เวินเหลียงลูบศีรษะของฟู่ซือฝาน “ฝานฝานฉลาดจังเลย วาดสวยมากจริง ๆ”ฟู่เจิงใช้มือข้างหนึ่งขยับไปมาบนโน้ตบุ๊กอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็มองมา พร้อมเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “ฝานฝาน เธอส่งภาพนี้ให้ลุงหน่อยได้ไหม?”“ฮือ ๆ หนูอยากเก็บไว้เอง...” บนใบหน้าของเจ้าตัวน้อยเผยความสองจิตสองใจออกมา ทว่าสุดท้ายก็ยังตอบตกลง “ก็ได้ค่ะ งั้นให้คุณลุงเก็บไว้ก็แล้วกัน”“ถ้าฝานฝานชอบลุงไม่เอาแล้วก็ได้”“ฝานฝานอยากเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก หลังกลับไปพอดูภาพนี้ จะได้คิดถึงคุณลุงคุณป้าบ่อย ๆ”ดูท่าตอนนี้เธอยังไม่มีความคิดจะอยู่ที่นี่ในระยะยาวฟู่เจิงเอ่ย “ไม่รีบ ฝานฝานเพิ่งจะปิดเทอมไม่เท่าไรเอง อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมากมายขนาดนั้น เที่ยวเล่นให้เต็มที่ก็พอ”เวินเหลียงมองเวลา เป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ แล้ว เธอบอกให้ฟู่ซือฝานเตรียมใจก่อนล่วงหน้า “ฝานฝาน คืนนี้เธออยู่เล่นกับคุณลุงที่โรงพยาบาลดีไหม? ป้าจะมารับเธอตอนดึก ๆ หน่อย?”ฟู่ซือฝานเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง “คืนนี้คุณป้าจะไปกินข้าวกับพี่เมิ่งเหรอคะ?”ฟู่เจิงทอดสายตามองมา จ้องเวินเหลียงด้วยนัยน์ตาเปล่งประกายไม่รู้ทำไม เวินหลียงถูกมองจนรู้สึกกระวนกระวายใจ ร้อน
นัยน์ตาของเวินเหลียงประกายความฉงนออกมาสายหนึ่ง มีชั่ววูบหนึ่งเธอสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ในใจมีเพียงความตกตะลึงและความอิหลักอิเหลื่อ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากความรู้สึกพวกนี้คนที่ส่งเสียงเชียร์เริ่มมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆเมิ่งเซ่อกำลังหอบช่อดอกไม้อยู่ บนใบหน้าที่แสนอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ในแววตาใสแจ๋วสะท้อนเงาร่างของเวินเหลียง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “พี่ครับ เป็นแฟนผมนะครับ โอเคไหม?”เวินเหลียงปรับอารมณ์ ในหัวความคิดตีกันวุ่นไปหมด ก่อนจะรีบตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็วเธอปกปิดความไม่เต็มใจทั้งหมดเอาไว้ พร้อมฉีกยิ้มแสนงดงามหน่อย ๆ ออกมา ท่ามกลางทุกคนที่เป็นสักขีพยาน เธอพยักหน้าเบา ๆ “โอเค”เมิ่งเซ่อพลันฉีกยิ้มมุมปากกว้างขึ้น เผยให้เห็นฟันเรียงตัวสวยขาวสะอาด นัยน์ตาประกายแสงแห่งความตกตะลึงปนดีใจออกมาเขาไม่นึกเลยว่าเวินเหลียงจะยอมตอบตกลงในทันที ที่เขาคิดเอาไว้อย่างดีคือเวินเหลียงไม่ได้ปฏิเสธในทันที ทว่าครุ่นคิดก่อนตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง“ว้าวเย่ ๆ ๆ ๆ...”กลุ่มคนรอบข้างพลันระเบิดเสียงโห่ร้องไชโยดีอกดีใจแสดงความยินดีออกมาท่ามกลางสายตาแสนอบอุ่นของผู้คน เมิ่งเซ่อส่งดอกไม้ส
