“เพราะฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นี่”แม่บ้านบอกเขาว่าเธอมาหาโจวอวี่ที่กองถ่ายที่แรกเขาอยากพาเธอมา แต่ฉู่ซืออี๋โทรศัพท์มาพอดีฟู่เจิงหยิกคางของเธอ บีบให้เธอหันกลับมาแล้วจูบปากเธออีกครั้งมืออีกข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามเส้นโค้งบนเรือนร่างเวินเหลียงขาอ่อนระทวย จำต้องพิงกับแผ่นอกของเขาปลายนิ้วสัมผัสกับความชื้นแฉะฟู่เจิงปล่อยริมฝีปากของเวินเหลียง โอบเธอเดินเข้าห้องน้ำ หาห้องและเดินเข้าไป “ช่วยเธอนะ”“ไม่ได้...อย่า...” เวินเหลียงหน้าแดงก่ำนี่ นี่มันจะบ้าไปแล้วกลางวันแสก ๆ อยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง...ฟู่เจิงมองออกถึงความกังวลของเธอจึงหัวเราะน้อย ๆ “เธอก็อย่าส่งเสียงสิ”ฟู่เจิงกดเธอกับประตู ลมหายใจร้อนผ่าวรดซอกคอของเธอ จากนั้นก็ล้วงนิ้วเข้าไป“แต่...แต่ยังมีคนที่ห้องวีไอพี อื้อ...รอเรา...”“ให้พวกเขารอไป”เวินเหลียงเงียบ หลับตาลง กัดฟันแน่น พยายามสะกดเสียงเอาไว้ไม่รู้ว่าเพราะกำลังตั้งครรภ์หรืออย่างไร ช่วงนี้ทักษะฟู่เจิงดีขึ้นเรื่อย ๆ เธอพบว่าตัวเองมีความต้องการมากขึ้นทุกทีนี่ทำให้เธอเริ่มสับสนแล้วเมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นคนอย่างนี้นี่!“กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?”ฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงค
พอฟู่เจิงได้ยินก็ชะงักไปในสมองปรากฏภาพที่เวินเหลียงกรอบตาแดงไต่ถามเขาเธอพูดว่า : คุณรักซึ้งตรึงใจกับเขาจริง ๆ ขนาดวันครบรอบวันแต่งงานของเราก็ยังเอามาใช้รำลึกถึงเขาเธอพูดว่า : ในเมื่อคุณชอบเขาขนาดนั้น ทำไมไม่รอเขาอยู่อย่างนั้นล่ะ? ทำไมต้องเลือกแต่งงานกับฉัน? ฉันไม่ใช่ว่าต้องแต่งกับคุณให้ได้เสียเมื่อไร ทำไมคุณต้องเหยียบย่ำฉันด้วย?“วันนี้ผมมีธุระ จะก่อนหรือหลังวันนั้น คุณเลือกเอาสักวัน” ฟู่เจิงเอามือคลายคอเสื้อพูดเรียบฉู่ซืออี๋หัวใจหล่นตุบวันนี้มีธุระ?ธุระอะไร? ไม่ต้องบอกก็รู้เธอฉีกมุมปากยิ้ม คล้องแขนอ้อนเขา ทำเป็นถามแบบไม่รู้ “ธุระอะไรเหรอคะ? จะเลื่อนไปไม่ได้เหรอ? คุณไม่ได้ฉลองวันเกิดกับฉันนานมากแล้วนะ”“ขอโทษด้วย”“อาเจิง นี่เป็นวันเกิดแรกหลังจากฉันกลับมานะ กว่าจะได้อยู่กับคุณ...”“อย่าดื้อนะ” ฟู่เจิงกล่าวเสียงหนักฉู่ซืออี๋ยิ้มไม่ออกแล้วหลังจากขึ้นรถ ใบหน้าของเธอขมึงทึงถึงที่สุดลางสังหรณ์ของเธอกลายเป็นความจริงให้เห็นแล้วหลายครั้งตอนนี้เธอใกล้จะไม่มีที่ยืนในหัวใจของฟู่เจิงแล้วเขาเอนเอียงไปทางเวินเหลียงครั้งแล้วครั้งเล่าเขาหลงรักเวินเหลียงแล้วจริง ๆ?ไม่ ไม
