ฟู่เจิงรีบพลิกตัวลงมาจากบนเตียง แล้วสาวเท้าก้าวไปที่ข้างประตูอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูออก พลางชะโงกหน้าไปมองเห็นเพียงฟู่ซือฝานวิ่งร้องไห้มา น้ำตาหยดติ๋ง ๆ “...คุณลุงฮือ ๆ ๆ...”ฟู่เจิงมองไปเบื้องหลังเธอ ฟู่ชิงเยว่ยืนอยู่หน้าประตูห้องรองรับแขกห้องหนึ่ง ใบหน้าขึงขังสุด ๆฟู่เจิงจ้องเธออย่างเย็นชาทีหนึ่ง ก่อนจะเดินหน้าไปสองสามก้าว แล้วลวดอุ้มฟู่ซือฝานเดินเข้าไปในห้อง “ฝานฝาน เป็นอะไรไป?”เพิ่งเคยเห็นฟู่ซือฝานร้องไห้จนอยู่ในสภาพนี้เป็นครั้งแรก เขาปวดใจอย่างไร้ที่เปรียบเวินเหลียงจัดการเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอรีบเดินขึ้นหน้ามาอย่างรวดเร็ว “ฝานฝาน ร้องไห้ทำไม? ไหนลองบอกอามาซิ?”“ฮือ ๆ...”ดวงตาทั้งสองของฟู่ซือฝานแดงระเรื่อ ร้องไห้กระซิก ๆ แทบหายใจไม่ออก ก่อนจะยื่นแขนทั้งสองออกมาทางเวินเหลียงเมื่อเห็นสีหน้าต้องการที่พึ่งพิงของเธอแล้ว ในใจเวินเหลียงก็อ่อนไหวสะเทือนใจไปหมด เธอรับฝานฝานเข้ามาในอ้อมอก ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงฟู่ซือฝานมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของเวินเหลียง พลางกำชายเสื้อของเธอเอาไว้แน่นอย่างระมัดระวัง พร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น ยังไม่ยอมปริปากเล่าออกมาเวินเหลียงเดาว่าอาจเกี่ยว
เวินเหลียง “อืม” เบา ๆ เสียงหนึ่งดูท่าฟู่เจิงจะตัดสินใจแล้วว่าจะให้ฟู่ซือฝานอยู่ต่อให้ได้เธอก้มหน้ามองฟู่ซือฝาน ในมือของเจ้าตัวน้อยถืออั่งเปาเงินสีแดงเป็นกอบเป็นกำ กำลังพาดตัวนับเงินอย่างจริงจังอยู่บนโซฟา“ลุงให้เท่าไร?”เจ้าตัวน้อยนับไปด้วยพลางเอ่ยไปด้วย “สองแสนห้ามั้งคะ? ยังนับไม่เสร็จเลย”“งั้นตอนนี้ในมือของฝานฝานเราก็มีสองแสนห้าแล้ว? คุณนายน้อย!”ฟู่ซือฝานเอียงศีรษะพลางหัวเราะคิกคักออกมา ก่อนจะนับเงินต่อเวินเหลียงเห็นเธอนับเสร็จแล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “กินข้าวเช้าแล้ว เราเอาอั่งเปาไปเก็บก่อน?”“ไม่เอาค่ะ” ฟู่ซือฝานยัดอั่งเปาเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างกับเด็กน้อย กระเป๋ากางเกงใส่เต็มหมดทุกช่องในจังหวะนี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังมาจากบนบันไดเวินเหลียงเงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจทีหนึ่ง ไปสบตากับฟู่ชิงเยว่เข้าพอดีเธอยิ้มชืด ๆ ทีหนึ่ง “คุณอา”ฟู่ชิงเยว่แค่นเสียงฮึเสียงหนึ่ง ก่อนจะเดินลงมาฟู่ซือฝานเงยหน้าขึ้น สีหน้าพลันเป็นกังวลขึ้นมาในทันใด “คุณย่า”หลังเธอตะโกนเรียกเสร็จ ก็ก้มหน้ายัดอั่งเปาเข้าไปในกระเป๋ากางเกงต่อ“ฝานฝาน มาที่ย่านี่มา” ฟู่ชิงเยว่นั่งลงบนโซฟาตรงหน้