เพียงแต่ เธอแค่หลอกใช้เมิ่งเซ่อ ความรู้สึกที่เมิ่งเซ่อมีต่อเธอในตอนนี้ราวกับยิ่งห้ามใจไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดเธอก็ต้องขอโทษเมิ่งเซ่อ ไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องเผชิญหน้ากับเขายังไงดี“พี่เอาอีกไหมครับ?” เมิ่งเซ่อเห็นจานเค้กตรงหน้าเวินเหลียงว่างเปล่าแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นเวินเหลียงวางส้อมลง “ไม่กินแล้ว กินเยอะแล้วเลี่ยน”“งั้นเราไปกันไหมครับ? ตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าไร ไปเดินเล่นริมแม่น้ำไหมครับ?” เมิ่งเซ่อยิ้มพลางเอ่ยถามเวินเหลียงมองออก คืนนี้เมิ่งเซ่อมีความสุขสุด ๆ จนไม่อยากแยกกับเธอเธอยิ้มชืด ๆ ทีหนึ่ง “ได้สิ”ทั้งสองคนมายังลานจอดรถ เมิ่งเซ่อเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับก่อน “พี่ครับ ผมยื่นเรื่องได้ใบขับขี่มาแล้ว เดี๋ยวผมขับให้เองนะ”เวินเหลียงส่งกุญแจรถให้เขา แล้วเข้าไปนั่งยังที่นั่งข้างคนขับฮิตเตอร์ในรถเป่าลมร้อนฟู่ ๆ ไม่นานภายในห้องโดยสารก็อุ่นขึ้นมาเวินเหลียงพิงพนักเบาะ มองวิวถนนที่ถอยหลังด้านนอกผ่านหน้าต่างรถเมิ่งเซ่อขับรถอย่างใจจดใจจ่อเพิ่งจะระบุสถานะความสัมพันธ์ ทว่าทั้งสองคนกลับไม่พูดคุยกันเลย ราวกับยังปรับตัวกับการกระชับความสัมพันธ์อย่างกะทันหันไม่ได้บรรยา
เมิ่งเซ่อยังซ่อนไม่ให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่บางส่วนเห็นอย่างเคย เผื่อพวกเขาไปถามนั่นถามนี่จนรู้ว่าเขามีแฟนทว่าคนอื่นไม่ได้ซ่อน ตัวเขาเองก็ไม่ยอมซ่อน ที่สร้างโพสต์ก็เพื่อใช้โพสต์แบ่งปันข่าวนี้กับเพื่อน ๆหลังโพสต์ลงทามไลน์ได้ไม่นาน เพื่อน เพื่อนร่วมชั้น และเหล่าเพื่อนร่วมงานต่างก็แห่มายินดีกันอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆหนึ่งในนั้นรวมไปถึงคอมเมนต์ของฟู่เซิง...ยินดีด้วย คบกันนานนานเมิ่งเซ่อตอบกลับ...ขอบคุณครับผู้จัดการฟู่หลังจากนั้นฟู่เซิงก็หันไปส่งภาพแคปหน้าจอโพสน์ให้ฟู่เจิงฟู่เจิงจ้องมือทั้งสองที่ประสานกันคู่นั้นในหน้าจอโทรศัพท์เขม็ง ในแววตาดำมืดไปหมด ลึกจนมองไม่เห็นก้นมือน้อย ๆ ขาวผ่องเล็กเรียวเล็กในรูป แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นมือผู้หญิงเขากับเวินเหลียงแต่งงานกันมาสามปี ทำไมจะจำมือของเวินเหลียงไม่ได้?ฟู่เซิงใส่ใจสุด ๆ ยังแคปภาพคอมเมนต์และการตอบกลับของเมิ่งเซ่อด้านล่างโพสต์ส่งไปให้ฟู่เจิงอีกด้วยแม้ในโพสต์จะมีแค่อิโมจิและรูปภาพ ทว่าเมื่อเห็นคำอวยพรในคอมเมนต์และความรู้สึกขอบคุณของเมิ่งเซ่อแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย นี่เป็นโพสต์เปิดตัวแฟนชัด ๆมือใหญ่ที่ถือโทรศัพท์อยู่ค่อย ๆ กำแน่นข
