สายตากวาดผ่าน เนื้อหาข้อความคือการด่าทอ สาปแช่งและการโจมตีสารพัดฟู่เจิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าดำทะมึนน่ากลัว ในหัวใจมีไฟลุกโชนเขาไม่กล้านึกภาพ ตอนที่เวินเหลียงเห็นการด่าทอเต็มหน้าจอนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไรพอนึกถึงว่าเวินเหลียงต้องเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ตามลำพัง อดกลั้นต่อความอยุติธรรมไปทำงาน ความเจ็บแปลบผุดขึ้นมาในหัวใจและช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาเปิดเครื่อง สายรบกวนและข้อความด่าทอเหยียดหยามใหม่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาเหมือนเดิมฟู่เจิงเปิดไลน์เลื่อนหาในหน้าแรก กลับไม่พบห้องแชตของผู้กำกับหลี่แสดงว่าพอเวินเหลียงบล็อกอีกฝ่ายแล้วคงลบประวัติสนทนาและห้องแชตทิ้งฟู่เจิงนึกอะไรขึ้นมาได้ เปิดหารูปแคปหน้าจอในอัลบั้ม และเจอกับหลักฐานที่เวินเหลียงเก็บเอาไว้อย่างที่คิดในภาพแสดงข้อความสุดท้ายในบันทึกประวัติสนทนาของผู้กำกับหลี่ “...ฉันจะให้สิทธิ์การเข้าร่วมชื่อซีซันต่อไปของรายการนั้นกับเธอ คืนนี้มาโรงแรมโฟร์ซีซันไหม?”ดวงตาของฟู่เจิงเย็นยะเยือก ปิดโทรศัพท์มือถือและตบโต๊ะดังปัง จากนั้นก็ต่อสายโทรศัพท์“ประธานฟู่? คุณมีเวลาโทรมาได้ยังไงครับเนี่ย?” คนปลายสายได้ยินแล้วทั้งสะดุ้งทั้งดีใจ ราวกับไม่อยากจ
ตั้งแต่ข่าวนี้เผยแพร่ออกมา เขาก็เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อฟู่เจิงแบบหน้ามือเป็นหลังมือในสายตาของเขา ฟู่เจิงก็คือคลาสโนวาที่เหยียบเรือสองแคมและไม่รับผิดชอบอะไรเลยแบบสุด ๆ ไม่คู่ควรกับเวินเหลียงสักนิดสำหรับความสัมพันธ์ของทั้งสอง ต้องเป็นฟู่เจิงที่บีบบังคับเวินเหลียงแน่!คุณปู่สุขภาพแย่ลงทุกวัน ฟู่เจิงจึงค่อย ๆ เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา ส่วนเวินเหลียงอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น ไม่อยากให้คุณปู่เห็นเธอกับหลานชายที่รักแตกแยกกันก็เลยถูกบีบให้ยอมโอนอ่อนตามฟู่เจิงต้องเป็นแบบนี้แน่!“ดังนั้นความหมายของคุณคือ คุณใช้ข่าวของตัวเองดึงกระแสออกไปจากเธอ?”โจวอวี่ไม่ตอบแต่ย้อนถาม “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงลงไม้ลงมือ?”ไม่รอให้ฟู่เจิงตอบ เขาก็เปิดคลิปเสียงจากโทรศัพท์มือถือ “ฟังเอาเองเถอะ”ในโทรศัพท์มีเสียงสนทนา “...แค่ดูก็รู้ว่าโคตรร่าน”“เฮ้ย นายรู้ได้ไง? นายได้กลิ่นร่านเหรอ?”“วันนั้นฉันเจาะจงสังเกตเลยนะ ก้นนั่น เอวนั่น แค่เห็นวิญญาณก็จะหลุดแล้ว...”“ต้องปล่อยเป็นหน้าที่ฉัน รับรองว่าเขาต้องมีความสุขทั้งคืนแน่...”“เธอมีลูกค้าเยอะอย่างนั้น เมื่อไรจะถึงคิวนาย?”คำพูดสัปดนหลายประโยคผ่านไป ในคลิปเสียงก็มี
