เวินเหลียงสบตากับฟู่เจิงทีหนึ่ง เริ่มกระบวนการสนเข็มฟู่เจิงกัดเข็ม หันรูและขยับไปทางด้ายของเวินเหลียง ส่วนเวินเหลียงก็ให้ความร่วมมือหน้าผากของทั้งสองแทบจะติดกันแล้ว ปลายจมูกแตะกัน บรรยากาศละมุนละไมช่างภาพรู้งานมาก จงใจซูมใบหน้าของทั้งสองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ริมฝีปากของทั้งสองเฉียดกันไปตอนนี้เอง ผู้กำกับไม่ลืมที่จะส่องกล้องไปทางฉู่ซืออี๋คอมเมนต์เดือดพล่านแล้วเกมนี้มีความยากประมาณหนึ่งเกือบจะสำเร็จหลายที แต่ดันคลาดไปนิดเดียวเอง“แม่เอ๊ย ยัยนี่จงใจแกว่งใช่ไหม?”“ขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ได้กิ๊กกันฉันไม่เชื่อหรอก”“ความจริงนี่ก็ไม่มีอะไรสักหน่อย แค่เกมไม่ใช่เหรอ?”หน้าจอใหญ่เริ่มนับเวลาถอยหลังสุดท้ายก็สนเข็มสำเร็จในสิบกว่าวินาทีสุดท้ายชนะเกม“ยินดีด้วยค่ะ ประธานฟู่กับผู้อำนวยการเวินไม่ต้องถูกลงโทษ เฮ้อ น่าเสียดายจัง ลำดับต่อไปเชิญประธานฟู่กลับที่นั่งสักครู่นะคะ พวกเราจะสุ่มแขกรับเชิญท่านที่สองมาร่วมเล่นเกมต่อ”จอภาพใหญ่เริ่มหมุน และสุ่มได้ฉู่ซืออี๋ตามความคาดหมาย“ต้องล็อกเอาไว้แล้วแน่เลย”“รู้จักวางแผนจริง ๆ”ฉู่ซืออี๋ขึ้นเวทีท่ามกลางสายตาผู้คนกล้องทำกรอบให้ฉู่ซืออี๋กั
“เฮ้ย นี่จะสร้างเรื่องเก่งเกินไปแล้วมั้ง?”กล้องจับที่ใบหน้าของฟู่เจิง สีหน้าราบเรียบ แววตาลุ่มลึก คาดเดาอารมณ์ไม่ออกเขาเดินขึ้นเวทีภายใต้การจับตามองของทุกคนและยืนอยู่ข้างฉู่ซืออี๋ถึงฉู่ซืออี๋จะใส่รองเท้าส้นสูง แต่ความสูงของทั้งสองยังห่างกันหนึ่งคืบสื่อถ่ายภาพพวกเขารัว ๆผู้กำกับให้กล้องจับอยู่ที่ตัวพวกเขาตลอด พร้อมตัดภาพมาที่เวินเหลียงล่างเวทีเป็นครั้งคราวพิธีกรยิ้มตาหยี “ตอนนี้ดิฉันจะถามคำถามคุณฉู่แทนเพื่อน ๆ ทุกคนหน่อยนะคะ เมื่อกี้คุณบอกว่าเจอกับผู้อำนวยการเวินครั้งแรกในตอนผู้อำนวยการเวินอายุสิบหก ไม่ทราบว่าพวกคุณเจอกันครั้งแรกที่ไหนคะ?”คำถามนี้ผู้กำกับเป็นคนบอกกับพิธีกรผ่านหูฟังฉู่ซืออี๋เม้มริมฝีปากแล้วมองฟู่เจิงที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง“ในเมื่อคุณฉู่ไม่อยากตอบก็เลือกที่จะไม่ตอบได้ค่ะ แต่ดิฉันว่าทุกคนน่าจะเข้าใจกันแล้ว เพราะดิฉันก็เข้าใจแล้ว แล้วแฟนคลับทางบ้านล่ะคะ พวกคุณเข้าใจหรือยัง?”คอมเมนต์บอกว่าเข้าใจขึ้นเต็มหน้าจอ“คำถามต่อไปจะถามประธานฟู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักกับคุณฉู่เมื่อไรคะ?”ฟู่เจิงชะงักแพล็บหนึ่งแล้วตอบ “มหาลัยครับ”พิธีกร “อ้อ” คำหนึ่งด้วยความหมายล
