ระยะนี้ข่าวดังเกรียวกราว ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทไม่พูดถึงเพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์แต่รองประธานกรรมการบริหารท่านนี้มีสิทธิ์เขาไม่ได้เป็นแค่รองประธานกรรมการบริหาร ยังเป็นหุ้นส่วนและสมาชิกคณะกรรมการบริษัทคนหนึ่ง หุ้นของบริษัทมีความสัมพันธ์กับเขาโดยตรง การพูดเรื่องนี้ออกมาจึงอยู่ในความคาดหมายบางทีทุกคนต่างรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ตัวฟู่เจิง แต่ไม่กล้าตำหนิเขา...พอพูดขึ้นมาต่อหน้าทุกคน เวินเหลียงหน้าซีดหนักกว่าเดิม ละอายใจมาก “ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ เพราะเรื่องของฉันส่งผลถึงบริษัท...”พูดยังไม่ทันจบฟู่เจิงก็ขัดเขากวาดตามองทุกคนอย่างเฉยเมย “ผมคิดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้นะครับ”นอกจากหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่จำเป็นต้องให้คณะกรรมการบริษัทโหวตออกจากตำแหน่ง ฝ่ายอื่น ๆ รวมถึงคนรับผิดชอบโปรเจกต์ ฟู่เจิงมีสิทธิ์ตัดสินใจโดยตรงประธานเกายิ้มเจื่อน “ก็จริง”เห็นชัดว่าฟู่เจิงต้องการปกป้องเวินเหลียง ต่อให้เขาพูดมากขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์“ต่อเถอะ” ฟู่เจิงพูดเรียบ ๆรองผู้จัดการใหญ่อู๋หรี่ตา “ที่ผมอยากจะพูดมีคนเคยพูดไปหมดแล้ว ผมจะไม่พูดซ้ำแล้วนะครับ”“แต่” เขาเบี่ยงประเด็น “หลายวันก่อนผมกินข้า
“พอที!” ฟู่เจิงตวาด “เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็มีค่าให้รองผู้จัดการใหญ่อู๋จริงจังถึงขั้นเถียงกันไม่เลิกขนาดนี้เลยเหรอ?”รองผู้จัดการใหญ่อู๋หน้าตึง “ผมทำเพราะหวังดีกับบริษัท”ฟู่เจิงยิ้มแต่ไม่พูดด้วยนิสัยของเวินเหลียง จะไม่บล็อกลูกค้าง่าย ๆ นอกเสียจากลูกค้าจะทำอะไรที่เกินไปรองประธานหลินไกล่เกลี่ย “รองผู้จัดการใหญ่อู๋ก็ไม่ต้องห่วงเกินไป ก็แค่รายการแสดงรายการเดียวไม่ใช่เหรอ? ไม่ร่วมมือก็ช่างเถอะ เวินเหลียง คุณก็ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องใส่ใจนะ”เขาไม่ชอบการช่วงชิงอำนาจผลและประโยชน์ หลายปีมานี้เวินเหลียงทำงานกับเขาพัฒนาเอ็มคิวได้ดี ไม่ต้องทุกข์ร้อน ไม่ต้องห่วงอะไร ได้เงินปันผลไม่น้อย นี่คือเรื่องที่สบายขนาดไหน!รองผู้จัดการใหญ่อู๋เห็นไม่มีใครเข้าข้าง สีหน้ายิ่งดูย่ำแย่ ถลึงตาใส่เวินเหลียงแรง ๆ ทีหนึ่งเพียงแต่เขายังไม่ทันถอนสายตากลับก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาเหล่ตามอง เจอกับสายตาเย็นเฉียบของฟู่เจิงกวาดมองมา พลันหัวใจหล่นตุบ ท่าทางสงบเสงี่ยมในพริบตา นั่งเงียบจนสิ้นสุดการประชุมตอนแยกย้าย ฟู่เจิงจัดระเบียบเอกสารในมือ จงใจนั่งนานอีกหน่อย รอจนคนออกไปหมดแล้วจึงพูดกับเวินเหลียง “ผู้อำนวยการเวินม