วันที่หนึ่งเดือนมกราคม มีผู้คนในห้างสรรพสินค้าไม่น้อยเลยทีเดียวเวินเหลียงถือเสื้อผ้าออกมาจากห้องลองเสื้อผ้า แล้วพูดกับเอสเอว่า “ใส่ถุงให้ด้วยค่ะ แล้วก็มีสองตัวนั้นที่ฉันเพิ่งลองเมื่อกี้ด้วยค่ะ”“ได้ค่ะ คุณตามฉันมาด้านนี้เลยค่ะ” เอสเอรับเสื้อผ้ามาอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ก่อนจะเดินไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์เวินเหลียงเดินตามไป ก่อนจะชำเลืองมองเห็นสองคนที่เดินเข้ามาจากทางประตูอย่างไม่ได้ตั้งใจฟู่เซิงเองก็เห็นเธอเช่นกัน พร้อมจูงคนข้างกายเดินเข้ามาด้วยเวินเหลียงเดินเข้าไปหา เธอเรียกทั้งยิ้มแย้มเสียงหนึ่ง “พี่สาม บังเอิญจริง ๆ”“บังเอิญมากจริง ๆ เธอมาคนเดียวเหรอ?” ฟู่เซิงพยักหน้า พร้อมมองไปทางเบื้องหลังเวินเหลียงทีหนึ่ง ยังคิดว่าฟู่เจิงจะตามมาด้วย“อืม” เวินเหลียงมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาทีหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นก็มองเธอกลับเช่นกัน“พี่สาม จะไม่แนะนำหน่อยเหรอ?”ฟู่เซิงยิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่อยู่ข้าง ๆ “ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักนะ นี่แฟนฉันเอง เซี่ยหมิ่น หมินหมิ่น นี่เวินเหลียงน้องสาวผม”“คุณเวิน สวัสดีค่ะ” เซี่ยหมิ่นเอ่ยพร้อมยิ้มแย้ม“สวัสดีค่ะ” เวินเหลียงมองเซี่ยหมิ่น รู้สึกดูคุ้นตา
เวินเหลียงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง นิ้วมือกำกระโปรงไว้แน่น พร้อมมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดระแวงชั้นนี้มีแค่พวกเธอที่พักอยู่ห้องเดียว นอกห้องเป็นโถงลิฟต์ ข้างโถงลิฟต์คือบันไดหนีไฟรอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงดังเบา ๆ ของลิฟต์เลื่อนขึ้นเลื่อนลงแว่วดังมาอยู่เลือนรางทว่าราวกับเวินเหลียงได้ยินเสียงหายใจหอบอยู่หลังประตูทางหนีไฟ...คนที่มาส่งกระดาษแผ่นนี้ ต้องซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นแน่ เพื่อดูปฏิกิริยาของเธอเวินเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวไปปิดประตู พร้อมกดล็อกจากด้านในหลังของเธอกำลังพิงอยู่บนบานประตู ทั้งเนื้อทั้งตัวอ่อนแรงไปหมดผ่านไปสองสามนาที เวินเหลียงถึงสงบลงได้ จากนั้นถึงถ่ายรูปส่งไปให้ฝ่ายนิติ ให้ฝ่ายนิติดึงข้อมูลกล้องวงจรปิดมาขณะที่ตัดสินใจว่าจะสืบเรื่องนี้ ในตอนที่อวิ๋นเฉียวได้รับจดหมายขู่ฆ่า เธอก็เคยนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมาในภายหลังไว้แล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่กลัวอะไรถึงเวลานี้แล้ว เธอจะมาวางมือตอนนี้ไม่ได้เวินเหลียงล้วงโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรหาฟู่เจิงเมื่อเขารับสายเธอก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “ฟู่เจิง ฉันมีธุระด่วนน่ะ คุณพาฝานฝานกลับไปก่อนนะ สองสามวันนี้ฉัน
