ฟู่เจิงหลับตาลง มุมปากกระตุกรอยยิ้มขึ้นมารอยยิ้มหนึ่ง ทว่าในใจเย็นยะเยียบลงไปสองสามส่วนเป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ในใจของเธอ เดิมทีเขาไม่ควรค่าจะพูดถึงอยู่ข้างกายเขาเพิ่มอีกหนึ่งวินาที เธอยังไม่ยอมเลยเมื่อเวินเหลียงเห็นฟู่เจิงหลับตาลง เธอก็ยักไหล่อย่างจนใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “งั้นฉันไปแล้วนะ คุณก็พักรักษาตัวให้ดีแล้วกัน”ดวงตาทั้งสองของฟู่เจิงหลับตาปี๋ มือใหญ่กำผ้าปูเตียงไว้แน่นฟืนแห้งที่อยู่ในใจถูกเวินเหลียงราดน้ำมันไปชั้นหนึ่ง โยนประกายไฟลงไปแค่นิดเดียว ก็เผาไหม้ลุกโชนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้แล้วแก๊สและควันโขมงปริมาณมากสุมอยู่ในห้องหัวใจของเขา อาจระเบิดออกมาได้ตลอดทุกเมื่อเธอเลือดเย็นและโหดเหี้ยมกับเขาอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ!แต่เขาดันหาเรื่อง ในใจยังไม่อยากให้เธอจากไป!ฟู่เจิงกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มีความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ขึ้นมาจากส่วนกระเพาะอาหาร...“แคก ๆ ๆ...”มีเสียงไอเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง มาพร้อมกับเสียงอาเจียนเวินเหลียงหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันไปมอง ฟู่เจิงกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง มุมปากมีเลือดจาง ๆ อยู่สายหนึ่ง ภายใต้การเสริม
“เธอกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ? จะกลับมาทำไมอีก?” ฟู่เจิงชำเลืองมองเวินเหลียงอย่างเย็นชาทีหนึ่ง น้ำเสียงเย็นยะเยียบเวินเหลียงกำลังกวาดเศษแก้วอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วมองฟู่เจิง “ในเมื่อคุณอยากให้ฉันไปขนาดนั้น ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ก็ได้”ฟู่เจิงโกรธจนโพล่งหัวเราะออกมาผู้หญิงคนนี้ต้องจงใจแน่ ๆ!จงใจยั่วให้เขาโกรธ!ฟู่ซือฝานส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ทำไมคุณลุงถึงได้ปากแข็งขนาดนี้เนี่ย?นี่มันผลักไสไล่ส่งให้คุณป้าออกไปข้างนอกชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ?ดูพี่ไก่อ่อนผอมกะหร่องสิ เอาแต่เรียกพี่ครับ ๆ ปากหวานแค่ไหน?จะให้คุณลุงพูดแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่งั้นไม่แน่ว่าคุณป้าได้โกรธจนหนีไปแน่“คุณลุง นี่มันเรื่องอะไรกันคะ?” รองเท้าหนังน้อย ๆ ของฟู่ซือฝานถอยหลังก้าวหนึ่ง พร้อมชี้ไปที่เศษแก้วบนพื้นแล้วเอ่ยถามสีหน้าของฟู่เจิงอ่อนโยนขึ้นนิดหน่อย เขาย้ายกำปั้นมาวางข้างปากแล้วไอเบา ๆ ก่อนจะพูดกระซิบว่า “เมื่อกี้ลุงอยากดื่มน้ำน่ะ แต่ว่าจับแก้วไม่อยู่”“คุณลุง คุณลุงบอกหนูมาหน่อยสิคะ ทำไมต้องอยากเจอคุณป้าด้วย?” ฟู่ซือฝานเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตกะพริบ บนใบหน้าน้อย ๆ แฝงไปด้วยสีหน้าของความสงสัยเวินเหลียง “...