ถ้าไม่มีเรื่องพรรค์นี้ อู๋หลิงสามารถก้าวหน้าได้ดีที่บริษัทลูกแต่ตอนนี้เขาจะไม่เก็บอู๋หลิงไว้ในฟู่ซื่อเด็ดขาดเวินเหลียงไม่แปลกใจเท่าไร ตอบกลับว่า “เขาเป็นคนของคุณ คุณตัดสินใจเถอะค่ะ”เธอสงสัยอู๋หลิงตั้งแต่แรกแล้วฉู่ซืออี๋แค่ปั่นกระแสเรื่องที่เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่บางเรื่อง ไม่ถือว่าใส่ความ เวินเหลียงทำอะไรเธอไม่ได้ถ้าแฉเรื่องจริง ทันทีที่ฟู่เจิงชี้แจงตรง ๆ เธอจะได้ไม่คุ้มเสียมีแต่อู๋หลิงที่ทำแบบไม่คิด เพราะชอบฟู่เจิงก็เลยดึงความสนใจไปที่ตัวเธอฟู่เจิงเดินมาหาเวินเหลียงช้า ๆ และหยุดตรงหน้าเธอ ยกมือจับลูกผมตรงจอนเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “ขอโทษ”เรื่องอู๋หลิง จนแล้วจนรอดเขาติดค้างคำว่าขอโทษกับเธอถ้าตอนนั้นเขาเชื่อเธอ บางทีอาจไม่เกิดเรื่องพวกนี้ในตอนหลัง เธอจะไม่ถูกโจมตีด่าทอจากทุกทิศทุกทางในอินเทอร์เน็ต เธอไม่ได้ทำผิดอะไร กลับต้องอยู่อย่างหนูในท่อน้ำห้ามเจอแสง พอโผล่หน้ามาก็จะถูกคนรุมทันทีเวินเหลียงถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ หลุบตาลง “ประธานฟู่”ถ้าคำว่า ‘ขอโทษ’ มาเร็วอีกหน่อย เธอคงตื้นตันสุด ๆ“ตอนนี้ไม่มีคนอื่น เธอเรียกฉันว่าอาเจิงก็ได้”เวินเหลียงสีหน้าปกติ แค่พู
“หลักฐานชัดเจนจะเข้าใจผิดได้ยังไง? ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไปถามเฉินเกินเป่ากับลูกชายคุณเองได้!”รองผู้จัดการใหญ่อู๋หน้าซีดเผือดฟู่เจิงกล้าพูดอย่างนี้แสดงว่ามั่นใจเต็มร้อยเห็นรองผู้จัดการใหญ่อู๋ไม่พูด ฟู่เจิงจึงพูดต่อ “ก็เหมือนกับที่ประธานเกาบอก ข่าวครั้งนี้ส่งผลกับชื่อเสียงและหุ้นของบริษัทอย่างร้ายแรง ทำให้บริษัทเสียหายอย่างหนัก ผมจะดำเนินคดีแพ่งและอาญาฐานละเมิดชื่อเสียงและหมิ่นประมาทกับเฉินเกินเป่าและอู๋จวินในนามของผมและบริษัท รองผู้จัดการใหญ่อู๋เป็นคนรับผิดชอบต่อบริษัทเสมอ คงสนับสนุนเต็มที่นะครับ?”ฝ่ายกฎหมายของฟู่ซื่อกรุ๊ปเขี้ยวตัน!บวกกับข่าวครั้งนี้ส่งผลอย่างหนัก รุนแรงมากจริง ๆ ถ้าฟู่เจิงกับบริษัทชนะ เฉินเกินเป่ากับอู๋จวินจะต้องชดใช้เงินมหาศาล หมดตัวยังไม่ว่า ยังอาจต้องติดคุกด้วยอีกอย่างการละเมิดชื่อเสียงและหมิ่นประมาทเป็นคดีที่เอกชนยื่นฟ้องเอง ต่อให้รองผู้จัดการใหญ่อู๋รู้ว่าทุกอย่างที่อวู๋จวินทำเป็นเพราะถูกอู๋หลิงบงการ แต่ฟู่เจิงไม่ได้ฟ้องอู๋หลิงหรือยอมความอู๋จวินนี่ ฉะนั้นที่ต้องแบกความรับผิดชอบก็มีแต่อู๋จวินคนเดียวตอนนี้รองผู้จัดการใหญ่อู๋อดเสียใจไม่ได้ที่ช่วยคนอกตัญญูอย่
