สองวันผ่านไป เวินเหลียงได้รับรายงานการตรวจสอบเกี่ยวกับวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐานที่เมิ่งจินถังใช้สองฉบับฉบับหนึ่งออกมาจากองค์กรตรวจสอบเอกชน ฉบับหนึ่งมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการตรวจสอบอีกครั้งในรายงานสองฉบับอธิบายแตกต่างกันเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ลงข้อสรุปเหมือนกัน...วัสดุมีปัญหาจริง ๆเวินเหลียงคาดเดาเมิ่งจินถังด้วยความอคติแบบสุดขีด เขาต้องรู้แน่ ๆ ว่าวัสดุมีปัญหา ทว่ากลับจงใจทำเป็นไม่รู้ กระทั่งให้เมิ่งเซ่อเอาไปตรวจสอบเพื่อมาพิสูจน์ว่าตนไม่รู้เรื่องจริง ๆ อย่างหน้าตาเฉยจากในข้อมูลที่อวิ๋นเฉียวให้มาก่อนหน้านี้นั้นเห็นได้ชัดเจนว่า เมิ่งจินถังพาทั้งครอบครัวอพยพไปอยู่ต่างประเทศด้วยเหตุผลว่าโยกย้ายงาน ในสองสามปีที่เพิ่งไปถึงต่างประเทศนั้นใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่ มันเกินกว่าที่เงินเดือนของเขาจะเอื้อมถึง แต่ดั้งแต่เดิมตระกูลเมิ่งก็ไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยอะไร แม้จะมีเงินออมแต่ก็ไม่เยอะหลังจากนั้นชีวิตของตระกูลเมิ่งก็ค่อย ๆ ตกต่ำลงเรื่อย ๆ กระทั่งก่อนกลับประเทศ เรียกได้ว่ากลับไปอยู่ในระดับเดิมอย่างตอนที่อยู่ในประเทศเลยด้วยซ้ำว่ากันตามเหตุผลแล้ว ปีนั้นตระกูลเมิ่งขายบ้านแล้วออกนอกประเท
ถังซือซือลุกขึ้นยืน เก็บพาเลทตาและแปรงแต่งหน้า “ได้ ฝากเธอมาจัดการตรงนี้หน่อยนะ”“ได้ พี่รีบไปเถอะค่ะ คุณโจวอยู่ห้องแต่งตัวหมายเลขสาม”“อืม”เมื่อถังซือซือจัดการกระเป๋าเครื่องสำอางของตัวเองเสร็จ ก็รีบเดินไปที่ห้องแต่งตัวหมายเลขสามทันทีเงื่อนไขของห้องแต่งตัวหมายเลขสามย่อมมีมากกว่าห้องแต่งตัวส่วนรวมอยู่แล้ว มีนักแสดงสองคนใช้ร่วมกัน คนหนึ่งคือโจวอวี่ที่ผู้ช่วยบอก ส่วนอีกคนเป็นไอดอลหน้าใหม่ประตูห้องแต่งตัวเปิดอยู่ ถังซือซือเคาะประตู แล้วเดินเข้าไปเลย เธอเดินไปทางโจวอวี่ที่นั่งอยู่หน้ากระจกผู้ช่วยของโจวอวี่รีบส่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง “คุณถัง ลำบากคุณแล้วนะคะ จู่ ๆ พี่ซินดี้ก็ปวดท้องต้องไปโรงพยาบาลด่วน”“วางไว้บนโต๊ะก่อนแล้วกัน เขาจะซ้อมใหญ่เมื่อไร?” ถังซือซือวางกระเป๋าเครื่องสำอางบนโต๊ะเครื่องแป้งหน้ากระจก“อีกหนึ่งชั่วโมง ลายเซ็นที่คุณอยากได้” โจวอวี่ชี้ไปที่โปสต์การ์ดสองสามแผ่นที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง “อย่าลืมล่ะ”“ได้เลย ขอบคุณค่ะ” ถังซือซือเปิดกระเป๋าเครื่องสำอาง เอาแปรงแต่งหน้าที่ใช้ประจำออกมาสองสามชุดไปด้วยพลางยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “วันนั้นต้องขอบคุณคุณมากจริง ๆ นะคะ โชคดีที่เดินผิ
