ถังซือซือนั่งอยู่ข้างประตูในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง เธอโบกมือให้เวินเหลียงผ่านกระจกเวินเหลียงเดินเข้าไปในร้านน้ำชา ถังซือซือดันชานมอีกแก้วหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าไปหน้าเวินเหลียง “เอานี่ สั่งมาให้คุณ เพิ่งทำเสร็จเลย ยังร้อน ๆ อยู่”“ขอบคุณนะ” เวินเหลียงนั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์ หยิบชานมมาใช้หลอดเจาะ ก่อนจะดื่มเข้าไปทีละอึก ๆ“เดี๋ยวเราจะไปชั้นสามหรือว่าชั้นสี่กันก่อนดี?”ชั้นสามและชั้นสี่ล้วนเป็นโซนเสื้อผ้าทั้งหมด“ชั้นสามก็แล้วกัน” เวินเหลียงดูดและเขย่าน้ำแข็งอย่างช้า ๆ “ทำไมคุณไม่เรียกจูฝานออกมาด้วยกันล่ะ?”ถังซือซือหัวเราะร่า “อย่าไปพูดถึงเลย สองสามวันมานี้เธอเอาแต่ทำงานล่วงเวลา! ในมือเธอไม่ได้มีแค่โปรเจกต์นี้ของเรา ที่สำคัญก็คือฉันฟังเธอด่าพ่อล่อแม่ทีมของฉู่ซืออี๋มาเยอะมาก อะไรอกเล็กเกินไปไม่ได้ อกใหญ่เกินไปก็ไม่ได้อีก ขนาดติ่งหูก็ยังต้องแก้คุณเคยเห็นแบบนี้มาก่อนไหม? บอกว่าแก้ให้ติ่งหูมนห้อยลงมาแล้วจะมีโชคลาภ ช่วงนี้เธอเหนื่อยสายตัวแทบขาด”เวินเหลียงขำพรวดออกมา พร้อมทั้งหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง“อย่าขำสิ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงนะ จูฝานน่าสงสารจริง ๆ แต่ว่าอกของฉู่ซืออี๋ก็เล็กจริง ๆ นั่นแห
เมื่อเห็นฉู่ซืออี๋ที่อยู่ข้างเขา ในใจของเวินเหลียงก็กระตุกขึ้นมา เธอรีบเบือนสายตาออก จากนั้นก็ยื่นมือไปเขย่าถังซือซือถังซือซือเองก็เห็นชายหญิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลเช่นกัน เธอรีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับไป และพลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทั้งสองคนเดินหน้าไปทักทาย “ประธานฟู่”ฟู่เจิงพยักหน้าเบา ๆที่แท้คนที่เวินเหลียงนัดในวันนี้ไม่ใช่คนรักของเธอ แต่เป็นถังซือซือ“อาเหลียง คุณถัง” ฉู่ซืออี๋เห็นพวกเธอทั้งสองคนก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก รีบอธิบายกับเวินเหลียง “อาเหลียง เธอก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ ขอโทษนะ ฉันกับอาเจิง...”ฟู่เจิงเห็นท่าทางระมัดระวังของฉู่ซืออี๋ จากนั้นก็นึกท่าทางอ่อนโยนและสงบในตอนที่เพิ่งกลับมาประเทศของเธอ ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากคนปกติ ในใจของเขาแอบมีความเจ็บปวดขึ้นมาการเปลี่ยนแปลงในนี้ล้วนเป็นเพราะฉู่ซืออี๋รู้ว่าเขาแต่งงานแล้วเธอไม่อยากเลิกกับเขา แต่มโนทัศน์ทางจริยธรรมของเธอบอกเธอว่าเธอเป็นชู้ ฉะนั้นเธอจึงมักจะดำดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดและการทุรนทุราย จึงทำให้อาการป่วยยิ่งรุนแรงมากขึ้น“ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ ฉันรู้หมดทุกอย่าง พวกคุณชอปปิงกันไปเถอะ พวกเราไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”เวินเหลียงดึงแขนข