รถยนต์ขับเข้าลานบ้านพัก ฟู่เจิงลงจากรถแล้วก็ยืนเงยหน้าอยู่กับที่ ห้องนอนหลักปิดไฟแล้วเข้าห้องรับแขก ฟู่เจิงเปิดไฟและเจาะจงไปดูลิ้นชัก พบว่ากุญแจสำรองของห้องนอนหลักวางอยู่เหมือนเดิมแล้วเขาเดินเข้าห้องเงียบ ๆในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ้าม่านหน้าต่างสาดตกบนหัวเตียง เห็นผมสลวยสยายปกอยู่บนหมอนราง ๆกลางเตียงมีก้อนหนึ่งนูนขึ้นมา เมื่อมองท่ามกลางความมืดกลับดูอ่อนแอที่สุดเธอขดตัว ผ้าห่มบังใบหน้าเธอครึ่งหนึ่งฟู่เจิงนั่งข้างเตียงเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เลิกมุมผ้าห่มขึ้น อาศัยแสงจันทร์เลือนรางจ้องดวงหน้านิทราของเธอเมื่อนั้นฟู่เจิงจึงพบว่าหว่างคิ้วของเธอมีรอยย่นลึกรอยหนึ่ง โคนผมชื้นแฉะ พูดพึมพำอะไรเบา ๆ เหมือนกำลังฝันร้ายจู่ ๆ เธอก็เหมือนฝันถึงภาพที่น่ากลัวมาก ๆ ลมหายใจถี่ นิ้วมือจิกผ้าปูที่นอนจนยับ ร่างกายแข็งเกร็งและสั่น หยดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมา ปากขมุบขมิบ พึมพำอะไรเบา ๆฟู่เจิงโน้มตัวลงไป ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา พูด ๆ หยุด ๆ “...ไม่ใช่ ฉันเปล่า ฉันไม่ได้...”หางตาของเธอมีหยดน้ำซึมออกมาหยดหนึ่ง อ้อนวอนพลางน้ำตากลิ้งลงมาช้า ๆ และซึมเข้าไปในหมอนฟู่เจิงเจ็บแปลบ
แต่เรื่องราวมันไม่มีคำว่า ‘ถ้า’การทอดถอนใจของคุณปู่ การดูถูกของเพื่อนร่วมงาน การปลอบของฟู่เยว่ การกอบกู้ของรุ่นพี่ สำหรับเขาในตอนนั้นคือความหนักหน่วงเขาไม่มีเวลารัก ๆ ใคร่ ๆ ได้แต่พยายามแก้ไขชดเชยปัญหาที่เกิดจากข้อมูลรั่วไหลหลังจากฉู่ซืออี๋ถูกช่วยก็มีปมในใจ พึ่งพาเขามากกว่าปกติเขาไม่พูดถึงเรื่องที่ให้ต่างฝ่ายต่างสงบใจอีกกับฉู่ซืออี๋ ที่มีมากกว่าคือความจนใจ ชดเชยและยอมไม่เคยมีวันไหนที่เจ็บจี๊ดลึก ๆ ในหัวใจเหมือนอย่างวันนี้ฟู่เจิงหยุดอยู่ตรงบันไดและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรศัพท์หาเลขาหยาง“เลขาหยาง”“ประธานฟู่มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” เลขาหยางนึกว่าฟู่เจิงลืมบอกอะไรเกี่ยวกับความร่วมมือในคืนนี้“ช่องการเงินอยากสัมภาษณ์ผมมาตลอดไม่ใช่เหรอ? คุณบอกพวกเขานะว่าผมโอเคแล้ว”“คะ?!” เลขาหยางนึกว่าตัวเองหูฝาดฟู่เจิงไม่เคยชอบให้สื่อคุ้ยแคะเรื่องส่วนตัวของเขา นอกจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่การกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะ เขาไม่เคยรับการสัมภาษณ์ใด ๆ ไม่มีแอ็กเคานต์โซเชียลมีเดีย และเปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนน้อยมาก“ประธานฟู่ คุณคิดดีแล้วเหรอคะ?” เลขาหยางรู้ดีอยู่แก่ใจ ประธานฟู่สงสารผู้อำนวยการเวิ
