ในหัวของเวินเหลียงดังวิ้ง ๆ กว่าครึ่งค่อนวันจึงตอบสนอง เธอเจอกับขโมยแล้วความเจ็บปวดส่งมาจากท้องน้อย ตอนนี้เธอไม่กล้าขยับลูก ลูกของเธอจะเป็นอะไรไม่ได้!เธอกุมท้องน้อยอยู่กับพื้นนานมาก รอจนความเจ็บปวดค่อย ๆ ทุเลาลงจึงยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก ยืนอยู่กับที่ทำอะไรไม่ถูกเธอต้องไล่ตามไปหรือว่าต้องเรียกคน?ขโมยวิ่งหายไปไม่เห็นเงาแล้วทันใดนั้นเธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เดินไปข้างหน้าใจลอย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ฉับพลันว่าโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงินอยู่ในกระเป๋าหมด ตอนนี้เธอไม่มีเงินสักแดง เหมือน...จะกลับบ้านไม่ได้แล้วเวินเหลียงยืนอยู่กับที่ค่อนวันจึงนึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าสถานีตำรวจอยู่เธอรั้งคนที่เดินผ่านมาแล้วถาม “คุณลุงคะ ไม่ทราบว่าสถานีตำรวจแถวนี้ไปทางไหนคะ?”“โห ไกลเชียวละ หนูเดินตามถนนเส้นนี้ไปนะ ข้ามทางแยกสามแยก ตรงไปอีกแล้วเลี้ยว...เฮ้อ ถึงยังไงหนูก็ต้องเดินไปข้างหน้าก่อน เดินไปถามไปแล้วกัน”“อ้อ ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เวินเหลียงเดินไปข้างหน้าต่อเวินเหลียงเดินไปข้างหน้าตามการชี้ทาง เดินประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเห็นป้ายสถานีตำรวจในที่สุดเวินเหลียงเข้าสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ
“ผมได้ยินว่าเขาถูกไฟลวก ลวกเป็นบริเวณกว้างไหมครับ?”“หมอบอกว่ากินพื้นที่ยี่สิบสามเปอร์เซ็นต์ เป็นบาดแผลระดับกลาง ตอนที่ช่วยออกมามีบางที่ถูกไฟลวกจนเนื้อเละไปหมด ซืออี๋เจ็บจนสลบไปยังเหงื่อแตกพลั่ก ๆ อยู่เลย ฉันไม่กล้ามองเลยค่ะ”พอได้ยินการบรรยายของหวังเหยียน ฟู่เจิงก็จินตนาการว่าซืออี๋ในตอนนั้นต้องทรมานขนาดไหนเขานั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของฉู่ซืออี๋ มองใบหน้าที่ไม่ได้สติ ระหว่างคิ้วเผยความกังวล“อีกอย่าง หมอบอกว่าที่น่ากังวลที่สุดก็คือสภาพจิตใจของซืออี๋ เขาได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจก่อนจะหมดสติ ไม่แน่ว่าอาการจะหนักกว่าเดิม หลังจากซืออี๋กลับมาก็เจอแต่เรื่องร้าย ๆ ตลอด ไม่รู้ว่ามีใครดวงชงกับใครหรือเปล่า”“ผมจะหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาเขา”“ประธานฟู่ ฉันอยากถามหน่อย ทำไมมือถือของคุณปิดเครื่องไปล่ะคะ?”ฟู่เจิงเงยหน้ามองอีกฝ่ายหวังเหยียนยิ้ม “ประธานฟู่ ไม่ใช่อะไร แค่ว่าประวัติการโทรในมือถือของซืออี๋ขึ้นว่ามีสองสายที่ไม่ได้รับ เวลาที่โทรก็คือตอนที่เขาเพิ่งถูกขังอยู่ในห้องได้ไม่นาน เขาคงกำลังลนลานคิดอะไรไม่ออก คิดแต่ว่าคุณช่วยเขาได้ ถ้าตอนนั้นคุณรับสายแล้วโทรหากองถ่าย ก็จะช่วยซืออี๋ไ