ในทันใดนั้นเวินเหลียงอดไม่ได้ที่จะปลุกเธอขึ้นมาเธอยื่นมือไปจิ้มใบหน้าของฟู่ซือฝาน นุ่มนิ่ม ราวกับก้นของทารกอย่างนั้น ยืนหยุ่นสุด ๆขณะหดมือกลับดันไปโดนคนข้างหลังอย่างไม่ตั้งใจเข้า เวินเหลียงหันหน้ากลับไป ทันใดนั้นก็ค้นพบว่าฟู่เจิงลอยมาอยู่เบื้องหลังเธอตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ จ้องเธอตาไม่กะพริบ นัยน์ตาดำขลับถึงขั้นจะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำได้แล้วทั้งสองคนสบตากัน ไม่รู้เป็นอะไร ที่หลังของเวินเหลียงราวกับถูกผีลูบคลำ เสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว เธอกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสงบสติอารมณ์ว่า “ฟู่เจิง? คุณเดินมาทำไมไม่ให้ซุ่มให้เสียงบ้าง?”“เพราะเธอตั้งใจมาก เลยไม่ได้ยิน”“งั้นเหรอ?”“อืม”เวินเหลียงรู้สึกเพียงทั้งตัวของฟู่เจิงในคืนนี้ดูน่าสะพรึงกลัวไปหมดเธอไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง เพียงอยากรีบปลุกฟู่ซือฝาน และออกไปจากที่นี่“ฝาน...”เพิ่งจะเปล่งเสียงออกมาได้คำเดียว จู่ ๆ เวินเหลียงก็เจ็บที่ท้ายทอย ในหัวว่างเปล่าไปหมด ตรงหน้ามีแต่ความมืด จากนั้นก็สลบไปฟู่เจิงรับเวินเหลียงที่สลบล้มพับไปเอาไว้ พลางจ้องใบหน้างดงามทรงเสน่ห์ใบหน้านั้นของเธอเอาไว้เขม็ง นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความลุ
ฟู่เจิงรีบพลิกตัวลงจากเตียง แล้วไปหยิบกล่องยามา หาปรอทออกมาวัดอุณหภูมิร่างกายของเวินเหลียงสามสิบแปดจุดหกองศาฟู่เจิงหายาเม็ดลดไข้ออกมาจากในกล่องยา จากนั้นเทน้ำร้อนมาครึ่งแก้ว ก่อนป้อนให้เวินเหลียงกินจากนั้นเขาก็ใช้แอลกอฮอล์ราดผ้าขนหนูให้เปียกชุ่ม แล้วเช็ดบนหน้าผากและคอของเธอเบา ๆ ฟู่เจิงวางผ้าขนหนูไว้ข้าง ๆ ก่อนจะเลิกลองจอนรักษาความอบอุ่นของเธอขึ้น คิดจะเช็ดรักแร้ของเธอ จนใจที่ลองจอนรักษาความอบอุ่นมันรัดตัวเกินไป เดิมทีเช็ดไม่ถึงอยู่แล้วเขาหยุดไปครึ่งนาที จากนั้นถึงถอดลองจอนรักษาความอบอุ่นของเธอออก...เขาทำเพื่อสุขภาพร่างกายของเธอ เธอคงไม่โทษเขาใช่ไหม? ฟู่เจิงคิดเพ้อฝันเขาหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดรักแร้ แขนและหน้าอกของเธอเมื่อเห็นก้อนเนื้อขาวผ่องปรากฏวับวาบอยู่ตรงหน้าอกเธอ เอวแสนบางเล็ก นัยน์ตาของเขาก็ยิ่งดำมืดขึ้นเรื่อย ๆขณะเช็ดตัวเสร็จ ฟู่เจิงก็ห่มผ้าให้เธอ เฝ้าอยู่ข้างเตียง คอยวัดอุณหภูมิร่างกายทุกยี่สิบนาที และเช็ดตัวด้วยแอลกอฮอล์หนึ่งครั้งกระทั่งเป็นเวลาตีสี่กว่า ไข้ของเวินเหลียงถึงได้ลดลงท้ายที่สุดฟู่เจิงถึงวางใจ เขาเลิกผ้าห่มออกแล้วล้มตัวลงไปนอนด้วยอาการง่วง พร้อมกอดเ