ตามธรรมเนียมที่ผ่านมาพวกเขาจะกินมื้อเที่ยงที่บ้านใหญ่แล้วค่อยไปสุสานที่ชานเมืองมื้อเที่ยงอุดมสมบูรณ์มาก บนโต๊ะอาหารครื้นเครงสนุกสนานโดยเฉพาะการพูดแบบเด็ก ๆ ของฟู่รุ่ยที่กระตุ้นต่อมหัวเราะของทุกคนบนโต๊ะบ่อย ๆเห็นท่าทางน่ารักของฟู่รุ่ย ดวงตาของเวินเหลียงฉายรอยยิ้มบางส่วนอย่างอดใจไม่อยู่ไม่รู้ว่าเด็กในท้องเธอเกิดมาแล้วจะเป็นยังไง เธอหวังว่าจะน่ารักเหมือนฟู่รุ่ย อยู่อย่างไม่ต้องกังวลตรงข้ามโต๊ะอาหาร ฟู่เจิงเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าของเวินเหลียงแล้วพาลให้ใจลอยครั้นสบกับเส้นสายตาของฟู่เจิง เวินเหลียงหน้านิ่งไป เธอวางตะเกียบอย่างแนบเนียนและไปเข้าห้องน้ำในตอนที่เธอเช็ดคราบน้ำบนมือจนสะอาด เดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าประตูเสื้อกันลมสีเทาเข้ม กางเกงสแล็คและรองเท้าหนัง มองดูจากข้างหลังสูงตรงดังต้นสนฝีเท้าเวินเหลียงชะงักถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้คีบบุหรี่ครึ่งมวนที่สูบไม่หมด บางทีเธออาจนึกว่าเขาคือฟู่เจิงแต่ฟู่เจิงไม่สูบบุหรี่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างหลัง ฟู่เยว่จึงหันมามอง“พี่เยว่” เวินเหลียงยิ้มทักทายกับฟู่เยว่ “มาหลบสูบบุหรี่เหรอคะ?”ฟู่เยว่หัวเราะอย่างจนปัญ
และสาเหตุการเสียชีวิตของฟู่หรงสองสามีภรรยาคือมีปากเสียงเพราะเขาจนเกิดอุบัติเหตุ แล้วเขาจะแบกความรับผิดชอบไว้คนเดียว คิดว่าตัวเองทำร้ายพวกเขาทางอ้อม ทำให้ฟู่เยว่เสียบุพการีไปในคืนเดียวหรือเปล่า?คำพูดต่อมาของฟู่เยว่ยืนยันความคิดของเธอ“ตอนนั้นฉันรับเรื่องที่พ่อแม่ตายไม่ได้ โยนความผิดทั้งหมดให้กับอาเจิง รังแกเขาลับหลังบ่อย ๆ ขู่ไม่ให้เขาบอกคุณปู่ ตอนแรกฉันก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน กลัวคุณปู่จะรู้ ต่อมาฉันรู้ว่าเขาช่วยฉันปิดบังต่อหน้าคุณปู่ เป็นคุณปู่ที่เห็นความผิดปกติตอนหลังเอง...”“บ้านอื่นมีแต่พี่ชายยอมให้น้องชาย แต่อาเจิงกลับยอมให้ฉัน ฉันรู้ เขารู้สึกผิดกับเรื่องพ่อแม่มาตลอด อยากชดเชยอย่างสุดความสามารถ นานวันเข้าก็เลยกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นในใจ กับฉู่ซืออี๋ก็คงเป็นอย่างนี้เหมือนกัน”“ใช่อย่างนี้เหรอ?” เวินเหลียงพึมพำ“อาเจิงเคยเล่าเรื่องระหว่างพวกเขาให้เธอฟังไหม?”เวินเหลียงตระหนักโดยพลันว่าฟู่เยว่หมายถึงเรื่องที่เคยเกิดกับฉู่ซืออี๋เธอเคยได้ยินเจียงมู่พูดถึงครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่รู้รายละเอียดฟู่เยว่ไม่รอให้เธอตอบ แต่มองนอกหน้าต่างพลางนึก “ตอนนั้นอาเจิงเพิ่งมาฝึกงานที่บริษัทได