“ยังไม่แน่ใจน่ะ” ฟู่เจิงชำเลืองมองเวินเหลียงอย่างแยบยลทีหนึ่ง “รอหมอบอกว่าผ่าตัดได้เมื่อไร ถึงจะผ่าตัดได้”เวินเหลียงครุ่นคิด คงเป็นเพราะตอนนี้สภาพร่างกายของเขาไม่ดี อย่างน้อยก็ต้องรอให้ฟื้นตัวสักหน่อยถึงจะขึ้นเตียงเข้ารับการผ่าตัดได้“งั้นตอนที่คุณลุงผ่าตัด หนูจะอยู่เป็นเพื่อนคุณลุงข้างนอกนะคะ”“ฝานฝานเป็นเด็กดีจริง ๆ”“มือของคุณลุงน่ากลัวจังเลยค่ะ”เวินเหลียงแค่นเสียง “ฮึ” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะเอาสองมือกอดอก พลางชำเลืองมองฟู่เจิงทีหนึ่ง “นั่นน่ะสิ บนมือเหลือแต่กระดูก จะไม่ให้น่ากลัวได้ยังไง?” ฟู่เจิง “...”“คุณป้า อย่าดุใส่คุณลุงแบบนั้นสิคะ! คุณลุงเองก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เหมือนกัน...”“ไม่อยากเป็นแบบนี้เหมือนหัน? เขารู้ทั้งรู้ว่ากระเพาะอาการตัวเองไม่ดี แล้วทำไมยังดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นอีกล่ะ?”“เพราะคืนนั้นคุณลุงทุกข์ใจสุด ๆ น่ะสิคะ!” ฟู่ซือฝานแสร้งทำเป็นถอนหายใจ พร้อมกดคิ้วน้อย ๆ ให้ต่ำลง “พูดได้แค่ว่า คุณลุงรักคุณป้ามากเกินไป...”“ฟู่ซือฝาน” เวินเหลียงจ้องเธอเขม็งฟู่ซือฝานรีบใช้สองมือปิดปาก พลางมองฟู่เจิงและกะพริบตาปริบ ๆ“ดุฝานฝานทำไม เธอพูดถูกแล้ว” ฟู่เจิงมองตาเวินเห
เวินเหลียงหลับตาลง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ของฟู่เจิงยอดเยี่ยมกระเทียมดองกลัวเขาแล้วจริง ๆเธอเงียบไปสองสามวินาที “เงื่อนไขอะไร?”ในขณะที่ฟู่เจิงกำลังจะพูดออกมา เวินเหลียงก็เอ่ยเตือนว่า “อย่าได้คืบจะเอาศอกล่ะ!”นัยน์ตาฟู่เจิงลึกซึ้ง จ้องเธอเขม็ง ราวกับกำลังจะพูดเรื่องที่เคร่งครัดและสำคัญเป็นอย่างมากเรื่องหนึ่ง “เงื่อนไขง่ายมาก เธออย่าจงใจตีตัวออกห่างฉันมากเกินไป แล้วก็ให้โอกาสฉันได้แข่งขันอย่างยุติธรรม”เห็นเวินเหลียงเงียบไป ฟู่ซือฝานก็รีบคว้ามือของเธอมาเขย่า “คุณป้าคะ คุณป้าตอบตกลงคุณลุงเถอะนะคะ? โอเคไหม?”เวินเหลียงเงยหน้าจ้องฟู่เจิงทีหนึ่งทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่า ไม่รู้ฟู่เจิงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนแผนร้ายเยอะแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเห็นเวินเหลียงก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากอีก สีหน้าของฟู่เจิงพลันเปลี่ยนทันที เขาขมวดคิ้วมุ่น พลางเอามือปิดตรงส่วนท้อง “ซี๊ด...”“คุณลุง คุณลุงเป็นอะไรไปคะ? เจ็บกระเพาะมากใช่ไหมคะ?” ฟู่ซือฝานรีบวิ่งไปข้างเตียง ก่อนจะคว้ามือของเขาเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง“ลุงไม่เป็นอะไร” เห็นได้ชัดว่าฟู่เจิงอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้“ช่วงเวลาสั้น ๆ แค่นี้ก็เจ็บไ