สายตากวาดผ่าน เนื้อหาข้อความคือการด่าทอ สาปแช่งและการโจมตีสารพัดฟู่เจิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าดำทะมึนน่ากลัว ในหัวใจมีไฟลุกโชนเขาไม่กล้านึกภาพ ตอนที่เวินเหลียงเห็นการด่าทอเต็มหน้าจอนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไรพอนึกถึงว่าเวินเหลียงต้องเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ตามลำพัง อดกลั้นต่อความอยุติธรรมไปทำงาน ความเจ็บแปลบผุดขึ้นมาในหัวใจและช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาเปิดเครื่อง สายรบกวนและข้อความด่าทอเหยียดหยามใหม่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาเหมือนเดิมฟู่เจิงเปิดไลน์เลื่อนหาในหน้าแรก กลับไม่พบห้องแชตของผู้กำกับหลี่แสดงว่าพอเวินเหลียงบล็อกอีกฝ่ายแล้วคงลบประวัติสนทนาและห้องแชตทิ้งฟู่เจิงนึกอะไรขึ้นมาได้ เปิดหารูปแคปหน้าจอในอัลบั้ม และเจอกับหลักฐานที่เวินเหลียงเก็บเอาไว้อย่างที่คิดในภาพแสดงข้อความสุดท้ายในบันทึกประวัติสนทนาของผู้กำกับหลี่ “...ฉันจะให้สิทธิ์การเข้าร่วมชื่อซีซันต่อไปของรายการนั้นกับเธอ คืนนี้มาโรงแรมโฟร์ซีซันไหม?”ดวงตาของฟู่เจิงเย็นยะเยือก ปิดโทรศัพท์มือถือและตบโต๊ะดังปัง จากนั้นก็ต่อสายโทรศัพท์“ประธานฟู่? คุณมีเวลาโทรมาได้ยังไงครับเนี่ย?” คนปลายสายได้ยินแล้วทั้งสะดุ้งทั้งดีใจ ราวกับไม่อยากจ
ตั้งแต่ข่าวนี้เผยแพร่ออกมา เขาก็เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อฟู่เจิงแบบหน้ามือเป็นหลังมือในสายตาของเขา ฟู่เจิงก็คือคลาสโนวาที่เหยียบเรือสองแคมและไม่รับผิดชอบอะไรเลยแบบสุด ๆ ไม่คู่ควรกับเวินเหลียงสักนิดสำหรับความสัมพันธ์ของทั้งสอง ต้องเป็นฟู่เจิงที่บีบบังคับเวินเหลียงแน่!คุณปู่สุขภาพแย่ลงทุกวัน ฟู่เจิงจึงค่อย ๆ เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา ส่วนเวินเหลียงอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น ไม่อยากให้คุณปู่เห็นเธอกับหลานชายที่รักแตกแยกกันก็เลยถูกบีบให้ยอมโอนอ่อนตามฟู่เจิงต้องเป็นแบบนี้แน่!“ดังนั้นความหมายของคุณคือ คุณใช้ข่าวของตัวเองดึงกระแสออกไปจากเธอ?”โจวอวี่ไม่ตอบแต่ย้อนถาม “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงลงไม้ลงมือ?”ไม่รอให้ฟู่เจิงตอบ เขาก็เปิดคลิปเสียงจากโทรศัพท์มือถือ “ฟังเอาเองเถอะ”ในโทรศัพท์มีเสียงสนทนา “...แค่ดูก็รู้ว่าโคตรร่าน”“เฮ้ย นายรู้ได้ไง? นายได้กลิ่นร่านเหรอ?”“วันนั้นฉันเจาะจงสังเกตเลยนะ ก้นนั่น เอวนั่น แค่เห็นวิญญาณก็จะหลุดแล้ว...”“ต้องปล่อยเป็นหน้าที่ฉัน รับรองว่าเขาต้องมีความสุขทั้งคืนแน่...”“เธอมีลูกค้าเยอะอย่างนั้น เมื่อไรจะถึงคิวนาย?”คำพูดสัปดนหลายประโยคผ่านไป ในคลิปเสียงก็มี