นัยน์ตาของเยี่ยนหวยเปล่งประกาย สายตาตกไปบนตัวเธอ จ้องเขม็งไม่ยอมปล่อยถังซือซือชักสายตากลับ ก่อนจะเดินผ่านเยี่ยนหวยไปข้างต่อหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะเดินเฉียดไป จู่ ๆ เยี่ยนหวยก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ พร้อมจ้องเธอด้วยนัยน์ตาดำมืด “ซือซือ”เป็นไอ้โจวอวี่นี่อีกแล้วเมื่อเขาเห็นเธอพูดคุยหัวเราะเฮฮากันอย่างสนุกสนานกับโจวอวี่ ไม่ต้องพูดเลยว่าในใจของเขาเจ็บปวดแค่ไหน ราวกับถูกน้ำทะเลโหมสาดเข้ามาอุดจนตันไปหมด ทั้งขมขื่นและทั้งเจ็บปวดข้างกายเธอไม่มีที่ของเขาแล้วฝีเท้าของถังซือซือชะงักไปในทันใด พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “มีอะไรจะพูดก็รอให้งานจบก่อนแล้วค่อยพูด ตอนนี้ฉันยังมีงานต้องทำ ยุ่งมาก”เยี่ยนหวยมองเธอ ผ่านไปนานสองนานถึงปล่อยแขนเธอ “เธอไปทำงานก่อนเถอะ”ทว่าเมื่อพิธีมอบรางวัลเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เยี่ยนหวยก็ไปจับตัวเธอที่หลังเวทีอีกครั้ง แต่ถังซือซือหนีไปไม่เห็นหัวแล้วเขากำหมัดแน่น และกลับไปยังที่นั่งเงียบ ๆชายหนุ่มข้าง ๆ ชี้โจวอวี่ที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวที “เขาน่ะเหรอ?”สีหน้าของเยี่ยนหวยเคร่งขรึม พร้อมพยักหน้าเบา ๆชายหนุ่มมองประเมินโจวอวี่ พลางประเมินพร้อมลู
ถึงอย่างไรเตะถ่วงเวลาออกไป ก็คงไม่จบภายในสองสามปีนี้แน่การตอบกลับของเมิ่งเซ่อทำเอาเวินเหลียงคาดไม่ถึงเลยจริง ๆราวกับกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อ เมิ่งเซ่อจึงส่งคลิปเสียงมาคลิปหนึ่ง ในคลิปเสียงอัดมาแค่ครึ่งหลัง ทว่าบทสนทนาของทั้งสองคนที่อยู่ในคลิปมีเจตนาเช่นนี้จริง ๆหรือว่าที่เขาไม่ได้ห้ามเมิ่งจินถัง ที่แท้ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าการไกล่เกลี่ยจะไม่สำเร็จเวินเหลียงตั้งใจฟังรอบหนึ่ง แล้วรีบแยกว่าเสียงไหนคือเสียงของผู้รับผิดชอบฝ่ายซัพพลายเออร์ เสียงไหนคือเสียงของคนบงการเพียงแต่เธอรู้สึกคุ้น ๆ เสียงของคนบงการอยู่นิดหน่อย ราวกับเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ไหนมาก่อนแต่ดันนึกไม่ออกเวินเหลียงถามขึ้นว่า “แปลกจัง นายอยากสืบหาตัวตนของผู้ชายคนนั้นเหรอ?”เมิ่งเซ่อ “อันที่จริง ผมสงสัยว่าเจ้าของจะรู้จักกับผู้ชายคนนั้น และทั้งหมดนี้ก็คือผลลัพธ์ที่ผู้ชายคนนั้นหาเรื่องพวกเรา! พวกเราจะนั่งรอความตายไม่ได้ หลังจากถูกพวกเขาถ่วงเวลาไปสองสามปี ผมอยากดูซิว่าจะจับจุดอ่อนของพวกเขาได้ไหม”หรือว่าเมิ่งจินถังจะไม่รู้จริง ๆ ว่าวัสดุมีปัญหา แต่แค่ถูกหาเรื่อง?เวินเหลียง “ฉันไม่รู้จักนักสืบเอกชนอะไรหรอก เดี๋ยวฉันขอถาม