เวินเหลียงถืออาหารเที่ยงกลับมายังห้องพักผู้ป่วย จากนั้นเธอก็หยิบอาหารแต่ละกล่องออกมาตั้งบนโต๊ะทั้งหมดฟู่ซือฝานนั่งลงบนโซฟาอย่างดีอกดีใจ และเริ่มเลือกอาหาร “หนูอยากกินอันนี้ แล้วก็อันนี้ด้วย...”เวินเหลียงมองไปที่ฟู่เจิง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “คุณอยากกินอะไร? ให้ฉันตักแต่ละอย่างรวมให้คุณไหม?”ฟู่เจิงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ฉันกินไม่ได้”เวินเหลียงยิ้มอย่างเย็นชา พลางกัดฟันถามว่า “คุณกินอะไรไม่ได้? แล้วทำไมลู่เย่าถึงบอกว่าคุณอดอาหารเพราะคำพูดของฉัน วัน ๆ ไม่ยอมกินอะไรเลยล่ะ?”ฟู่เจิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง บนใบหน้าซีดเผือดเผยสีหน้าลำบากใจออกมา “นี่...ฉันจะไปรู้ได้ยังไง...ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เธอก็จะมาลงที่ฉันใช่ไหม...”เวินเหลียง “...”โอเค ๆ ๆ กลัวเขาแล้วจริง ๆเธอหลับตาลง เมื่อมองไม่เห็นก็จะไม่หงุดหงิดใจขณะที่ทั้งสองคนกินข้าวกันอยู่ ฟู่เจิงก็มานั่งข้างพวกเธอ ใช้โน้ตบุ๊กทำงานหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ เวินเหลียงก็เก็บโต๊ะให้เรียบร้อยในขณะนี้เองก็มีเสียงเคาะประตู ‘ก๊อก ๆ ๆ’ แว่วดังขึ้นมาจากด้านนอก“ประธานฟู่?”เวินเหลียงเดินหน้าไปเปิดประตู เห็นเพียงชายวัยกลางคนสองคนยืนอยู่ตร
หลังจากบริษัทผ่านความวุ่นวายในสองเดือนกว่านี้มา ประธานเกาไม่ยอมรับไม่ได้ บางทีฟู่เจิงอาจจะเผด็จการไปหน่อย ทว่าเหมาะกับการเป็นผู้นำของฟู่ซื่อ กรุ๊ปที่สุด ฟู่ซื่อ กรุ๊ปในฐานะที่ต้องการผู้นำที่มีความกล้าหาญ ภายในสามารถทำให้พนักงานเป็นปึกแผ่นเดียวกันได้ ภายนอกก็สามารถสู้รบกับในตลาดได้ฟู่เจิงเลิกคิ้วพลางถาม “ปัญหาภายในและปัญหาภายนอก?”ประธานเกาอธิบาย “คุณไม่รู้ สองเดือนมานี้จู่ ๆ โปรเจกต์อสังหาริมทรัพย์ที่วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้วสองสามโปรเจกต์ที่เมืองซีของในกรุ๊ปก็ถูกคนแย่งไป ธุรกิจแขนงอื่นต่างก็พลอยถูกโจมตีจากคู่แข่ง ถูกเล็งเป้าอย่างมีเป้าหมายและแผน”ประธานกรรมการบางรายก็อดกลั้นความเดือดดาลนี้ไม่ไหว เสนอให้ชิงโปรเจกต์กลับมา หรือให้บทเรียนบางอย่างสั่งสอนคู่แข่งประธานการกรรมการบางส่วนคิดว่าสิ่งที่บริษัทต้องการก็คือความมั่นคง ลงมืออย่างสะเพร่ามีแต่จะไม่เป็นผลดีต่อบริษัทมือใหญ่ที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนของฟู่เจิงพาดไปบนตักอย่างสบาย ๆ พลางหรี่ตา “สืบดูหรือยัง?”ที่เขายอมอ่อนข้อให้ฟู่เยว่ได้ นั่นเป็นเพราะฟู่เยว่เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องแต่เขาจะไม่ยอมให้คนนอกมาทำลายสิ่งที่ได้มาจากความยากลำบากข
