ภาวินทร์หันไปมองคนที่พูด ลักษิกายังไม่ทิ้งความปากเปราะที่ชอบพูดขยี้จิตใจคนอื่น แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะทำอะไรเขาไม่ได้เพราะภาวินทร์ไม่แม้แต่จะไปหยิบดูเลยด้วยซ้ำ
“เอาไปทิ้งให้หมด”
“อะไรนะคะ ทิ้งหมดนี่เลยเหรอคะ”
“เอาเก็บไว้ทำไมล่ะ ขยะก็ต้องทิ้งถูกแล้วนี่”
“ขยะเหรอคะ แต่ว่านี่… บางชิ้นเหมือนจะเป็นของแบรนด์เนมเลยนะคะ”
“ขยะก็คือขยะ เก็บไว้ทำไมหรือถ้าเธอเสียดายก็เก็บไปขายสิ น่าจะได้หลายพันอยู่นะ”
“ฉันไม่ใช่ขโมยนะคะ”
“ก็ถึงได้บอกให้เอาไปทิ้งยังไงล่ะ ฟังไม่รู้เรื่องเหรอยัยลูกแกะน้อย”
“ฉันไม่ใช่...”
“รีบเอาไปทิ้งจะได้พาไปกินข้าว”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ทำงานเสร็จแล้วมิวขอตัวกลับเลยนะคะวันนี้มีนัดต่อ”
“อะไรนะ มีนัดเหรอ?”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น…”
เธอรวบห่อบนโต๊ะทั้งหมดใส่กระเป๋าไปอีกครั้ง ภาวินทร์ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขามอบหน้าที่นี้ให้เธอจัดการแล้ว
“อันนี้มิวขอนะคะ แล้วก็ขอตัวเลยค่ะเจอกันวันพุธ”
“มีนัดกับใคร”
“เรื่องส่วนตัวค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
เธอไม่ตอบยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด เธอยิ้มก่อนจะออกไปพร้อมกับถุงขยะย่อม ๆ โดยทิ้งเขาให้ยืนโมโหอยู่ที่เดิมก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อมองดูว่าเธอขึ้นรถอะไรกลับบ้าน
สักพักเมื่อเธอเดินลงไปเขาก็เห็นว่าลักษิกาเดินถือห่อเครื่องประดับนั้นเอาไปให้ป้าแม่บ้านที่ตึก สีหน้าของแม่บ้านคนนั้นดีใจเมื่อเห็นของพร้อมกับขอบคุณเธอและได้โอกาสฝากถุงขยะแม่บ้านไปทิ้งก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถ ทำเอาภาวินทร์หันมาขำ
“ให้ตายสิยัยลูกแกะ ที่แท้ก็เอาไปทำแบบนี้เองน่ะเหรอ”
วันถัดมา / หอสมุด
ภาวินทร์เดินเอาหนังสือมาคืนตามที่ชินกรขอเพราะวันนี้เขาต้องไปต่างจังหวัดจึงได้เอาหนังสือมาฝากไว้ที่เขา เมื่อภาวินทร์เดินเข้ามาในหอสมุดแน่นอนว่าเขาตกเป็นเป้าสายตาของสาว ๆ ในนี้ทันทีเพราะแทบจะไม่เคยมีใครเห็นเขาที่นี่เลย
“ยัยลูกแกะ คืนหนังสือหน่อย”
มิวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าโมโหจนแดงก่ำแต่เพราะที่นี่เป็นหอสมุดที่เสียงดังไม่ได้เธอจึงได้แต่กระชากหนังสือจากมือเขาออกมาแต่ก็โชคร้ายที่ทำให้หนังสือนั้นบาดมือภาวินทร์จนเลือดออก
“โอ๊ะ…ซี้ด คมชะมัด เธอตั้งใจใช่ไหมเนี่ย”
“เอ๊ะ โดนบาดเหรอคะขอโทษนะคะ มานั่งตรงนี้ก่อนค่ะเดี๋ยวมิวจะทำแผลให้”