รถยนต์ขับเข้าลานบ้านพัก ฟู่เจิงลงจากรถแล้วก็ยืนเงยหน้าอยู่กับที่ ห้องนอนหลักปิดไฟแล้วเข้าห้องรับแขก ฟู่เจิงเปิดไฟและเจาะจงไปดูลิ้นชัก พบว่ากุญแจสำรองของห้องนอนหลักวางอยู่เหมือนเดิมแล้วเขาเดินเข้าห้องเงียบ ๆในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ้าม่านหน้าต่างสาดตกบนหัวเตียง เห็นผมสลวยสยายปกอยู่บนหมอนราง ๆกลางเตียงมีก้อนหนึ่งนูนขึ้นมา เมื่อมองท่ามกลางความมืดกลับดูอ่อนแอที่สุดเธอขดตัว ผ้าห่มบังใบหน้าเธอครึ่งหนึ่งฟู่เจิงนั่งข้างเตียงเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เลิกมุมผ้าห่มขึ้น อาศัยแสงจันทร์เลือนรางจ้องดวงหน้านิทราของเธอเมื่อนั้นฟู่เจิงจึงพบว่าหว่างคิ้วของเธอมีรอยย่นลึกรอยหนึ่ง โคนผมชื้นแฉะ พูดพึมพำอะไรเบา ๆ เหมือนกำลังฝันร้ายจู่ ๆ เธอก็เหมือนฝันถึงภาพที่น่ากลัวมาก ๆ ลมหายใจถี่ นิ้วมือจิกผ้าปูที่นอนจนยับ ร่างกายแข็งเกร็งและสั่น หยดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมา ปากขมุบขมิบ พึมพำอะไรเบา ๆฟู่เจิงโน้มตัวลงไป ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา พูด ๆ หยุด ๆ “...ไม่ใช่ ฉันเปล่า ฉันไม่ได้...”หางตาของเธอมีหยดน้ำซึมออกมาหยดหนึ่ง อ้อนวอนพลางน้ำตากลิ้งลงมาช้า ๆ และซึมเข้าไปในหมอนฟู่เจิงเจ็บแปลบ
แต่เรื่องราวมันไม่มีคำว่า ‘ถ้า’การทอดถอนใจของคุณปู่ การดูถูกของเพื่อนร่วมงาน การปลอบของฟู่เยว่ การกอบกู้ของรุ่นพี่ สำหรับเขาในตอนนั้นคือความหนักหน่วงเขาไม่มีเวลารัก ๆ ใคร่ ๆ ได้แต่พยายามแก้ไขชดเชยปัญหาที่เกิดจากข้อมูลรั่วไหลหลังจากฉู่ซืออี๋ถูกช่วยก็มีปมในใจ พึ่งพาเขามากกว่าปกติเขาไม่พูดถึงเรื่องที่ให้ต่างฝ่ายต่างสงบใจอีกกับฉู่ซืออี๋ ที่มีมากกว่าคือความจนใจ ชดเชยและยอมไม่เคยมีวันไหนที่เจ็บจี๊ดลึก ๆ ในหัวใจเหมือนอย่างวันนี้ฟู่เจิงหยุดอยู่ตรงบันไดและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรศัพท์หาเลขาหยาง“เลขาหยาง”“ประธานฟู่มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” เลขาหยางนึกว่าฟู่เจิงลืมบอกอะไรเกี่ยวกับความร่วมมือในคืนนี้“ช่องการเงินอยากสัมภาษณ์ผมมาตลอดไม่ใช่เหรอ? คุณบอกพวกเขานะว่าผมโอเคแล้ว”“คะ?!” เลขาหยางนึกว่าตัวเองหูฝาดฟู่เจิงไม่เคยชอบให้สื่อคุ้ยแคะเรื่องส่วนตัวของเขา นอกจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่การกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะ เขาไม่เคยรับการสัมภาษณ์ใด ๆ ไม่มีแอ็กเคานต์โซเชียลมีเดีย และเปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนน้อยมาก“ประธานฟู่ คุณคิดดีแล้วเหรอคะ?” เลขาหยางรู้ดีอยู่แก่ใจ ประธานฟู่สงสารผู้อำนวยการเวิ