เพียงแต่ใบหน้าของเธอแฝงไปด้วยความป่วย นัยน์ตาไร้ซึ่งกำลังสังหารฟู่เจิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกดเวินเหลียงเอาไว้โดยมีผ้าห่มกั้น มือใหญ่แปะลงบนหน้าผากของเวินเหลียงพลางสัมผัสอุณหภูมิเขาชักมือกลับ สีหน้าราบเรียบ “หิวหรือยัง?”เวินเหลียง “...”เขาไม่ได้ยินคำถามที่เธอถามไปเมื่อกี้หรือยังไง?“ฉันถามคุณอยู่นะ ทำไมคุณต้องสับท้ายทอยทำให้ฉันสลบด้วย? เสื้อผ้าฉันล่ะ?” เวินเหลียงถลึงตาโตทว่าฟู่เจิงกลับตอบกลับหน้าตาย “ป้าหวังทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉันจะไปยกมาให้เธอนะ เมื่อคืนเธอเป็นไข้ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง? ไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า?”“ฉันต้องการเสื้อผ้า ฉันจะลงไปกินเอง!”“นอนไปอย่างเชื่อฟังเถอะนะ ฉันจะไปเอาอาหารเช้ามาให้เธอเอง”พูดจบฟู่เจิงก็หมุนตัวเดินออกไปเวินเหลียงเดือดดาลจนแทบหายใจไม่ออกเธอตะเกียกตะกายลงมาจากเตียงทั้งห่อหุ้มผ้าห่ม จากนั้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าในห้อง...ว่างเปล่าเสียไม่มี!ไม่มีเสื้อผ้าสักตัวเวินเหลียงถลึงตาโตเธอดิ้นรนเดินไปที่ประตู จากนั้นกดเปิดที่จับประตู ทว่าประตูถูกฟู่เจิงฉวยโอกาสล็อกเอาไว้เดินวนอยู่ในห้องรอบหนึ่ง ไม่มีร่องรอยของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ
ความเงียบของเวินเหลียงทำให้ฟู่เจิงยิ่งเดือดดาลหนักขึ้น นัยน์ตาดำมืดเป็นอย่างมาก “ฉันพูดถูกไหม?”เวินเหลียงก้มหน้า ก่อนจะเค้นสมองระดมความคิดอธิบายออกมา น้ำเสียงฟังแล้วกระวนกระวายเป็นพิเศษ “อันที่จริงก็ไม่ใช่...คือว่า...”ที่ฟู่เจิงเดาไม่ผิด นอกจากจุดที่ว่าเธอชอบเมิ่งเซ่อ“คืออะไร?” ฟู่เจิงกัดฟันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเวินเหลียงกระวนกระวายใจ ทว่ายังปากแข็ง เธอจ้องฟู่เจิง “ไม่มีอะไร ที่คุณทายไม่ผิด ฉันแค่ชอบเขามากกว่า เขาสารภาพรักฉันก็เลยตอบตกลง มีคำว่าทำไมมากมายขนาดนั้นที่ไหน? ฉันโสดอยากมีแฟนยังต้องมองสีหน้าของผัวเก่าอีกเหรอ?”ฟู่เจิงจ้องเวินเหลียงเขม็ง เดือดดาลสุดขีดถึงขั้นโพล่งหัวเราะออกมาไฟโทสะในใจลุกโชนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาของฟู่เจิงราวกับถูกหมอกหนาล่วงล้ำ แววตาเต็มไปด้วยความดุเดือดรุนแรง ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะใด ๆ มือใหญ่ของเขาเลิกผ้าห่มออก เมื่อเห็นนาผืนน้อยอันงดงามที่เผยอยู่ตรงหน้า มุมปากของเขาก็ฉีกรอยยิ้มแฝงแผนร้ายออกมา “สวยจริง ๆ ถ้าฉันส่งรูปที่เธออยู่ใต้ร่างฉันแบบนี้ไปให้เมิ่งเซ่อ เธอว่าเขาจะเลิกกับเธอไหม?”เวินเหลียงใช้มือหนึ่งปิดนาผืนน้อยอันงดงามเอาไว้อย่างลุกลี้ลุกลน อีกมื