ถ้าเพื่อนเล่นพิเรนทร์ จะเป็นเรื่องดีที่สุด ถ้าไม่ใช่...“โอเค ผมรู้แล้ว”“จริงสิ สืบเจอหรือยังว่าผู้ว่าจ้างของอวิ๋นเฉียวคือใคร?”“สืบเจอแล้วครับ”“ใคร?”“...เวินเหลียง” ลู่เย่าเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนฟู่เจิงชะงักไป พร้อมมองไปที่ประตูที่อยู่ข้าง ๆ “นายแน่ใจ?”“แน่ใจและมั่นใจมาก ๆ ก่อนที่อวิ๋นเฉียวจะไปทำภารกิจ พวกเขาเคยมาเจอกัน น่าจะเพราะมาคุยเรื่องที่จะมอบหมายให้ไปทำ”ฟู่เจิงเงียบไปเวินเหลียงมอบหมายให้นักสืบเอกชนไปสืบคดีลักพาตัวในปีนั้น เพราะอะไร?ลู่เย่าเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะคิกคัก “นี่ คุณว่าเป็นเพราะเธอชอบคุณหรือเปล่า ถึงได้สืบเรื่องนั้น? งั้นก็ให้เธอสืบต่อไปสิ ตอนนี้คุณกับฉู่ซืออี๋ก็เลิกข้องเกี่ยวกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังช่วยเธอปิดบังอยู่อีกล่ะ?”ตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีลักพาตัวในโซเชียลไม่มีเหลือแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของฟู่เจิงและไม่น่าแปลกใจเลยที่เวินเหลียงจะไปจ้างนักสืบเอกชนฟู่เจิงชะงักไป “มันคนละเรื่องกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอจะเป็นยังไง ก็เลี่ยงไม่ได้ว่าเธอเป็นเหยื่อในเรื่องนี้”ถ้าถูกเพื่อนชาวเน็ตขุดออกมา บางทีอาจมีคนมากมายเห็นใจฉู่ซืออี๋ ทว่าก็จะยิ
วันที่หกมกราคม ถังซือซือกลับมาจากบ้านตระกูลถังเธอผลักกระเป๋าเดินทางไปด้านข้าง ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาอย่างเป็นอัมพาต พร้อมลูบหัวอย่างหงุดหงิด ท่าทางดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก“เป็นอะไรไป?” เวินเหลียงเทน้ำร้อนแก้วหนึ่ง ก่อนจะลวดมือส่งให้เธอ“เฮ้อ...”ถังซือซือถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเงียบไป พลางแผ่กลิ่นอายของความกดดันออกมาทั่วทั้งตัวก่อนหน้านี้เธอมีชีวิตชีวามาตลอด ฉีกยิ้มหน่อย ๆ ให้กับทุกการเผชิญหน้า เวินเหลียงเพิ่งเคยเห็นเธอเป็นแบบนี้ครั้งแรก“ถัง ตกลงเป็นอะไรกันแน่? สุขภาพของคุณลุงคุณป้าไม่ดีเหรอ?”ถังซือซือก้มหน้า สีหน้าเหี่ยวเฉา “อาเหลียง เธอว่าผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดแต่เรื่องสืบพันธุ์กันทั้งนั้นหรือเปล่า?”เวินเหลียงชะงักไป ในใจผุดการคาดเดาไม่ดีขึ้นอย่างหนึ่งถังซือซือยิ้มทั้งเย้ยหยันออกมา “ฉันเพิ่งรู้ พ่อฉันมีชู้ แถมยังมีลูกชายอยู่ข้างนอกอีกคน โตจนเข้ามหาลัยแล้วด้วย! ฉันถึงว่าทำไมเขาถึงบังคับฉันไปนัดบอดตลอด!”แม้จะทายถูก ทว่าเวินเหลียงก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา ไม่นึกเลยว่าคุณลุงถังที่แสนอบอุ่นในจินตนาการก็จะ...เวินเหลียงกอดถังซือซือเงียบ ๆ พร้