สัมภาษณ์ที่ใช้อีคิวดึงดูดแฟนคลับกลุ่มหนึ่งเวินเหลียงไม่มีแพลนว่าจะสัมภาษณ์ต่อ จึงจัดเก็บงานตอนท้ายกับสตาฟมีนักข่าวและช่างภาพของสื่อมาคุยกับเวินเหลียง อยากสัมภาษณ์เธอ แต่ถูกเวินเหลียงปฏิเสธนักข่าวไม่ตื้อ เพราะได้ประโยชน์จากงานแถลงข่าวที่ว่านี้มากแล้วกระแสของเอ็มคิวพุ่งทะยาน ดัชนีการค้นหาในเฟซบุ๊ก กูเกิลเพิ่งขึ้นพรวดพราด หลังจบงานยังคงติดการค้นหายอดฮิตทั้งวันเก็บงานเสร็จ เวินเหลียงให้สตาฟเลิกงานก่อนเวลาจนถึงวันนี้ การประชาสัมพันธ์ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ต่อไปคือวางผลิตภัณฑ์เข้าตลาด ยังต้องระมัดระวังอยู่เวินเหลียงออกมาจากสตูดิโอและได้รับข้อความไลน์จากฟู่เจิง “ฉันรอเธอที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน”พอเห็นข้อความนี้แล้วเวินเหลียงก็เลิกคิ้วเมื่อกี้ตอนเก็บงานเธอไม่เห็นฟู่เจิง นึกว่าเขาไปกับฉู่ซืออี๋แล้วคนอื่นอาจมองไม่ออก แต่เธอกลับมองออก ตอนที่ฟู่เจิงอยู่บนเวทีเขาหน้าตึงแล้วในบรรดาลูกผู้รากมากดี ฟู่เจิงจัดว่าค่อนข้างเก็บตัวถึงเขาจะมีแฟนคลับนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สมัครเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงชาวเน็ตจะด่าว่าเขานอกใจก็ปล่อยให้พวกเขาด่า เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องส่วนตัวกับชาวเน็ตแต่แผนงานแถ
หรือว่าโรคที่ว่าของฉู่ซืออี๋จะเกิดจากเรื่องนี้?“มันผ่านไปไม่ได้ ไม่ได้”ฉู่ซืออี๋ร้องไห้โฮ “พอฉันหลับตาลงก็จะนึกถึงภาพในตอนนั้น ฉันลืมไม่ลง ฉันตะโกนเรียกชื่อคุณ หวังว่าคุณจะมาช่วยฉัน...”ฟู่เจิงเงียบเวินเหลียงยืนอยู่ตรงมุม ไม่ได้ออกไปข้างนอกมีเสียง ‘ปัง’ เสียงร้องไห้ถูกคั่นด้วยประตูรถเวินเหลียงเป่าลมกับมือทั้งสองที่แข็งไปเล็กน้อย เบี่ยงตัวมองข้างนอก คาเยนน์สีดำออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดินแล้วเวินเหลียงมองหน้าจอโทรศัพท์ ถอนหายใจเบา ๆ มีความรู้สึกว่าเรื่องจบลงแล้วเธอรู้แต่แรกแล้วว่าฟู่เจิงต้องยอมฉู่ซืออี๋เธอไม่คาดหวังกับฟู่เจิงแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกผิดหวัง กลับมีความหดหู่และเศร้าหมองเล็กน้อยมีความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างที่คิดเธอรักเขา กลับไม่กล้าคาดหวังกับเขาเวินเหลียงกลับเข้าลิฟต์ไปชั้นหนึ่งอีกครั้ง แล้วจึงออกไปโบกรถกลับบ้านระหว่างทางมีข้อความของฟู่เจิงส่งมา “ขอโทษนะเวินเหลียง ฉันมีธุระนิดหน่อยจะไปก่อน”“ค่ะ ฉันจะโบกรถกลับบ้าน” เวินเหลียงตอบ“ตอนเย็นกลับบ้านรอฉันกินข้าวด้วย”“ค่ะ”เวินเหลียงตอบกลับข้อความ ทว่าเธอไม่ใส่ใจที่แล้วมาฟู่เจอถูกฉู่ซืออี๋เรียกตัวไปหลา