“ค่ะ” หวังเหยียนรู้ เธอเกลี้ยกล่อมฟู่เจิงสำเร็จแล้วฟู่เจิงออกจากห้องพักผู้ป่วย ลมเย็นปะทะใบหน้าเขาเดินไปถึงหน้าบันไดพรูลมเฮือกหนึ่งช้า ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือโทรไปหาเวินเหลียงคืนนี้เขามีความจำเป็นต้องอยู่ซืออี๋โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเขาแต่ถูกเวินเหลียงตัดสาย เขาโทษเวินเหลียงได้เหรอ?ไม่ได้ความตั้งใจของเธอเรียบง่ายมาก แค่ไม่อยากให้เขาไปอยู่เป็นเพื่อนฉู่ซืออี๋ในคืนนี้เธอไม่รู้ว่าซืออี๋มีเรื่องด่วนแล้วเขาโทษซืออี๋ได้เหรอ?ไม่ได้การที่โทรศัพท์หาเขาในช่วงสำคัญ เป็นเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจของเธอที่มีต่อเขาได้แต่โทษตัวเองเขาไม่สามารถปัดความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ได้โทรศัพท์ของเวินเหลียงไม่มีคนรับสาย โทรไปอีกก็ปิดเครื่องฟู่เจิงคิดว่าเวินเหลียงโกรธเขาแล้ว ไม่อยากรับสายของเขาคิดแล้วจึงส่งข้อความไปหาเวินเหลียง“ซืออี๋บาดเจ็บสาหัส ที่เขาโทรหาฉันเพราะต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่ายังไงฉันก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ คืนนี้ฉันต้องอยู่ดูแลเขา เรื่องอื่นเอาไว้พรุ่งนี้ฉันกลับไปแล้วค่อยคุยกัน เธออยู่บ้านรอฉันนะ”ข้อความส่งไปแล้วฟู่เจิงยืนอยู่ข้างนอกพักหนึ่งก่อนจะกลับห้องพักผ
เขาเดินอยู่ข้างนอกผ่านไปพักหนึ่ง เขากะประมาณว่าคนของกองถ่ายน่าจะกลับไปแล้ว จึงหมุนตัวจะกลับไปขากลับ เขาผ่านมุมเลี้ยวหนึ่ง ได้ยินคนจากทางนักลงทุนคนนั้นกำลังคุยกับโจวอวี่คนจากทางนักลงทุนพูด “ตอนนั้นคุณก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ? คงไม่หนักหนาขนาดนั้นมั้ง?”โจวอวี่นึกภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น “ตอนนั้นทุกคนร้อนใจมาก แต่ก็ช่วยได้ทันเวลา ไฟไม่ได้ลุกลามใหญ่โต ผมจำได้ว่าตอนที่ช่วยออกมาได้มีแต่ขาซ้ายที่มีรอยถูกลวก ที่อื่นไม่เห็น แต่ผมอาจดูผิดไปก็ได้”“คุณไม่น่าจะดูผิด ผมได้ยินเหล่าเม่าก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน เสื้อผ้าตรงขาซ้ายยังเรียบร้อยไม่เสียหาย จะหนักหนาขนาดไหนกันเชียว? วัยรุ่นสมัยนี้ชอบทำเรื่องแบบนี้ เวอร์ซะไม่มี ถ้าเอาประวัติผู้ป่วยของฉู่ซืออี๋เผยแพร่ออกไป แฟนคลับได้ถล่มกองถ่ายเละแน่ ส่วนเขาก็รับบทผู้เคราะห์ร้าย ตอนนั้นก็บอกเขาแล้วว่าให้ระวัง...”คนจากทางนักลงทุนคิดว่าที่ฉู่ซืออี๋กับหวังเหยียนพูดเกินเลยเรื่องอาการบาดเจ็บ เพราะอยากได้เงินสักก้อนอย่างเช่นในสงครามแย่งชิงความโดดเด่น มีแฟนคลับเรียกร้องในแอ็กเคานต์ทางการแล้วว่า ฉู่ซืออี๋บาดเจ็บจากการถ่ายทำ กองถ่ายต้องชดเชยให้เธอกองถ่ายจนปัญญามา
