้วใส่ไว้ในแฟ้มเอกสารอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย“ประธานฟู่ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”“อืม”ทนายฟางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปที่ข้างประตู มีเสียงของฟู่เจิงแว่วดังมาจากด้านหลัง “ทางเวินเหลียงคุณไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวผมไปบอกเธอก็พอ”“แบบนั้นก็ได้ครับ รบกวนประธานฟู่แล้วนะครับ”ทนายฟางออกจากห้องทำงานไปผ่านไปครู่หนึ่งนอกประตูห้องทำงานมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเวินเหลียงกำลังดำดิ่งอยู่ในงาน เธอไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “เข้ามา”มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา“มีเรื่องอะไร?”ผ่านไปนานสองนานทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงใด เวินเหลียงจึงเงยหน้าขึ้น ในตอนนี้เองถึงได้พบว่าฟู่เจิงยืนมองเธออยู่หน้าโต๊ะทำงานเวินเหลียงอึ้ง เธอลุกขึ้นยืน “ประธานฟู่ คุณมาได้ยังไง?”ฟู่เจิงมองเธอ “มาบอกเธอให้ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจแทนทนายฟางน่ะ”“อ๋อ ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวทำงานเสร็จแล้วก็ไป ประธานฟู่ยังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ?”“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำไมเธอไม่บอกฉันสักคำ?”เวินเหลียงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น พลางมองเขาอย่า
รถแล่นเข้าไปในโรงพยาบาล ฟู่เจิงหาที่จอดได้ก็จอดรถทันที เขาหาห้องตรวจของหมอจิตเวชเจออย่างคุ้นทาง เคาะประตูก่อนจะเข้าไป“คุณฟู่มาแล้ว การวินิจฉัยของคุณฉู่ในวันนี้เสร็จสิ้นแล้วค่ะ อาการไม่ดีขึ้นเลย กลับกันดันยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อกี้ฉันใช้ยาระงับประสาทให้เธอนอนหลับไปแล้ว”เมื่อฟู่เจิงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา “ผมทราบแล้วครับ”“คุณฟู่คะ ฉันหวังว่าคุณจะเก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจหน่อยนะคะ ก่อนหน้านี้อาการป่วยของคุณฉู่ดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่าจู่ ๆ สองวันนี้กลับเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน อาการไม่ดีเอามาก ๆ ไม่แน่ว่าจะกลายเป็นภาวะซึมเศร้าระดับรุนแรง ถึงเวลานั้นก็ยากจะรักษาแล้ว”“อืม” ฟู่เจิงพยักหน้าแรงกระตุ้นที่เพิ่งได้รับหลังจากที่ซืออี๋รู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว อาการป่วยของเธอยิ่งรุนแรงขึ้นเขาเดินไปมองหน้าอันขาวซีดของฉู่ซืออี๋ข้างเตียง ในใจรู้สึกผิดเป็นพิเศษสาวน้อยที่ตอนแรกอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา ทว่าต้องมาทนทุกข์ทรมานเพราะเขาก็เลยป่วยเป็นโรคจิตเภท นิสัยเปลี่ยนไปเยอะมากและเคยพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง เขาจะทำให้เธอผิดหวังไม่ได้ฟู่เจิงนั่งอยู่บนม้านั่งข้างเตียงไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฉ
ฟู่เจิงหัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วทำไมเธอไม่ปฏิเสธล่ะ?”“คนที่พูดเรื่องหย่าออกมาไม่ใช่ฉัน ทำไมฉันต้องมากลายเป็นคนเลวนี่ด้วย?”“คุณเองก็อยากหย่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วจะต่างอะไรกัน?”“...”เวินเหลียงไม่ได้แก้ตัวอะไร เธอเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา “พรุ่งนี้ฉันนัดเพื่อนจะออกไปข้างนอก คุณไปถึงโรงละครให้ตรงเวลาก็พอ”“เอาอย่างที่เธอว่า”ฟู่เจิงเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างและไม่ได้พูดอะไรอีกรถแล่นเข้ามาในคฤหาสน์ ทั้งสองคนลงจากรถตามลำดับ“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง กลับมาแล้วเหรอคะ”ป้าหวังตกตะลึงเป็นอย่างมาก เธอเองก็รู้ว่าระหว่างสองสามีภรรยาคู่นี้มีปัญหากัน หลายวันมานี้น้อยครั้งมาก ๆ ที่จะได้เห็นพวกเขากลับมาด้วยกัน“ป้าหวัง มื้อค่ำวันนี้มีอะไรกินคะ?” เวินเหลียงเอ่ยถาม“วันนี้ฉันซื้อซานเย่าสดใหม่มาจากตลาด เลยทำโจ๊กถั่วแดงลูกเดือยและซานเย่า เข้าคู่กับเนื้อซีอิ๊ว เกี๊ยวทอด เดี๋ยวก็จะเสร็จแล้วค่ะ”“โอเคค่ะ”ฟู่เจิงขึ้นไปชั้นบน ส่วนเวินเหลียงนั่งลงบนโซฟา จากนั้นก็ลวดมือเปิดโทรทัศน์เธอเองก็ไม่ได้ชอบดูซีรีส์ เพียงแต่รู้สึกว่า การเปิดซีรีส์ในห้องรับแขก ทำให้รู้สึกเหมือนมีคนอยู่เป็นเพื่อนผ่านไปครู่
เวินเหลียงถูกการเปิดประตูมาอย่างกะทันหันทำให้ตกใจ เธอเงยหน้าขึ้นไปมองเขาฟู่เจิงค่อย ๆ เดินเข้ามา พร้อมทั้งปิดประตูไปด้วย “ทำไมเธอถึงย้ายมาอยู่ห้องนี้ล่ะ?”“อยากเปลี่ยนสถานที่หน่อย วันหลังค่อยย้ายกลับไป” เวินเหลียงถามขึ้น “คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเวินเหลียง ฟู่เจิงก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ล้วงบัตรดำใบหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง เขาดันไปตรงหน้าเวินเหลียง “เธอชอบอะไรก็เอาไปซื้อเอาละกันนะ”เวินเหลียงมองบัตรดำใบนั้นทีหนึ่ง “ไม่ต้อง คุณเอากลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อย”“นี่เป็นของที่ฉันรับปากเธอเอาไว้ ฉันเป็นคนผิดคำพูด ตามเหตุผลควรจะชดเชยให้เธอ”เวินเหลียงเม้มปาก “ไม่ต้องจริง ๆ ค่ะ”“ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก เวินเหลียง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังจงใจตีตัวออกห่างฉัน อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ หลังจากหย่า เธอก็ยังเป็นหลานสาวที่คุณปู่คุณย่ารักและเอ็นดูอยู่ดี เราไม่มีทางที่จะไม่เจอหน้ากันอีก ไม่สู้เผชิญหน้ากันอย่างใจเย็นดีกว่า”เผชิญหน้ากันอย่างใจเย็น...ที่เขาพูดออกมาได้ง่ายดายขนาดนั้น เป็นเพียงเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธออยากให้เธอเผชิญหน้าก
ถังซือซือนั่งอยู่ข้างประตูในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง เธอโบกมือให้เวินเหลียงผ่านกระจกเวินเหลียงเดินเข้าไปในร้านน้ำชา ถังซือซือดันชานมอีกแก้วหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าไปหน้าเวินเหลียง “เอานี่ สั่งมาให้คุณ เพิ่งทำเสร็จเลย ยังร้อน ๆ อยู่”“ขอบคุณนะ” เวินเหลียงนั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์ หยิบชานมมาใช้หลอดเจาะ ก่อนจะดื่มเข้าไปทีละอึก ๆ“เดี๋ยวเราจะไปชั้นสามหรือว่าชั้นสี่กันก่อนดี?”ชั้นสามและชั้นสี่ล้วนเป็นโซนเสื้อผ้าทั้งหมด“ชั้นสามก็แล้วกัน” เวินเหลียงดูดและเขย่าน้ำแข็งอย่างช้า ๆ “ทำไมคุณไม่เรียกจูฝานออกมาด้วยกันล่ะ?”ถังซือซือหัวเราะร่า “อย่าไปพูดถึงเลย สองสามวันมานี้เธอเอาแต่ทำงานล่วงเวลา! ในมือเธอไม่ได้มีแค่โปรเจกต์นี้ของเรา ที่สำคัญก็คือฉันฟังเธอด่าพ่อล่อแม่ทีมของฉู่ซืออี๋มาเยอะมาก อะไรอกเล็กเกินไปไม่ได้ อกใหญ่เกินไปก็ไม่ได้อีก ขนาดติ่งหูก็ยังต้องแก้คุณเคยเห็นแบบนี้มาก่อนไหม? บอกว่าแก้ให้ติ่งหูมนห้อยลงมาแล้วจะมีโชคลาภ ช่วงนี้เธอเหนื่อยสายตัวแทบขาด”เวินเหลียงขำพรวดออกมา พร้อมทั้งหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง“อย่าขำสิ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงนะ จูฝานน่าสงสารจริง ๆ แต่ว่าอกของฉู่ซืออี๋ก็เล็กจริง ๆ นั่นแห