อีกอย่าง เห็นฉู่ซืออี๋พูดบนเวทีว่ารู้จักกับเวินเหลียงมานานแล้ว แถมน้ำเสียงยังดูเหมือนเห็นเวินเหลียงเป็นน้องสาวด้วยคนทั่วไปจะพูดกับชู้ด้วยน้ำเสียงอย่างนี้ได้เหรอ?แต่แฟนคลับของฉู่ซืออี๋ก็ยังกัดเวินเหลียงไม่ปล่อยตอนถ่ายรูปหมู่ เหยียบกระโปรงของฉู่ซืออี๋จนเกือบจะล้มตอนนั้นผู้กำกับหันกล้องมา หลังจากฟู่เจิงประคองฉู่ซืออี๋ยืนดี ๆ ได้แล้วก็มองเวินเหลียงแวบหนึ่งชาวเน็ตเห็นไม่ชัดว่าใครเป็นคนเหยียบกระโปรง แต่ฉู่ซืออี๋เห็นชัดนี่ดังนั้นการมองนี้ แฟนคลับจึงโยนเรื่องเหยียบกระโปรงมาที่เวินเหลียงเฟซบุ๊กของเวินเหลียงมีคอมเมนต์เรื่องสดใหม่ในวันนี้เพิ่มขั้นมาเยอะ ดีที่เธอปิดอินบอกซ์เอาไว้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ต้องได้เดือดอีกแน่แต่คอมเมนต์พวกนี้ไม่ส่งผลถึงเธอ เธอแค่ดูแบบสบาย ๆ นิดหน่อยก็ปิดและวางโทรศัพท์มือถือลงไม่สนว่าจะเป็นคำชมหรือคำด่า มีกระแสก็พอนอกห้องมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “คุณผู้หญิงคะ มื้อเย็นเสร็จแล้วค่ะ”“ค่ะ รู้แล้ว”เวินเหลียงขานรับแล้วขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ใส่ชุดลำลองสบาย ๆ แล้วลงไปกินข้าว“คุณผู้หญิงคะ คืนนี้คุณผู้ชายจะกลับมาไหมคะ? ต้องเก็บกับข้าวเอาไว้ให้เขาไหม?”“เขาคงไม่กล
“งานแถลงข่าวในวันนี้เธอทำได้ดีมาก ดีมากจริง ๆ”ชมเชยแบบกัดฟันกรอดจะหาเรื่องแล้วไงเวินเหลียงนั่งตัวตรงและมองเขา อธิบายอย่างจริงจัง “ขอโทษด้วยค่ะ แต่ฉันก็ทำเพื่อแบรนด์เอ็มคิว ในเมื่อพวกเราต่างมีกระแสและการพูดถึง แล้วทำไมไม่เอามาสร้างกระแสให้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ล่ะ?”“แล้วไงอีก?”“ฉันไม่สมควรให้คุณเล่นเกม แต่กระแสของคุณไม่เหมือนกับดารา”“แล้ว?”แล้วอะไรอีกล่ะ?ยังมีอีกเหรอ?เวินเหลียงคิดไม่ออกแล้วจริง ๆเธอกะพริบตาปริบ ๆ มองฟู่เจิงเฉย ๆฟู่เจิงโมโหจนหัวเราะ “ทำไมเธอต้องให้ฉันเล่นเกมกับซืออี๋ด้วย?”“คุณไม่ชอบเหรอคะ?”ฟู่เจิงหน้าตึง นี่มันใช่เรื่องที่เขาชอบหรือไม่ชอบเหรอ?เวินเหลียงพูดตามจริง “แฟนคลับคู่จิ้นของพวกคุณมีเยอะ เอาใจพวกเขาหน่อย ถึงจะยิ่งมีกระแส”ฟู่เจิงพูดไม่ออกหัวเราะพรืด มุมปากกระตุก ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดีเธอนี่ช่างใช้ทุกอย่างคุ้มค่าจริง ๆ มีอะไรก็เอามาใช้หมด เห็นฟู่เจิงเงียบไป เวินเหลียงกลับพูดอย่างมีเหตุผล “กระแสของงานแถลงข่าววันนี้ดีมาก ฉันมั่นใจกับรูปแบบหลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์หลังจากนี้มากค่ะ ฉันว่าประธานฟู่คงไม่ตำหนิฉันเพราะเรื่องนี้หรอกนะคะ”“เธอยังจะม