ลู่ฉางคงรีบพูด “อาเจิง พี่เจิง นายอย่าพูดแบบนี้สิ ฉันก็ต้องเป็นเพื่อนนายอยู่แล้ว!”“งั้นนายก็บอกความจริงฉันมา”“ก่อนจะบอก ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากถามนายหน่อย”“ว่ามา”“เมื่อวานหลังจากนายไปแล้ว เวินเหลียงบอกว่าเขาแต่งงานจดทะเบียนกับนายแล้ว พวกนายเป็นผัวเมียกัน จริงเหรอ?”“ใช่” ฟู่เจิงตอบเสียงหนักลู่ฉางคงอึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง “พี่ชาย นี่มันยังไงกัน? ตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ?”“สามปีก่อน”“สะ..สามปี?” ลู่ฉางคงไม่อยากจะเชื่อ หรือก็หมายถึงพวกเขาแต่งงานกันสามปีแล้วนี่ นี่เป็นไปได้ยังไง?“งั้นก็หมายถึง อาเจิง ตอนนี้นาย...กำลังนอกใจ...”“ตอบคำถามฉันมาก่อน เมื่อวานใครให้นายมาหาฉัน ใครบอกนายว่าซืออี๋บาดเจ็บสาหัส?”“ฉันจะบอก นายอย่าเอาฉันไปขายนะ ซืออี๋ให้ฉันไปหานาย เขากลัวว่านายจะไม่มาก็เลยให้ฉันพูดเวอร์ ๆ หน่อย”“ซืออี๋?”“ใช่”“เมื่อวานนายเจอเขาหลังบาดเจ็บเหรอ?”“เปล่า เขาโทรหาฉัน บอกว่ามือถือนายปิดเครื่อง พี่ชาย เรื่องนี้นายจะโทษฉันไม่ได้นะ ซืออี๋บอกว่านายอยู่กับเวินเหลียง กลัวว่านายจะทิ้งเขา ร้องห่มร้องไห้ขอให้ฉันช่วย ฉันจะทำไงได้?”“นายรู้หรือเปล่าว่าเมื่อว
“หรือก็หมายถึง คุณฉู่ไม่ได้หมดสติ?”“ใช่ เมื่อวานตอนที่ส่งคุณฉู่มาถึงโรงพยาบาลยังมีสติดีอยู่”“โอเค ผมรู้แล้ว ขอบคุณครับ”ฟู่เจิงลุกขึ้นยืนแล้วออกจากห้องทำงานเขานึกถึงเมื่อวานตอนที่มาถึงโรงพยาบาลเป็นเวลาสามทุ่มกว่าจะสี่ทุ่มแล้ว เวลาที่ฉู่ซืออี๋ฟื้นคือตอนเช้า หนึ่งคืนพอดี ปกปิดมิดชิดฟู่เจิงยืนอยู่ตรงทางเดินนอกห้องพักผู้ป่วย ทอดสายตามองท้องฟ้าไกล ๆถ้าไม่ใช่ว่าเขาถามรู้มาเอง เขาจะไม่เชื่อเลยว่าฉู่ซืออี๋จะร่วมกับผู้จัดการส่วนตัวของเธอมาหลอกเขาทำไมพวกเธอต้องทำอย่างนี้?เขาพอเดาได้คร่าว ๆ แต่เขาอยากฟังฉู่ซืออี๋อธิบายฟู่เจิงเดินเข้าห้องพักผู้ป่วยฉู่ซืออี๋ยิ้มกับเขา “อาเจิง คุณกลับมาแล้วเหรอ ความจริงคุณไม่ต้องออกไปนานอย่างนั้นก็ได้ คนของกองถ่ายไม่ได้อยู่นานสักหน่อย”สีหน้าฟู่เจิงราบเรียบ “ออกไปเดินหน่อย เป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้คุณยังเจ็บไหม?”“เจ็บ เจ็บมาก เพราะงั้นต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันนะ ถ้าคุณอยู่เป็นเพื่อนฉัน ฉันจะไม่เจ็บ”ถ้าเขาไม่รู้ความจริงต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอแน่ตอนนี้รู้ว่าเธอกำลังเล่นละครตบตา หากมองในมุมของคนนอกจะรู้ว่ามันจอมปลอมอยู่นิด ๆทักษะการแสดงยังไม่ดี ต้องฝึ