เธอเองก็ไม่นึกว่าเขาจะโดนบาดจนเลือดออกแบบนั้น มิวรีบคว้ากล่องอุปกรณ์และดึงภาวินทร์มานั่งทำแผลที่โต๊ะด้านหลัง เขาแอบสังเกตเธอผ่านแว่นตาที่หนานั่น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแว่นตาของเธอไม่น่ารำคาญอีกต่อไป เพราะเขาไม่นึกอยากจะให้คนอื่นเห็นเธอเวลาที่มิวไม่ใส่แว่นสักเท่าไหร่
“เจ็บไหมคะ ใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลก่อนแล้วเดี๋ยวจะใส่ยาให้นะคะ”
“เจ็บสิ ทำไมต้องกระชากแรงขนาดนั้นด้วย พี่ก็อุตส่าห์พูดดี ๆ แล้วนะ”
“ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าหนังสือมันจะคมขนาดนั้น”
“ก็กระชากแรงขนาดนั้น”
“ก็… ช่างเถอะ เสร็จแล้วค่ะ”
“มีอุปกรณ์ทำแผลติดตัวมาด้วยสมกับเป็นนักศึกษาพยาบาลจริง ๆ แฮะ”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ก็นั่งมองเธอจัดการกับหนังสือที่เขาเอามาคืนและให้บริการคนที่มาใช้บริการในหอสมุด กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสองชั่วโมงที่เธอจะเดินไปทานข้าว
“พักแล้วเหรอ”
“พี่วินทร์ ยังไม่กลับอีกเหรอคะ”
“เอ่อ… ยังต้องหาหนังสือน่ะไม่เป็นไรค่อยหาช่วงบ่ายไปสิ หาข้าวกินกัน”
“แต่ว่า… ที่นี่มหาลัยนะคะแล้วอีกอย่างพี่ไม่ต้อง…”
“ไอ้วินทร์! ฉิบหายมาอยู่นี่เองกูกับไอ้ธิศก็หาไปเถอะ อ้าวน้องแว่นมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
เมื่อมิวเห็นเพื่อน ๆ เขาอีกสองคนเดินมาเธอก็หันไปคว้ากระเป๋าและเดินออกไปทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก
“อะไรวะ พูดด้วยดี ๆ ก็ไม่ตอบนี่ยัยเด็กนี่แค้นฝังใจเกินไปนะเนี่ย”
“ไอ้วินทร์ มึงมาทำอะไรที่นี่วะ แล้วนั่นมือมึงไปโดนอะไรมาถึงได้มีแผล”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไปเถอะหาข้าวกิน”
“เออ กูหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ยรีบไปเหอะ ไปกินที่คณะมนุษย์กันอาหารที่นั่นอร่อย”
“อย่ามาพูดว่าอาหารอร่อย มึงจะไปเหล่สาว ๆ สิไม่ว่าไอ้ภัทร ไอ้คนเจ้าชู้”
“พวกมึงไปเถอะ กูจะกินแค่ข้างตึกนี่แหละเดี๋ยวต้องมาหาหนังสือต่อ”
“อะไรนะ ไอ้วินทร์นี่มึงทำโปรเจคเครียดจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอวะ”
“โธ่ไอ้ธิศ มึงก็ถามโง่ ๆ ที่มันไม่อยากไปเพราะไม่อยากเจอโจทก์เก่าน่ะสิ น้อง ๆ ที่นั่นมึงก็รู้ว่าเป็นเด็กเก่ามันกี่คน”
“เออจริงด้วยงั้นกินแถวนี้ก็ได้ ไปเถอะให้ตายตั้งแต่เรียนมาไม่เคยจะเฉียดมาแถวนี้เลยรู้สึกมีความรู้ยังไงไม่รู้แฮะ”
“ปกติวนเวียนอยู่แต่แถวคณะนิเทศกับบริหารสินะ”