เมื่อเห็นข้อความนี้ ลู่เย่าก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที มือสั่นเทา โทรศัพท์เกือบตกลงบนพื้นจู่ ๆ เส้นเลือดบนหน้าผากเขาก็กระตุกสองที เขาตอบกลับว่า “คุณเวิน คุณอย่าทำแบบนี้สิ คุณอย่าทำร้ายผมสิ!”อย่างไอ้จอมขี้หึงฟู่เจิงนั่น ถ้าทำให้เขาเห็นเข้า ไม่แน่ว่าได้มาฝึกต่อยมวยกับเขาอีกแน่คราวก่อนในร้านอาหารที่นอร์เวย์ เวินเหลียงแค่พูดว่าชอบนิสัยเขาไม่กี่ประโยค เมื่อถูกฟู่เจิงที่อยู่ห้องข้าง ๆ ได้ยินเข้า หลังกลับประเทศมาฟู่เจิงก็นัดเขาไปซ้อมต่อยมวยอยู่สองสามครั้ง เรียกให้ดูดีว่าไปเป็นคู่ซ้อม ทว่าอันที่จริงคือโดนซ้อมเขาบอกปัดไม่ได้จริง ๆ จึงเป็นคู่ซ้อมให้ฟู่เจิงอยู่สองครั้ง ฟู่เจิงก็ไม่เบามือเลยสักนิด หมัดหนึ่งหนักกว่าหมัดหนึ่ง ตอนนี้บนตัวเขายังมีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่เลย!ถ้าให้ไปซ้อมอีกที เขารับไม่ไหวแล้วจริง ๆเวินเหลียง “จะทำคุณนั่นแหละ! ไม่งั้นพวกคุณก็ดีแต่เห็นฉันเป็นคนโง่น่ะสิ!”ลู่เย่ามั่นใจว่า เวินเหลียงรู้เรื่องเข้าแล้วแน่ ๆ เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร “ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร”เวินเหลียงส่งคลิปเสียงไปเลย “แสร้งอะไร? ถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ ตัวเองก็อย่าทำสิ”ลู่เย่าที่ได้ฟังคล
ปลายสายเงียบอยู่นานสองนาน น้ำเสียงอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงลง “เธอคิดกับฉันแบบนี้เหรอ?”เมื่อเขาเห็นว่าเป็นสายของเธอ ก็รีบรับสายด้วยใจที่เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ ทว่าครั้นได้ยินคำถามประดังประเดใส่หน้าโครม ๆ ในใจก็เย็นยะเยียบลงมาทันที“หรือว่าไม่ใช่งั้นเหรอ?” น้ำเสียงของเวินเหลียงเย็นชา ถามกลับคำหนึ่งชะงักคำหนึ่ง“ฮึ” ฟู่เจิงแค่นเสียงฮึด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ ในน้ำเสียงเผยให้เห็นความเย็นชาสายหนึ่ง “ทั้ง ๆ ที่พ่อของเมิ่งเซ่อรู้อยู่แล้วว่าวัสดุไม่ได้มาตรฐานก็ยังจะซื้อมา ถูกคนรายงานก็เป็นเรื่องปกติ ทำไมถึงมาโทษฉันได้ล่ะ?”ตอนนี้เวินเหลียงไม่หลงเหลือความเชื่อใจใด ๆ ให้กับฟู่เจิงเลยแม้แต่น้อยเวินเหลียงทำเหมือนว่าคำพูดของเขาคือลมตด!ต่อให้เมิ่งจินถังจงใจใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐานแล้วยังไง เป้าหมายของเธอคือได้รับความเชื่อมั่นจากเมิ่งเซ่อต่างหากส่วนเมิ่งจินถัง รอให้เธอหาหลักฐานที่ชี้ว่าเขาเป็นโจรเรียกค่าไถ และเป็นต้นเหตุทำให้พ่อของเธอต้องตายได้ก่อน เธอจะทำให้เขาได้รับการลงโทษทางกฎหมายแน่นอนเวินเหลียงหัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “ดูท่าคุณจะรู้เรื่องนี้ดีจังเลยนะ? เพราะงั้นคุณเลยไปหาคนมาร่วมงานกับ