ฟู่เจิงเคยบอกเอาไว้ว่า จะเอาใบสำคัญการหย่าหลังเขากลับมาจากไปทำงานนอกสถานที่หลังกลับมาจากไปทำงานนอกสถานที่ เขาก็ไม่ได้พูดถึง เวินเหลียงเองก็ไม่ได้พูดถึงเธอลอบคิดอยากจะรักษาช่วงเวลาของการแต่งงานนี้ให้ยาวออกไปอีกหน่อย กระทั่งหวังว่าฟู่เจิงไม่นึกถึงมันอีกตลอดไปเพียงแต่จินตนาการยังไงก็ยังเป็นแค่จินตนาการอยู่วันยังค่ำตอนนี้ฟู่เจิงจำไม่ได้ ที่น่าดีใจคือลืมไปแล้ว ทว่าวันหนึ่งเขาก็จะจำได้ขึ้นมาอยู่ดี ยังไงพวกเขาก็ไปจนถึงขั้นนั้นกันอยู่ดีเธอเคยจินตนาการเอาไว้ว่า ถ้าหากไม่มีฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงจะชอบเธอไหม?ตอนนี้ในใจของเธอมีคำตอบแล้วถึงไม่มีฉู่ซืออี๋ ฟู่เจิงก็ไม่ชอบเธออยู่ดีพนักงานชวนซื้อที่ไม่ค่อยแน่ใจในสถานการณ์เท่าไรนักอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา “คุณผู้หญิงคะ คุณมาหาบัตรใช่ไหมคะ? เมื่อกี้ฉันเห็นบัตรใบหนึ่งร่วงลงมาตรงนี้จากตัวคุณ ตอนที่เดินไปถึงประตู ฉันเก็บเอาไว้ให้คุณแล้วค่ะ”พนักงานชวนซื้อคืนบัตรให้เวินเหลียงเวินเหลียงรับมา แล้วพูด “ขอบคุณ” กับพนักงานชวนซื้อเวินเหลียงหมุนตัวไปผลักประตูแล้วเดินออกไปเมื่อฟู่เจิงได้ยินเสียงก็หันมาดู เห็นเพียงแต่เงาเบื้องหลังของเวินเหลียงที่หมุนตัวเ
เวินเหลียงขยุ้มชายเสื้อแน่น ในใจแผ่ซ่านเต็มไปด้วยความรู้สึกทุกข์ระทมฉู่ซืออี๋พูดถูก เธอมองฟู่เจิงด้วยท่วงท่าที่ต้องแหงนหน้ามองขึ้นไปตอนที่เพิ่งเข้ามาในตระกูลฟู่ เธอทำได้เพียงอาศัยตอนที่ฟู่เจิงมาบ้านใหญ่ ยืนอยู่ข้างโต๊ะ แล้วแอบมองสองสามทีอยู่เงียบ ๆ แค่นั้นก็พอใจแล้วทว่าคนที่ยืนอยู่กับเขาอย่างเปิดเผยในช่วงเวลานั้นก็คือฉู่ซืออี๋“หลังจากนั้นเพราะเรื่องบางเรื่อง ฉันเลยทำได้เพียงเลือกที่จะจากไป เลือกที่จะเลิกกับเขา เธอคงคิดไม่ถึงใช่ไหม ว่าฉันเป็นคนบอกเลิกเขาก่อน เพียงแต่เขาไม่ยอมเลิก เธอคงจะพบว่าทุกเดือนกรกฎาคมของทุกปีเขาจะออกไปทำงานนอกสถานที่ อันที่จริงแล้วเขาไปหาฉัน เพราะนั่นคือฤดูกาลที่เราเจอกันครั้งแรก”เวินเหลียงกลั้นลมหายใจเอาไว้ ในหัวฉงนไปหมดใจของเธอกำลังสั่นระรัวเธอไม่อยากยอมรับคำพูดของฉู่ซืออี๋ เธออยากพูดว่าไม่ใช่แบบนี้ แต่เธอคัดค้านไม่ได้เธอรู้ดีที่ฉู่ซืออี๋พูดเป็นความจริงทุกอย่างนับตั้งแต่ปีแรกที่พวกเขาแต่งงานกัน ทุกเดือนกรกฎาคมฟู่เจิงจะไปทำงานนอกสถานที่ครั้งหนึ่ง และใช้เวลานานเป็นพิเศษทีแรกเธอคิดว่าพวกเขาเพิ่งจะมาติดต่อกัน ทว่าที่แท้...พวกเขาก็ติดต่อกันตั้งนาน