ภาวินทร์เดินเข้ามาในโรงอาหารใกล้ตึกหอสมุดซึ่งที่นี่ก็มีโรงอาหารเล็ก ๆ เอาไว้บริการนักศึกษาและคณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานตึกใกล้ ๆ และไม่อยากเดินไปที่โรงอาหารกลางของมหาลัยก็มักจะเลือกกินที่นี่
“โอ้โห ใช้ได้เหมือนกันนะ อาหารน่ากินเยอะเลยแถมคนน้อยด้วย”
เพียงแค่พวกเขาเดินเข้ามาก็ได้รับความสนใจจากคนที่นั่งกินอยู่ข้างใน แต่สายตาของภาวินทร์กลับมองหาคนที่พึ่งเดินออกมาจากหอสมุด ไม่นานก็เจอเธอที่ยืนซื้ออาหารและกำลังหาที่นั่งซึ่งเขาก็คาดเดาถูกว่าเธอไปนั่งที่โต๊ะริมกระจกมุมสุดของโรงอาหารเล็ก ๆ นี้คนเดียว
“ไปเถอะ ไปซื้อข้าวกัน”
เขาปล่อยให้เพื่อน ๆ ไปเลือกซื้ออาหารและเลือกโต๊ะนั่งใกล้ ๆ เธอแต่ก็ไม่ได้รบกวน มิวเองก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเช่นกันแต่เธอหันมานั่งหันหลังให้พวกเขาแทนซึ่งภาวินทร์เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นทุกครั้งที่เธอมักจะทำอะไรแบบนี้
“แค่มองหน้านิดหน่อยจะเฉาตายหรือไง”
“บ่นอะไรวะ อาหารที่นี่โคตรน่ากินเลยว่ะไอ้วินทร์ วันหลังต้องมากินบ่อย ๆ แล้วดูสิ หมูแม่งชิ้นใหญ่มากแล้วยังมีน้ำน้ำซุปกับน้ำพริกพร้อมผักให้ด้วย มึงมองอะไรวะอยากกินน้ำแข็งไสเหรอ”
นิธิศถามเมื่อเขาหันไปมองที่ภาวินทร์กำลังมองอยู่โดยไม่ทันเห็นคนที่นั่งหันหลังให้พวกเขา แต่มองเห็นร้านน้ำแข็งไสที่อยู่ตรงหน้าลักษิกาแทน
“เปล่า พวกมึงซื้อมาแล้วใช่ไหม แล้วจะไปไหนกันต่อ”
“ก็กลับไปทำรายงานเลย โดดคาบอาจารย์พิชิต”
“อืม”
“แล้วมึงจะกลับไปที่หอสมุดอีกเหรอ นี่เป็นวิธีการเรียกเรตติ้งแบบใหม่เหรอวะไอ้วินทร์ หอสมุดนอกจากหนังสือกับแอร์เย็น ๆ น่านอนแล้วยังมีอะไรดีอีก สาว ๆ ก็ไม่มีให้ดู”
“ถ้าพวกมึงอยากผ่านโปรเจคก็ต้องใช้หนังสือในนั้นช่วยหรือมึงจะไปค้นเองกูจะได้ไม่ทำ ตอนนี้ไอ้กรไม่อยู่มึงจะมาทำแทนมันไหมล่ะกูจะได้กลับไปนอน”
“ไม่เอา ๆ เพื่อนมึงอย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิวะ เออ ๆ กูขอโทษ รวบรวมข้อมูลแล้วค่อยพิมพ์ลงเล่มทีเดียว ให้ตายเหอะแล้วใครจะทำวะ เรื่องพิมพ์งานไม่มีใครถนัดเลยสักคน”
ภาวินทร์หันมามองเพื่อนที่กำลังนั่งคิดกันอยู่ ในการทำโปรเจค นอกจากพวกเขาต้องเสียเวลาทำแผ่นพรีเซนต์และข้อมูลสำหรับนำเสนอก็ยังต้องจัดพิมพ์ลงเล่มเพื่อส่งให้อาจารย์
“เห็นพวกกลุ่มอื่น ๆ ก็จ้างพิมพ์นะเพราะต้องพิสูจน์อักษรด้วยแต่กว่าจะเสร็จกลัวจะไม่ทันน่ะสิ กลัวข้อมูลรั่วด้วยเห็นว่าสองปีก่อนก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนถูกเรียกมาสอบสวนกัน”
“บางคนก็พิมพ์กันเองและตรวจกันเองแบ่งหน้าที่กันทำแต่กูว่าพวกเราอาจจะไม่เวิร์คเพราะในกลุ่มแม่งไม่มีผู้หญิงเลย ไอ้วินทร์หรือว่าจะใช้เด็กมึงสักคน คณะมนุษย์ก็ได้”
สายตาของภาวินทร์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อมองแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาถัดไปอีกสี่โต๊ะ
“รอรวบรวมงานเสร็จแล้วเรื่องพิมพ์และจัดรูปเล่มไว้เป็นหน้าที่กูรับผิดชอบเอง ไปซื้อข้าวก่อนถ้าพวกมึงกินเสร็จแล้วก็ไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”
ภัทรและธิศกินเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากโรงอาหารทันที ไม่นานเขาก็เห็นเธอเดินมาสั่งของหวานที่ร้านน้ำแข็งไสตรงหน้าส่วนเขาก็เดินไปสั่งข้าวแกงร้านข้าง ๆ เมื่อเธอเดินกลับไปนั่งที่เดิมเขาจึงเดินตามเธอไปนั่งตรงข้าม มิวถึงกับตกใจเมื่อหันไปมองและเห็นว่าเพื่อนของเขาไปหมดแล้ว“ไม่ต้องมองพวกมันไปหมดแล้ว”“แล้วทำไมต้องมานั่งที่นี่ล่ะคะ”“ก็อยากนั่ง มีเรื่องจะคุยด้วย”“อะไรคะ”“มิวทำพี่เป็นแผล คิดว่าอีกนานคงจะหายดังนั้นคงต้องรับผิดชอบสักหน่อย”“อะไรนะคะ ก็มิว….”เธอลดเสียงลงเมื่อหลาย ๆ คนเริ่มมองมาที่เธอ ทุกคนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมภาวินทร์หนุ่มสุดหล่อคณะวิศวะที่สาว ๆ เฝ้าฝันว่าอยากจะกินข้าวกับเขาสักมื้อ ทำไมถึงต้องไปเลือกนั่งกับคนหน้าตาเฉิ่มแว่นหนาอย่างมิวคณะพยาบาล คนที่จืดชืดเหมือนกับกาแฟเย็นที่น้ำแข็งละลายผสมจนหมดรสชาติแบบนั้น“เบาหน่อยสิ แต่ว่าพี่ต้องใช้นิ้วมือในการทำโปรเจคแต่ตอนนี้มันบาดเจ็บดังนั้นก็ต้องเป็นหน้าที่มิวที่จะต้อง…”“อะไรนะคะ เดี๋ยวก่อนนะคะแค่หน้าที่แม่บ้านสามวันต่อสัปดาห์…”"ทุกวันพุธและวันศุกร์ไม่ต้องทำความสะอาด ทำแค่วันจันทร์วันเดียวพอ"“ทำไมล่ะคะ”“เพราะว่าพี่มีงานอื่นให้ทำ”“งา
“มิว แกจะเหนื่อยไปหรือเปล่าถ้าไม่ไหวก็หยุดสักงานเถอะโดยเฉพาะงานที่ไม่ได้เงิน”“แกคิดว่าฉันอยากทำเหรอ แต่เพราะเขารู้ความลับนี้ถ้าหากเขาจะแก้แค้นแล้วบอกเรื่องนี้กับทางมหาลัย ฉันก็ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมเองแล้วอีกอย่างก็จะช่วยคุณยายไม่ได้”“มิว… หรือว่าแกจะลองติดต่อพ่อ...”“อย่าพูดถึงเขาเลย”“ก็ได้”แยมไม่พูดต่อเพราะเรื่องนี้เธอรู้ดีว่ามิวไม่มีทางยอมรับ แม้ว่าคุณยายของเธอจะป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่มิวไม่เคยขอความช่วยเหลือจากพ่อของเธอเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่พ่อของมิวก็เป็นนักธุรกิจและมีบริษัทใหญ่โต แต่เมื่อแม่ของมิวแยกทางกับพ่อมิวก็ไม่เคยติดต่อพ่อของเธออีกเลยสองวันถัดมา / คอนโดภาวินทร์มิวมาทำความสะอาดให้เขาตามที่ตกลงเอาไว้จนครบหนึ่งเดือน แม้ว่าภาวินทร์บอกว่าไม่ต้องทำแล้วแต่ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มงานโปรเจคที่เขาบอกเอาไว้ เธอจึงมาทำให้เขาตามที่ตกลงและได้แลกเบอร์กันเอาไว้เพื่อจะได้สะดวกในการติดต่อ“นี่อะไรคะ”“ค่าจ้างไง คิดว่าพี่จะให้มิวทำฟรี ๆ เหรอ”“แต่นี่มันไม่มากเกินไปเหรอคะ”“ก็ไม่ได้ต่างกับทิปที่ให้ที่ผับนี่นา”“ทำความสะอาดทีละห้าพัน ยอดไปเลยแต่ว่ามิวไม่อยากเอาเปรียบพี่วินทร์หรอกค่ะ”“ไม่เอาใช่ไ
สายตาของภาวินทร์เหมือนจะฆ่าคนได้อยู่แล้วเมื่อนิรุตเพื่อนสนิทของวิทขอร้องให้เขาปล่อยเพื่อน ก่อนที่จะถูกภาวินทร์รัดคอจนตาย“ปล่อยก่อนพี่ ผมจะรีบเล่าให้ฟังเอง”เขาหันไปมองรุตก่อนจะปล่อยวิท และหันมาลากคอรุตไปที่โต๊ะและถามอีกที“มึงรีบเล่ามาก่อนที่กูจะกระทืบมึง”“คืออย่างนี้พี่ ผู้จัดการที่นี่...พี่หญิงน่ะ ถ้ามีเสี่ยคนไหนถูกใจเด็กแกก็จะทาบทามให้ แต่ว่าครั้งนี้เรเน่ไม่ใช่เด็กของแกและเป็นบาร์เทนเดอร์ อีกอย่างเรเน่ไม่ใช่เด็กแบบนั้นพี่หญิงก็เลยวางแผนกับไอ้เสี่ยนั่นจัดปาร์ตี้ลับขึ้นเพื่อจะพาเรเน่…อย่าชกผม!”ภาวินทร์ยั้งมือได้และรีบวิ่งออกไปจากผับทันที เขาไม่เคยรู้สึกรีบร้อนถึงขนาดนี้ โชคดีที่ถนนช่วงนี้โล่งเพราะเป็นวันอาทิตย์ ใช้เวลาแค่สิบนาทีก็มาถึงโรงแรมที่ว่านั่น“มิว!! อยู่ไหนมิว”มิวที่แทบจะหมดแรงเริ่มทนไม่ไหว สาธิตใส่ยากระตุ้นให้เธอกินและตอนนี้เธอก็เริ่มร้อนและหมดแรงแต่ก็ต้องพยายามกลั้นเสียงเอาไว้เพื่อไม่ให้คนที่ตามมาได้ยิน ชุดที่เธอใส่เริ่มเปียกจนเธอไม่สบายตัว“มิว! ได้ยินพี่ไหม มิว!”เขายังวิ่งหาเธอไปทั่วบันไดหนีไฟ ไม่นานก็เห็นเธอยืนหอบอยู่ที่ทางออก แต่พยายามปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียง เ
“อื้อ…ตกลง อ๊ะ”เขาค่อย ๆ เปิดทางและเริ่มสอดใส่เข้าไปพร้อมกับดูดและโลมเลียหน้าอกของเธอไปด้วยเพื่อให้เธอคลายความเจ็บปวดกับครั้งแรกที่อาจจะทำให้เธอเจ็บ เพราะขนาดที่ใหญ่ของเขาอาจจะทำให้เธอบาดเจ็บได้“อ๊ะ!! เดี๋ยวก่อนค่ะ มันเจ็บ โอ๊ย!! มัน อ๊าา…”แต่เขาทนไม่ไหวแล้ว เสียงที่เธอพยายามขอร้องและเล็บที่เริ่มจิก ข่วนที่หลังของเขากลับทำให้เขายิ่งต้องการเธอมากขึ้นและในที่สุดก็สอดใส่เข้าไปจนสุด“อ๊าา!!”