เป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีแดงแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงขนาดประมาณหนึ่งคืบ ขนาดประมาณนี้น่าจะเป็นกำไลมั้ง“งั้นฉันจะเปิดแล้วนะ” เวินเหลียงเปิดกล่องออกอย่างระมัดระวังกำไลหยกเฝ่ยชุ่ยใสเล่นแสงวงหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเวินเหลียงในตอนที่เห็นมัน เวินเหลียงอึ้งไปไม่ใช่อะไรอื่นกำไลวงนี้คล้ายกับดวงใจแห่งมหาสมุทรวงนั้นในงานประมูลคราวก่อนมากแต่นี่ไม่ใช่ดวงใจแห่งมหาสมุทร ฟู่เจิงจะไม่เอากำไลจากมือของฉู่ซืออี๋มาให้เธอเห็นเวินเหลียงอึ้ง ฟู่เจิงจึงอธิบาย “คราวก่อนเธอบอกว่าหยกชิ้นของดวงใจแห่งมหาสมุทรใหญ่มาก ทำกำไลได้มากกว่าหนึ่งวง ฉันก็เลยให้คนจับตาดู เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่เป็นวงที่สองที่ซื้อมาจากเจ้าของ”“ขอบคุณในความตั้งใจค่ะ” เวินเหลียงปิดฝากล่องแล้ววางไว้อีกทาง“ไม่ลองดูหน่อยเหรอ?”“กลับไปค่อยลองแล้วกัน” เวินเหลียงพูดฟู่เจิงอาจต้องใช้เงินมากเพื่อซื้อกำไลวงนี้ แต่เวินเหลียงกลับไม่รู้สึกดีใจสักเท่าไรฟู่เจิงจับผิดประเด็นตั้งแต่แรกแล้วเธอไม่ได้อยากได้กำไลที่เหมือนกับดวงใจแห่งมหาสมุทร ไม่อยากได้เลยสักนิดถ้าดวงใจแห่งมหาสมุทรไม่ใช่ของเธอ เธอก็ไม่อยากได้แล้วแต่นี่อาจเป็นชะตาของเธอ ไม่ว่าอ
ลมหายใจเวินเหลียงสะดุดเธอนึกถึงถ้อยคำที่ฉู่ซืออี๋พูดในวันนั้น ฟู่เจิงจะให้เธอสมปรารถนาทุกการร้องขอ แค่เธอโทรกริ๊งเดียวก็เรียกฟู่เจิงไปได้แล้วเวินเหลียงกดวางสายตรง ๆ แล้ววางโทรศัพท์มือถือไม่ถึงสองวินาทีก็โทรศัพท์มาอีกครั้ง เวินเหลียงกดวางสายอีกแต่เดี๋ยวฉู่ซืออี๋คงจะดึงดันโทรมาอีกเวินเหลียงจึงลบประวัติการโทรสองอันนี้และปิดเครื่องของฟู่เจิงไปเลย ก่อนจะวางกลับที่เดิมฟู่เจิงผลักประตูเข้ามาจากข้างนอก นั่งกินอาหารอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเวินเหลียงต่อ ไม่พบสิ่งผิดปกติผ่านไปพักหนึ่ง ฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงไม่ค่อยแตะอาหารบนโต๊ะ “อิ่มแล้วเหรอ? จะลองชิมของหวานร้านนี้หน่อยไหม?”“ได้ค่ะ” เวินเหลียงเรียกพนักงานเข้ามาอีก เปิดดูเมนูและเลือกของหวานสองอย่างพนักงานถือเมนูกำลังจะไปจู่ ๆ ห้องวีไอพีก็ถูกคนผลักเข้ามาอย่างแรงเวินเหลียงกับฟู่เจิงต่างเงยหน้า จึงพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าห้องไม่ใช่พนักงาน แต่เป็นลู่ฉางคง“ฉางคง นายมาได้ไง? นั่งกินหน่อยไหม?” ฟู่เจิงถาม“กิน? ยังจะกินอะไรอีก?!” ลู่ฉางคงเดินมาและพูดด้วยความโกรธ “นายก็ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์จริงนะ ยังจะกินดินเนอร์ใต้แสงเทียนอีก นายรู้ไหมว่าข้า
เธอจะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆซืออี๋ ซืออี๋ ในใจของเขาอะไรก็สู้ฉู่ซืออี๋ไม่ได้เธอไม่อยากอดทนต่อไปแล้ว เธออิจฉา อิจฉาจนแทบคลั่งแล้วให้เธอเป็นผู้หญิงเลวใจดำอำมหิตสักครั้งเถอะเธอแค่อยากให้วันนี้ฟู่เจิงเป็นของเธอโดยสมบูรณ์ฟู่เจิงหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองเธอ “ฉันรู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร แต่ซืออี๋บาดเจ็บสาหัส ฉันต้องไปเยี่ยม” แล้วเขาก็เดินออกไปข้างนอก“ฟู่เจิง! คุณจะไปจริงเหรอ?”ฟู่เจิงไม่หยุด“ได้ ฟู่เจิง ฉันขอบอกเลยนะ ถ้าวันนี้คุณเดินออกจากประตูนี้ไป พวกเราจบกัน!” เวินเหลียงจ้องเงาหลังของเขาด้วยสายตาเดือดดาล พูดออกมาแบบไม่ยั้งคิดฝีเท้าฟู่เจิงชะงัก แต่แล้วก็สาวเท้าเดินออกไปภายใต้การจดจ้องของเวินเหลียงเห็นเงาร่างเขาหายไปจากตรงหน้า เวินเหลียงหมดเรี่ยวแรง ยันโต๊ะยืนด้วยความลำบาก ในดวงตาคือความหมดอาลัยตายอยากสุดท้ายเขาก็ไปเธอใช้อนาคตระหว่างพวกเราขู่ แต่เขาก็ยังไปอยู่ดีที่แท้ความปรองดองในหลายวันนี้ก็เป็นแค่ภาพลวงตาระหว่างเธอกับฉู่ซืออี๋ เขายังคงเลือกฉู่ซืออี๋อย่างไม่ลังเลสักนิด“ไปเถอะ ไม่ต้องแกล้งทำแล้ว มือที่สามทำสำออยอะไร? ซืออี๋นอนอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่แน่ะ”“เพียะ!” เสียงหนึ่ง
ในหัวของเวินเหลียงดังวิ้ง ๆ กว่าครึ่งค่อนวันจึงตอบสนอง เธอเจอกับขโมยแล้วความเจ็บปวดส่งมาจากท้องน้อย ตอนนี้เธอไม่กล้าขยับลูก ลูกของเธอจะเป็นอะไรไม่ได้!เธอกุมท้องน้อยอยู่กับพื้นนานมาก รอจนความเจ็บปวดค่อย ๆ ทุเลาลงจึงยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก ยืนอยู่กับที่ทำอะไรไม่ถูกเธอต้องไล่ตามไปหรือว่าต้องเรียกคน?ขโมยวิ่งหายไปไม่เห็นเงาแล้วทันใดนั้นเธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เดินไปข้างหน้าใจลอย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ฉับพลันว่าโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงินอยู่ในกระเป๋าหมด ตอนนี้เธอไม่มีเงินสักแดง เหมือน...จะกลับบ้านไม่ได้แล้วเวินเหลียงยืนอยู่กับที่ค่อนวันจึงนึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าสถานีตำรวจอยู่เธอรั้งคนที่เดินผ่านมาแล้วถาม “คุณลุงคะ ไม่ทราบว่าสถานีตำรวจแถวนี้ไปทางไหนคะ?”“โห ไกลเชียวละ หนูเดินตามถนนเส้นนี้ไปนะ ข้ามทางแยกสามแยก ตรงไปอีกแล้วเลี้ยว...เฮ้อ ถึงยังไงหนูก็ต้องเดินไปข้างหน้าก่อน เดินไปถามไปแล้วกัน”“อ้อ ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เวินเหลียงเดินไปข้างหน้าต่อเวินเหลียงเดินไปข้างหน้าตามการชี้ทาง เดินประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเห็นป้ายสถานีตำรวจในที่สุดเวินเหลียงเข้าสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ
“ผมได้ยินว่าเขาถูกไฟลวก ลวกเป็นบริเวณกว้างไหมครับ?”“หมอบอกว่ากินพื้นที่ยี่สิบสามเปอร์เซ็นต์ เป็นบาดแผลระดับกลาง ตอนที่ช่วยออกมามีบางที่ถูกไฟลวกจนเนื้อเละไปหมด ซืออี๋เจ็บจนสลบไปยังเหงื่อแตกพลั่ก ๆ อยู่เลย ฉันไม่กล้ามองเลยค่ะ”พอได้ยินการบรรยายของหวังเหยียน ฟู่เจิงก็จินตนาการว่าซืออี๋ในตอนนั้นต้องทรมานขนาดไหนเขานั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของฉู่ซืออี๋ มองใบหน้าที่ไม่ได้สติ ระหว่างคิ้วเผยความกังวล“อีกอย่าง หมอบอกว่าที่น่ากังวลที่สุดก็คือสภาพจิตใจของซืออี๋ เขาได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจก่อนจะหมดสติ ไม่แน่ว่าอาการจะหนักกว่าเดิม หลังจากซืออี๋กลับมาก็เจอแต่เรื่องร้าย ๆ ตลอด ไม่รู้ว่ามีใครดวงชงกับใครหรือเปล่า”“ผมจะหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาเขา”“ประธานฟู่ ฉันอยากถามหน่อย ทำไมมือถือของคุณปิดเครื่องไปล่ะคะ?”ฟู่เจิงเงยหน้ามองอีกฝ่ายหวังเหยียนยิ้ม “ประธานฟู่ ไม่ใช่อะไร แค่ว่าประวัติการโทรในมือถือของซืออี๋ขึ้นว่ามีสองสายที่ไม่ได้รับ เวลาที่โทรก็คือตอนที่เขาเพิ่งถูกขังอยู่ในห้องได้ไม่นาน เขาคงกำลังลนลานคิดอะไรไม่ออก คิดแต่ว่าคุณช่วยเขาได้ ถ้าตอนนั้นคุณรับสายแล้วโทรหากองถ่าย ก็จะช่วยซืออี๋ไ
“ค่ะ” หวังเหยียนรู้ เธอเกลี้ยกล่อมฟู่เจิงสำเร็จแล้วฟู่เจิงออกจากห้องพักผู้ป่วย ลมเย็นปะทะใบหน้าเขาเดินไปถึงหน้าบันไดพรูลมเฮือกหนึ่งช้า ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือโทรไปหาเวินเหลียงคืนนี้เขามีความจำเป็นต้องอยู่ซืออี๋โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเขาแต่ถูกเวินเหลียงตัดสาย เขาโทษเวินเหลียงได้เหรอ?ไม่ได้ความตั้งใจของเธอเรียบง่ายมาก แค่ไม่อยากให้เขาไปอยู่เป็นเพื่อนฉู่ซืออี๋ในคืนนี้เธอไม่รู้ว่าซืออี๋มีเรื่องด่วนแล้วเขาโทษซืออี๋ได้เหรอ?ไม่ได้การที่โทรศัพท์หาเขาในช่วงสำคัญ เป็นเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจของเธอที่มีต่อเขาได้แต่โทษตัวเองเขาไม่สามารถปัดความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ได้โทรศัพท์ของเวินเหลียงไม่มีคนรับสาย โทรไปอีกก็ปิดเครื่องฟู่เจิงคิดว่าเวินเหลียงโกรธเขาแล้ว ไม่อยากรับสายของเขาคิดแล้วจึงส่งข้อความไปหาเวินเหลียง“ซืออี๋บาดเจ็บสาหัส ที่เขาโทรหาฉันเพราะต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่ายังไงฉันก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ คืนนี้ฉันต้องอยู่ดูแลเขา เรื่องอื่นเอาไว้พรุ่งนี้ฉันกลับไปแล้วค่อยคุยกัน เธออยู่บ้านรอฉันนะ”ข้อความส่งไปแล้วฟู่เจิงยืนอยู่ข้างนอกพักหนึ่งก่อนจะกลับห้องพักผ