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีสั้น ๆ ก็มีคนรับสาย ชั่วขณะเธอยังนึกว่าเป็นความฝันจากนั้นก็มีเสียงแว่วมาจากข้างตัว ตามด้วยเสียงเปิดปิดประตูเวินเหลียงลืมตาขึ้นพรึบ ในห้องมืดสนิท อาศัยแสงจันทร์มองเตียงด้านข้าง มันว่างเปล่าที่แท้เมื่อกี้ก็ไม่ใช่ความฝัน มีคนโทรศัพท์หาฟู่เจิงจริง ๆไม่นาน มือจับประตูถูกกดลงเบา ๆ ฟู่เจิงย่องเข้ามา เห็นเวินเหลียงยังหลับสนิทอยู่จึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัวอย่างเงียบเชียบหลังจากแต่งตัวเสร็จก็ย่องออกห้องไปอีกพอปิดประตู ในห้องเงียบกริบอีกครั้งไม่นานก็มีเสียงสตาร์ตรถดังมาจากชั้นล่างเวินเหลียงลืมตาขึ้น มองเพดานที่มืดสนิทเธอมีลางสังหรณ์ในใจ สายโทรศัพท์ที่ฟู่เจิงรับคงเป็นฉู่ซืออี๋โทรมาความจริงเธออยากถาม แต่ก็ไม่กล้าถามเธอเป็นคนขี้ขลาด เธอไม่อยากหาเรื่องลบหลู่ตัวเองต่อให้เธอรั้งตัวเขาไว้ ฟู่เจิงก็จะไปอยู่ดีเวินเหลียงหลับตาลงอีกครั้ง กลับไม่ง่วง จึงพลิกตัวไปพลิกตัวมาตอนฟ้าจะสาง ชั้นล่างส่งเสียงเครื่องยนต์ดังมาอีกครู่หนึ่งประตูถูกเปิดออก ฟู่เจิงถอดเสื้อตัวนอกที่มีฝุ่นติดและนอนอยู่ข้างตัวเวินเหลียงเหมือนไม่เคยออกไปไหนเวินเหลียงเล
ข้อความในกลุ่มขึ้นว่าหลังเลิกงานพรุ่งนี้ให้รวมตัวกันที่หน้าบริษัท บริษัทเหมารถบัสพาทุกคนไปออนเซ็นนอกเมือง ไปก่อนหนึ่งคืนสามฝ่ายรวมกันมีสี่สิบกว่าคน รถบัสสองคันวันต่อมา พนักงานของแต่ละฝ่ายมาทำงานพร้อมพกเสื้อผ้าของใช้ตัวเองมาด้วย พอถึงเวลาเลิกงานก็กอดคอกันเดินออกไปข้างนอก คาดหวังกับออนเซ็นมากในตอนที่เวินเหลียงมาถึงชั้นล่าง มีคนนั่งอยู่บนรถประมาณหนึ่งแล้ว เธอหิ้วกระเป๋าขึ้นรถและไปหาที่นั่งคู่ข้างหลังที่ยังว่างอยู่พนักงานทยอยขึ้นรถรถทั้งคันใกล้จะเต็มแล้ว“ผู้อำนวยการเวิน ผมนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ?” มีเสียงผู้ชายดังมา เวินเหลียงเงยหน้ามองอีกฝ่ายแวบหนึ่งและพยักหน้าตอบ “นั่งเถอะค่ะ”“ขอบคุณครับ”“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”เวินเหลียงรู้จักคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาเป็นพนักงานฝ่ายเอ็มเอฟ ชื่อหวงลี่เมื่อก่อนหวงลี่เป็นคนของเอ็มคิว ตอนหลังถูกย้ายไปที่เอ็มเอฟอีกอย่าง หวงลี่เคยมีใจให้กับเวินเหลียงด้วยแต่เวินเหลียงไม่ได้ตอบกลับก็เลยจบไปทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเรียกขึ้นมาด้วยความตกใจ “ประธานฟู่ คุณก็ไปด้วยเหรอคะ?”เวินเหลียงเงยหน้าขึ้น เห็นฟู่เจิงถือกระเป๋าเดินทางขึ้นรถพลางพยักหน้าเมื่อวานฟ