ควันบุหรี่ที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบดบังใบหน้าของฟู่เจิง‘พวกคุณ’ สองพยางค์นี้ทำเอาฟู่เจิงขมวดคิ้วหน่อย ๆ เพียงแต่เขาไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไร คิดว่าฉู่ซืออี๋พูดผิดเพราะความมึนงงหรือสับสนในความคิดส่วนเรื่องที่ผ่านไปแล้ว สำหรับเขาแล้วนั้นมันคืออดีต เขาเองก็ไม่อยากจะมาทะเลาะกับฉู่ซืออี๋ในเรื่องนี้อีกปลายนิ้วเรียวยาวของฟู่เจิงคีบบุหรี่อยู่ เขาพลางเอ่ยขึ้นชืด ๆ “เพราะงั้น วันนั้นที่คุณไปเจอคุณปู่? คุณพูดอะไรกับคุณปู่กันแน่”นัยน์ตาของฉู่ซืออี๋เพ่งเล็งอยู่บนตัวฟู่เจิง ในนัยน์ตาประกายความมืดหม่นออกมาสายหนึ่ง “อยากรู้เหรอ? แต่ฉันไม่บอกคุณหรอก!”อันที่จริงฟู่เจิงสงสัยอยู่นานแล้วถ้าฉู่ซืออี๋พูดกับคุณปู่ว่าเขาต้องเป็นของเธอเท่านั้น แต่คุณปู่จัดแจงหุ้นของบริษัทแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้โกรธเขา กลับกันดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับฟู่เยว่เท่าไรอีกอย่างเรื่องเล็กน้อยในด้านความรักของเขานั่น คุณปู่ก็รู้อยู่ตั้งนานแล้ว ภูมิต้านทานในการรับฟังจะต่ำขนาดนั้นได้ยังไงคิดจนหัวจะแตกก็คิดไม่ตก เขาทำได้เพียงใช้ร่างกายที่เหลือเพียงเถ้าถ่านของคุณปู่มาอธิบายเท่านั้นฟู่เจิงเองก็ไม่ได้ตะบี้ตะบันถามต่อ “เรื่องที่ผ่านไปแ
หลังฉู่ซืออี๋เห็นสีหน้าของฟู่เจิง เธอก็ยิ้มพร้อมเอ่ยอย่างพอใจขึ้นมาว่า “เป็นยังไง? เธอเคยตั้งท้องลูกของคนอื่นมา เธอเป็นแบบนี้แล้ว คุณยังจะรักอยู่อีกเหรอ? ฉันขอเตือนคุณหน่อยนะ อย่าคิดจะฉีกภาพนี้ทิ้งเป็นอันขาด เพราะมีสำรองอีกเพียบ”ฟู่เจิงหลับตาลง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง เขาค่อย ๆ วางรูปลงบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้น “เอารูปมาจากไหน?”ถ้าฉู่ซืออี๋เป็นคนถ่าย เธอคงเอาออกมาตั้งนานแล้ว เพื่อทำให้เขาหย่ากับเวินเหลียงเพิ่งจะเอาออกมาตอนนี้ คงเป็นเพราะเพิ่งจะได้มามิน่าล่ะถึงรีบร้อนอยากจะเจอเขานักขอแค่เขาล่อลวงให้ฉู่ซืออี๋ลบต้นฉบับทิ้งซะ ก็คงปกป้องเวินเหลียงไม่ให้ถูกว่าร้ายจากความคิดเห็นประชาชนแล้วสีหน้าของฉู่ซืออี๋แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็ยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก คุณแค่ตอบรับเงื่อนไขของฉันก็พอ แล้วตัวตนของเวินเหลียงกับรูปภาพใบนี้จะไม่ถูกแพร่ออกไปแน่นอน ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของเวินเหลียงได้ย่อยยับป่นปี้แน่!”เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารูปนี้มาจากไหน เพียงแต่จู่ ๆ วันหนึ่งมันก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะในห้องเธอดูท่าเวินเหลียงจะไปล่วงเกินคนไว้ไม่น้อยทีเดียว มีคนคิด