ทว่าพวกเขาดูแล้วแจ่มใสมีชีวิตชีวากันเป็นอย่างมาก จริง ๆไม่เหมือนเธอ เธอเคยมีช่วงเวลาแบบนั้น การแต่งงานสามปีที่หวงแหนที่สุด ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่คำโกหกหลอกลวงที่อีกคนตั้งใจสร้างขึ้นมา ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพเนื่องจากเป็นเรื่องโกหก เขาก็เลยควบคุมได้ทุกด้านในใจของเวินเหลียงเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เจ็บจนเธอหายใจไม่ออกเสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นถังซือซือที่โทรเข้ามาเวินเหลียงรับสาย “ฮัลโหล ถังถัง เมื่อกี้ฉันเจอคนรู้จักก็เลยพูดคุยกันสองประโยค จะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ”เธอปิดโทรศัพท์ แล้วยกเท้าก้าวไปอย่างยากลำบาก กลับไปยังที่นั่งในร้านอาหารเธอเห็นของที่ซื้อมาซึ่งอยู่ข้างที่นั่งเหล่านั้น ทั้งหมดล้วนใช้บัตรดำของฟู่เจิงซื้อ“ถังถัง กินข้าวเสร็จฉันอยากกลับไปคืนเสื้อผ้าเหล่านี้”“คืนงั้นเหรอ? ทำไมถึงอยากคืนล่ะ?” ถังซือซือถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ“อันที่จริงบัตรดำนี่ไม่ใช่ของฉัน เป็นของคนที่บ้าน ฉันกลัวว่าแอบใช้เงินของเขาแล้วจะถูกเขารู้เข้า ยังไงก็คืนดีกว่า”“ได้ งั้นฉันจะกลับไปกับคุณเอง”เมื่อเห็นการกระทำของเวินเหลียง พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็ค่อนข้างมีมารยาทเป็นอย่างมาก คืนของคืนเ
คนขับรถจอดอยู่ด้านนอก เวินเหลียงอ้อมมาอีกทางเพื่อขึ้นที่นั่งด้านหลัง มองทิวทัศน์ยางค่ำคืนนอกหน้าต่างรถ ๆ เงียบตลอดทางคนขับรถมองตรงไปด้านหน้า ขับรถอย่างมีสมาธิข้างนอกเสียงเอ็ดอึง เสียงขลุ่ยดังไม่ขาดสาย กลายเป็นบรรยากาศที่แตกต่างสุดขั้วกับในรถอันเงียบสงบฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงมีสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อยจึงถาม “การ์ดที่ฉันให้เธอ ใช้ก็ใช้ไปสิ ทำไมถึงต้องคืนแล้วซื้อใหม่อีก?”ภายหลังโทรศัพท์มือถือของเขามีข้อความแจ้งเตือน เงินที่จ่ายไปเมื่อก่อนหน้านี้คืนกลับมาหมดแล้ว แต่เวลานี้ข้าวของพวกนั้นยังอยู่ในมือของเธอ หรือก็หมายถึงเธอใช้เงินของตัวเองซื้อใหม่เวินเหลียงยังคงมองนอกหน้าต่าง ไม่ได้หันกลับมา “ฉันอยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ไม่ซื้อ ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”“เพราะฉันชอปปิงเป็นเพื่อนซืออี๋ เธอก็เลยโกรธเหรอ?”“เรื่องที่คุณทำเพื่อฉู่ซืออี๋ยังจะน้อยอีกเหรอ? ก็แค่ชอปปิง ฉันจะโกรธอะไร?”เวินเหลียงฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้า นั่งพิงกับเก้าอี้และหลับตาลง“งั้นเธอเป็นอะไรไป?”เธอเป็นอะไรน่ะเหรอ?เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอเป็นอะไรไปหัวใจของเธออ่อนล้ามาก มันว่างเปล่าไร้เรี่ยวแรงเหมือนเครื่องจั