ฟู่เจิงกลับไปที่ฟู่ซื่อจริง ๆ บัญชีทางการของกรุ๊ปประกาศข่าว นับตั้งแต่วันนี้ไปฟู่เจิงจะมาเป็นประธานกรรมการใหญ่ของกรุ๊ปอาจเป็นเพราะช่วงนี้สถานการณ์ของฟู่ซื่อไม่ดีนักถึงยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเวินเหลียง เธอจึงปิดโทรศัพท์ไปเลย“ฝานฝานกลับไปแล้วใช่ไหม?”“ยัง นอนหลับอยู่ข้างในน่ะ” เวินเหลียงชี้ไปที่ห้อง “เธออยากไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนกับฉัน”“จูฝานไปหรือเปล่า?”“ไป ฉันถามเขาแล้ว”“งั้นฉันไปด้วย!”...ณ คลับแห่งหนึ่งตัวเลขบนหน้าจอของลิฟต์เด้งจนถึง ‘1’ ประตูลิฟต์ทั้งสองข้างเปิดออกเสียงดัง ‘ตึ๊ง’ฟู่เจิงเยื้องย่างเข้าไป ก่อนจะกดปุ่มปิดประตู และในขณะที่ประตูลิฟต์กำลังปิดนี้เอง แขนข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามา เซนเซอร์ประตูลิฟต์ตอบสนอง รีบเปิดออกไปทั้งสองข้างทันทีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ปากประตูลิฟต์ สวมสูทสีกรมท่า สะอาดเรียบร้อยประณีต มีเสื้อคลุมสีดำพาดอยู่บนแขนตัวหนึ่งเมื่อเห็นประตูลิฟต์เปิดออก เขาก็เงยหน้ามองมาด้านในทีหนึ่ง พลันไปสบตาเข้ากับฟู่เจิงโดยไม่ได้ตั้งใจสองวินาที ก่อนจะก้มหน้าเดินเข้ามาในลิฟต์ พร้อมเอนตัวเดินเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ ก้าวหนึ่งฟู่เจิงเองก็ชักสายตากลับ และท
เลขาหยางจะพูดแต่หยุดเอาไว้ถ้าเธอจำไม่ผิด ฮั่วตงเฉิงคนนี้ก็คือหัวหน้าสมาคมหัวเฉียวตอนที่คุณผู้หญิงไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศในปีนั้นยังไงล่ะ เคยช่วยคุณผู้หญิงมาไม่น้อย เป็นหนึ่งในผู้ชายที่สนิทกับคุณผู้หญิง และอาจเป็นพ่อของลูกที่คุณผู้หญิงเคยคลอดออกมาก็ได้!ไม่แน่ว่าที่เขาเหม็นขี้หน้าประธานฟู่ถึงขนาดนี้ เป็นเพราะรู้ว่าประธานฟู่คืออดีตสามีของคุณผู้หญิง!หนึ่งในสาเหตุที่ฟู่เจิงหวนกลับฟู่ซื่อในครั้งนี้ ก็เพราะตระกูลฮั่วกว้านซื้อตัวเหล่าบุคคลที่เป็นหัวใจหลักในโปรเจกต์พลังงานใหม่ของฟู่ซื่อ กรุ๊ปไปในราคาสูง โปรเจกต์จึงต้องหยุดพักไปต่อไม่ได้ทุกวันที่ล่าช้าไป จะมีความเสียหายมูลค่าหลายบาทก่อนหน้านี้ฟู่เจิงเป็นคนประคองโปรเจกต์นี้คนเดียว ลงทุนไปไม่น้อย ผู้บริหารระดับสูงไม่ยอมให้ความพยายามที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า ฟู่เจิงเองก็ไม่ยอมเช่นกันถึงยังไงก็ไม่ควรประมาทคนแซ่ฮั่วนี่เลขาหยางกำลังคิดจะพูดเตือนฟู่เจิงเรื่องความสัมพันธ์ของฮั่วตงเฉิงและเวินเหลียง ทว่าในจังหวะนี้เองประตูลิฟต์ก็เปิดออก ฟู่เจิงสาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปเลขาหยางทำได้เพียงสับเท้าเดินตามไปอย่างรวดเร็วการทานอาหารในครั้งนี้ ที่ส