เวินเหลียงชะงักไป “คุณถามเรื่องนี้ทำไม?”ลู่เย่าถอนหายใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง “สองสามวันก่อนหน้านี้ฟู่เจิงเลือดออกในกระเพาะอาหาร กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เดิมทีอาการไม่ค่อยสู้ดีอยู่แล้ว จู่ ๆ เขาก็เริ่มอดอาหาร ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ไม่ยอมกินอะไรเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว! พยาบาลบอกว่าเมื่อวานหลังจากที่เขารับสายหนึ่งก็กลายเป็นแบบนี้ไปเลย!”ฟู่เจิงเลือดออกในกระเพาะอาหารนอนอยู่ที่โรงพยาบาล?เวินเหลียงอึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกถึงสองวันก่อนตอนไปเยี่ยมหลานของป้าหวังที่โรงพยาบาล เหมือนเธอจะเห็นเงาเบื้องหลังของฟู่เจิง ตอนนั้นเธอยังคิดว่าตาฝาดไปเห็นเวินเหลียงอึ้งไป ลู่เย่าก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “คุณต้องไปโน้มน้าวเขาที่โรงพยาบาลกับผมเดี๋ยวนี้!”เวินเหลียงได้สติกลับมา พร้อมถอยหลังก้าวหนึ่ง “ฉันไม่ไป เขาไม่ใช่เด็กแล้วซะหน่อย เอาร่างกายของตัวเองมาล้อเล่น คนที่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานก็คือตัวเขาเอง เราหย่ากันแล้ว ต่อไปถ้าเขาเป็นแบบนี้อีก ฉันก็ต้องไปเยี่ยมเขาอีก ฉันไม่ต้องใช้ชีวิตแล้วเหรอ?”ขณะที่ทั้งสองคนยังไม่หย่ากัน เธอเองก็รู้ว่าฟู่เจิงต้องไปเข้าสังคมข้างนอกตลอดปี กระเพาะอาหารจึงไม่ค่อยด
เวินเหลียงเดินตามอยู่เบื้องหลังเขา เธอรีบเดินสับเท้าอย่างรวดเร็ว ตรงหน้าอกพลันพองขึ้นยุบลงอย่างรวดเร็ว ร้อนจนแก้มแดงระเรื่อทุกคนมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยวีไอพีห้องหนึ่ง ลู่เย่าชี้ไปที่ประตู “ห้องนี้แหละ คุณเข้าไปเถอะ”เวินเหลียงมองเข้าไปจากหน้าต่างบนประตู เห็นเพียงฟู่เจิงนอนอยู่บนเตียง มีถุงน้ำเกลือแขวนอยู่ตรงหัวเตียง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ ราวกับกำลังนอนหลับอยู่อย่างนั้นเธอเปิดประตูเดินเข้าไปเบา ๆฟู่ซือฝานดิ้นอยู่ในอ้อมอกของลู่เย่า พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “คุณลุงขา หนูก็อยากเข้าไปเหมือนกัน”ลู่เย่ากอดเธอเข้าไปในอ้อมอก “รอเดี๋ยวนะ ให้คุณลุงของเธอคุยกับคุณป้าก่อน”“โอเคค่ะ”เสียงเปิดประตูดังขึ้นปัง ฟู่เจิงจับเสียงฝีเท้าได้ เขาเอ่ยขึ้นชืด ๆ ทั้งหลับตาว่า “ฉันบอกไปแล้วไง ไม่ต้องมาโน้มน้าวอีกแล้ว”ที่แท้ก็ไม่ได้หลับนี่เองเวินเหลียงมาถึงข้างเตียง เมื่อเห็นท่าทางของฟู่เจิงที่นอนอยู่บนเตียงชัด ๆ จู่ ๆ หัวใจก็บีบตัวแรงขึ้นมา เธอกลั้นลมหายใจเอาไว้ไม่เจอหน้ากันไม่กี่วัน เขาผอมลงไปเยอะมาก เบ้าตาบุ๋มลึก บนหน้าแทบจะไม่มีเนื้อหนังอะไรเลย ตรงขากรรไกรล่างและมุมขากรร