เวินเหลียงกำมือที่ห้อยอยู่แน่นขึ้นฟู่เยว่คล้ายมองความคิดของเธอออก “วางใจเถอะ คุณปู่เป็นคนมีเหตุผล เขาอยากให้เธอมีความสุข ฉันจะเกลี้ยกล่อมคุณปู่อีกแรง...”“ฉัน...” เวินเหลียงกำลังจะพูดอะไร ข้างหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามด้วยเสียงของฟู่เจิง “อาเหลียง? ทำไมยังไม่กลับไปอีก? พี่ก็อยู่ด้วยเหรอ?”ฟู่เยว่ยิ้มกับฟู่เจิง “คุยกับอาเหลียงหน่อยน่ะ”ฟู่เยว่เป็นคนอบอุ่น ตอนอยู่บ้านใหญ่เธอกลับสนิทกับฟู่เยว่มากกว่าฟู่เจิงไม่สงสัย แค่พูดกับเวินเหลียง “เมื่อกี้ฉันเห็นเธอกินไม่เยอะ กลับไปกินอีกหน่อยเถอะ”“ค่ะ” เวินเหลียงตอบรับเรียบ ๆฟู่เยว่กวาดสายตามองระหว่างทั้งสองสองวินาที ก่อนจะพูด “ฉันจะกลับไปแล้วเหมือนกัน ไม่งั้นพี่สะใภ้นายจะสงสัยว่าฉันสูบบุหรี่อยู่ข้างนอก”ฟู่เจิงมองก้นบุหรี่ตรงพื้นและยิ้มมุมปากฟู่เยว่สั่งเบา ๆ “อย่าบอกเขาล่ะ”“ตัวพี่มีกลิ่นบุหรี่ติดอยู่นะครับ” ฟู่เจิงเลิกคิ้วพูดฟู่เยว่ชะงักฝีเท้าทันที ยกแขนขึ้นดมไหล่และพูดอย่างจนปัญญา “ฉันจะออกไปเดินซักรอบแล้วค่อยกลับมา”……หลังมื้อเที่ยง รถสองคันขับออกจากบ้านใหญ่ตามลำดับ และจอดตรงเชิงเขาสุสานตั้งแต่เริ่มเดินทางมาที่สุสาน ฟู่
ฟู่เจิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเธอไม่ชอบเหรอ?“คืนนี้คุณยังมีงานอีกหรือเปล่าคะ?” จู่ ๆ เวินเหลียงก็ถาม“ทำไมเหรอ?”“ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณค่ะ”“พูดตอนนี้ไม่ได้เหรอ?”เวินเหลียงมองรถที่วิ่งอยู่ตรงหน้า “กลับไปค่อยพูดดีกว่าค่ะ”เธอกลัวว่าจะเกิดโศกนาฏกรรมเหมือนกับฟู่หรงและภรรยากลับถึงคฤหาสน์ย่านซิงเหอวาน ฟู่เจิงวางกุญแจรถไว้บนโต๊ะ ถอดเสื้อตัวนอกและแขวนไว้บนราว จากนั้นก็เทน้ำให้ตัวเองและเวินเหลียง “เธออยากพูดอะไรกับฉัน”“ฟู่เจิง เราหย่ากันเถอะ” เวินเหลียงพูดอย่างสงบครั้นฟู่เจิงได้ยิน ตัวเขาชะงักงันอยู่กับที่ เขาเทน้ำพลางมองเวินเหลียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เธอพูดอะไรนะ?”เทน้ำจนเต็มแก้วแล้วกลับไม่รู้“ฉันบอกว่าเราหย่ากันเถอะค่ะ” เวินเหลียงมองดวงตาของฟู่เจิง ทวนอีกรอบนาทีนั้น ฟู่เจิงรู้สึกเพียงหัวใจบีบรัดอย่างแรงเขามองเวินเหลียง ในดวงตาคือความตะลึงงันที่มิอาจซ่อนเร้น กระทั่งลืมไปว่าตัวเองกำลังเทน้ำอยู่ ปล่อยให้น้ำร้อนลวกมือตัวเองจนแดง และทำแขนเสื้อเขาเปียกเวินเหลียงมองเขาเฉย ๆ และพูดต่อ “พวกเราปิดคุณปู่ไปจดทะเบียนหย่ากันก่อน ปิดได้นานแค่ไหนก็แค่นั้น”ฟู่เจิงมองเวินเหลียง เขายังคงเ