นับจากพ่อจากไป เธอก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นอีกหัวใจของเธอเปราะบาง ทั้งต้อยต่ำและความรู้สึกไว ดังนั้นเธอจึงเคยชินกับการสร้างปราการที่แข็งแรงให้กับตัวเองเธอเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เคราะห์ดีจึงถูกตระกูลฟู่รับอุปการะ กลับต้องหวาดหวั่น ระมัดระวัง คอยสังเกตสีหน้าเพราะเหตุนี้คนตระกูลฟู่ดูถูกเธอ นอกจากคุณปู่ คุณย่า ก็มีแต่ฟู่เจิงที่ทำดีกับเธอหน่อย บางครั้งเวินเหลียงยังคิด ถึงเขาจะไม่รักเธอ แต่ก็น่าจะมีความรู้สึกให้เธอบ้างแต่เธอผิดไปแล้ว ผิดไปมากจริง ๆถ้าเขามีสายใยครอบครัวกับเธอสักนิดจะไม่ทำกับเธอแบบนี้สำหรับเขา เธอยังสู้คนแปลกหน้าไม่ได้เลยเขาเป็นเหมือนกับคนพวกนั้น แล้วยังจะเย็นชากว่าคนพวกนั้นเยอะด้วย เขาแค่ซ่อนอารมณ์อยู่ในใจ ภายนอกดูมีมารยาท จึงทำให้เธอลุ่มหลงในรถเงียบเหมือนไม่มีคนฟู่เจิงสูดลมหายใจเข้าลึก มองท่าทางเวินเหลียงที่น้ำตานองหน้า หัวใจราวกับถูกคนบีบแน่นก็มิปานเขาไม่เคยเห็นเวินเหลียงเป็นแบบนี้มาก่อนเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เห็นน้ำตาของเวินเหลียงแล้ว ในใจกลับทรมานจนหายใจไม่ออกฟู่เจิงนิ่งอยู่นานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ “ขอโทษ”ขอโทษอีกแล้ว ไม่ว่าเกิดอะ
“หนังสือสัญญาหย่า ฉันอยากหารือกับเธอใหม่หน่อย มาที่ห้องทำงานเถอะ”“ได้”เวินเหลียงวางผ้าขนหนูกลับที่เดิมแล้วตามฟู่เจิงออกมา ปิดประตูและไปที่ห้องทำงานฟู่เจิงค้นเอกสารหนังสือสัญญาหย่าฉบับอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มเนื้อหาลงไปในนั้นอีกสองสามข้อ ก่อนจะเบี่ยงตัวหันหน้าจอให้ และให้เวินเหลียงมา “เธอลองมาดูเนื้อหาที่ฉันเพิ่ม”เวินเหลียงเอามือค้ำโต๊ะแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า เห็นตัวหนังสือสีแดงหลายบรรทัดที่เน้นอยู่บนหน้าจอข้อแรกที่เพิ่มคือ ทั้งสองคนหย่าแต่ไม่ออกจากบ้าน หลังจากจดทะเบียนหย่าแล้วยังอยู่ที่คฤหาสน์ย่านซิงเหอวานเหมือนเดิมฝ่ายหญิงต้องช่วยฝ่ายชายปกปิดกับทางบ้านของฝ่ายชาย พร้อมแสดงเป็นสามีภรรยาไปกตัญญูต่อผู้ใหญ่ที่บ้านใหญ่เมื่อจำเป็น จนกว่าผู้ใหญ่จะทราบว่าทั้งสองหย่ากันแล้วข้อที่สอง ทั้งสองฝ่ายห้ามพูดเรื่องแต่งงานหรือหย่ากับบุคคลอื่นข้างนอกข้อที่สาม ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพักอยู่ที่คฤหาสน์ย่านซิงเหอวาน ไม่อนุญาตให้พาผู้ชายหรือผู้หญิงคนอื่นมาค้างแรมที่คฤหาสน์นอกจากนั้นยังมีอีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือการแบ่งทรัพย์สินเดิมทีเวินเหลียงจะได้เงินหนึ่งร้อยล้านบาท คฤหาสน์สองหลังและรถหรูส