เมื่อเห็นฉู่ซืออี๋ที่อยู่ข้างเขา ในใจของเวินเหลียงก็กระตุกขึ้นมา เธอรีบเบือนสายตาออก จากนั้นก็ยื่นมือไปเขย่าถังซือซือถังซือซือเองก็เห็นชายหญิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลเช่นกัน เธอรีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับไป และพลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทั้งสองคนเดินหน้าไปทักทาย “ประธานฟู่”ฟู่เจิงพยักหน้าเบา ๆที่แท้คนที่เวินเหลียงนัดในวันนี้ไม่ใช่คนรักของเธอ แต่เป็นถังซือซือ“อาเหลียง คุณถัง” ฉู่ซืออี๋เห็นพวกเธอทั้งสองคนก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก รีบอธิบายกับเวินเหลียง “อาเหลียง เธอก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ ขอโทษนะ ฉันกับอาเจิง...”ฟู่เจิงเห็นท่าทางระมัดระวังของฉู่ซืออี๋ จากนั้นก็นึกท่าทางอ่อนโยนและสงบในตอนที่เพิ่งกลับมาประเทศของเธอ ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากคนปกติ ในใจของเขาแอบมีความเจ็บปวดขึ้นมาการเปลี่ยนแปลงในนี้ล้วนเป็นเพราะฉู่ซืออี๋รู้ว่าเขาแต่งงานแล้วเธอไม่อยากเลิกกับเขา แต่มโนทัศน์ทางจริยธรรมของเธอบอกเธอว่าเธอเป็นชู้ ฉะนั้นเธอจึงมักจะดำดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดและการทุรนทุราย จึงทำให้อาการป่วยยิ่งรุนแรงมากขึ้น“ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ ฉันรู้หมดทุกอย่าง พวกคุณชอปปิงกันไปเถอะ พวกเราไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”เวินเหลียงดึงแขนข
ฟู่เจิงเคยบอกเอาไว้ว่า จะเอาใบสำคัญการหย่าหลังเขากลับมาจากไปทำงานนอกสถานที่หลังกลับมาจากไปทำงานนอกสถานที่ เขาก็ไม่ได้พูดถึง เวินเหลียงเองก็ไม่ได้พูดถึงเธอลอบคิดอยากจะรักษาช่วงเวลาของการแต่งงานนี้ให้ยาวออกไปอีกหน่อย กระทั่งหวังว่าฟู่เจิงไม่นึกถึงมันอีกตลอดไปเพียงแต่จินตนาการยังไงก็ยังเป็นแค่จินตนาการอยู่วันยังค่ำตอนนี้ฟู่เจิงจำไม่ได้ ที่น่าดีใจคือลืมไปแล้ว ทว่าวันหนึ่งเขาก็จะจำได้ขึ้นมาอยู่ดี ยังไงพวกเขาก็ไปจนถึงขั้นนั้นกันอยู่ดีเธอเคยจินตนาการเอาไว้ว่า ถ้าหากไม่มีฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงจะชอบเธอไหม?ตอนนี้ในใจของเธอมีคำตอบแล้วถึงไม่มีฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงก็ไม่ชอบเธออยู่ดีพนักงานชวนซื้อที่ไม่ค่อยแน่ใจในสถานการณ์เท่าไรนักอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา “คุณผู้หญิงคะ คุณมาหาบัตรใช่ไหมคะ? เมื่อกี้ฉันเห็นบัตรใบหนึ่งร่วงลงมาตรงนี้จากตัวคุณ ตอนที่เดินไปถึงประตู ฉันเก็บเอาไว้ให้คุณแล้วค่ะ”พนักงานชวนซื้อคืนบัตรให้เวินเหลียงเวินเหลียงรับมา แล้วพูด “ขอบคุณ” กับพนักงานชวนซื้อเวินเหลียงหมุนตัวไปผลักประตูแล้วเดินออกไปเมื่อฟู่เจิงได้ยินเสียงก็หันมาดู เห็นเพียงแต่เงาเบื้องหลังของเวินเหลียงที่หมุนตัวเ