“ผมคิดว่าที่นี่อาจไม่เหมาะกับคุณ คุณเพิ่งกลับมาได้ไม่นานก็ป่วยหลายครั้ง ผมคิดว่าสภาพแวดล้อมของเมืองนอกน่าจะเหมาะกับคุณมากกว่า”“ไม่นะ...ที่ฉันกลับมาก็เพื่อคุณ อาเจิง ไม่เอาอย่างนี้”“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นอะไรมาก งั้นผมขอตัวกลับก่อน”ฉู่ซืออี๋ยังกอดเขา ไม่ยอมให้เขาไปเธอเงยหน้า สบกับสายตาของฟู่เจิง ทันใดนั้นร่างกายสะท้าน ปล่อยมือออกแบบไม่รู้ตัวฟู่เจิงหมุนตัวออกจากห้องพักผู้ป่วยเขาขับรถกลับบริษัท ตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของเวินเหลียงห้องทำงานของเวินเหลียงไม่มีคน คอมพิวเตอร์ปิดอยู่เขาเรียกพนักงานของเอ็มคิวมาคนหนึ่งแล้วสอบถาม “ผู้อำนวยการเวินของพวกคุณล่ะ?”“ไม่ทราบค่ะ วันนี้ผู้อำนวยการเวินไม่ได้มาทำงาน เหมือนว่าจะขอลาแล้ว”“โอเค ผมรู้แล้ว”เขาขับรถกลับบ้านทันที“คุณผู้ชายกลับมาแล้วเหรอคะ” แม่บ้านทักเขาย่างเท้าขึ้นชั้นบนพร้อมถาม “คุณผู้หญิงล่ะ?”“คุณผู้หญิงไปดูงานแล้วค่ะ”ฟู่เจิงชะงักฝีเท้า “ไปดูงาน?”“ค่ะ ไปดูงาน ไปกับผู้ช่วย”ฟู่เจิงนิ่งเงียบ เดินไปนั่งตรงโซฟาและพิงพนักเก้าอี้ ยื่นมือนวดหว่างคิ้วเขารู้ว่าวันนี้เวินเหลียงไม่มีโปรแกรมดูงานแน่นอน
เธอไม่ได้ฝันไป ประธานฟู่โทรศัพท์หาเธอ ประธานฟู่ถามโรงแรมของพวกเธอกับห้องของผู้อำนวยการเวินผู้ช่วยนึกถึงครั้งหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ที่โทรศัพท์หาผู้อำนวยการเวิน โทรศัพท์กี่ครั้ง ๆ ก็ไม่มีคนรับ สุดท้ายมีคนรับ แต่ประธานฟู่เป็นคนรับตอนนั้นเธอก็คิดแล้วว่าประธานฟู่อาจคบหากับผู้อำนวยการเวินกอปรกับข่าวลือในบริษัทระยะนี้และการกระทำของประธานฟู่ในวันนี้ผู้ช่วยคิดว่ามันเป็นไปได้มากเล่นโทรศัพท์มือถือพักหนึ่ง ขณะกำลังจะไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก เธอมองหน้าจอทีหนึ่ง ปรากฏว่าคนที่โทรคือประธานฟู่อีกแล้วเธอรับสายอย่างเร็วรี่ “ฮัลโหล ประธานฟู่”“ผมถึงโรงแรมของพวกคุณแล้ว คุณออกมาหน่อย”“หา? ค่ะ ๆ ประธานฟู่ คุณถึงหน้าโรงแรมแล้วเหรอ ฉันจะลงไปรับคุณเดี๋ยวนี้...” ว่าแล้วผู้ช่วยก็หยิบคีย์การ์ดและออกห้องไปทันทีใครจะรู้ พอเข้าออกมาก็เห็นฟู่เจิงยืนอยู่หน้าห้องของเวินเหลียงผู้ช่วยงงเป็นไก่ตาแตก ในเมื่อประธานฟู่มาถึงแล้ว ทำไมยังเรียกให้เธอออกมาล่ะ?“ประธานฟู่...”ในตอนที่ผู้ช่วยกำลังสับสน ฟู่เจิงชี้ที่ประตูห้องของเวินเหลียงแล้วพูดว่า “คุณเคาะประตู อย่าพูดถึงผม”ผู้ช่วยกระจ่าง