ด้านในที่คับแน่นและตอดรัดเกือบทำให้เขาตายคาอกเธอแทน ตัวเขาสั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะผ่านผู้หญิงมากี่คนก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน จากที่รำคาญและเกลียดลักษิกาจนอยากจะแก้แค้นเพราะเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่กล้ายืนด่าเขา จากที่อยากแก้แค้นโดยการแกล้งเธอให้ทำความสะอาดและหลอกให้ช่วยงานโปรเจค แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นเขาที่ตื่นเต้นในการมีเซ็กส์ครั้งแรกกับเธอเสียเอง“แย่แล้ว อาา!!”เขายังไม่ทันขยับแต่ความเสียวจากการบีบรัดนี้ก็ทำให้เขาทนไม่ไหว ไม่คิดว่าเขาจะแตกออกมาได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ไม่ทันได้ขยับเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างก็พึ่งจะสอดเข้าไปเท่านั้นก็ทนไม่ไหวแล้วโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ทันได้รู้ตัว เขาค่อย ๆ ดึงอ
วันถัดมามิวค่อย ๆ ลุกขึ้นมาแต่เธอรู้สึกว่าขยับตัวแทบไม่ได้โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เอวลงไปนั้นแทบจะไร้ความรู้สึก แต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้นกลับเป็นเสียงลมหายใจที่อยู่ข้าง ๆ หูของภาวินทร์ที่นอนอยู่ข้างเธอตอนนี้มากกว่า “เมื่อคืน…”มิวค่อย ๆ ลุกจากเตียงให้เบาที่สุดเพราะตอนนี้ภาวินทร์นอนกอดเธออยู่แต่เขาหลับสนิท เธอค่อย ๆ หันไปมองชุดเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดจนน่าจะใส่ไม่ได้แล้วจึงได้หันมามองเขาอีกครั้ง“มิวไม่ได้ขโมยนะ แค่จะยืมใส่ชั่วคราวเท่านั้นเองมีโอกาสจะเอามาคืน”เธอเดินไปคว้าผ้าขนหนูมาพันรอบตัวและแอบเปิดตู้เพื่อหาเสื้อเชิ้ตของภาวินทร์มาสวมเอาไว้ลวก ๆ ก่อนจะรีบหันไปหยิบกระเป๋าที่เขาเอาวางให้เธอที่โซฟาในห้องนอนและค่อย ๆ เดินไปที่ประตู มิวกำลังจะบิดลูกบิดออกไปเสียงกระซิบข้างหลังก็ดังขึ้นมา“จะรีบไปไหนเหรอยัยลูกแกะน้อย”มิวยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าประตู เมื่อภาวินทร์เดินมาประชิดตัวเธอ โชคดีที่เขายังใส่กางเกงชุดนอนแม้ว่าจะไม่สวมเสื้อเมื่อยืนอยู่ข้างหลังและใช้มือดันประตูเอาไว้ที่จริงเขาตื่นตั้งแต่มิวค่อย ๆ ลงจากเตียงแล้ว แต่ไม่อยากให้เธอตกใจก็เลยแอบมองดูเธอทำท่าทางน่ารัก ๆ ในห้องเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ
มิวช็อกและนั่งนิ่งไปพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลรื้นออกมาเมื่อฟังเรื่องที่ภาวินทร์พูดจบ ถ้าอย่างนั้นทั้งงานเมื่อคืนนี้ พี่หญิงที่เป็นผู้จัดการที่หันมาให้เธอยอมดื่มกับลูกค้า “ทั้งหมดนั่น…”“มิว ใจเย็น ๆ นะไม่ต้องตกใจตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรมิวได้แล้ว”เธอไม่ได้คิดเรื่องนั้นแค่รู้สึกว่าเธอหลงไว้ใจ เชื่อใจคนผิด ทั้งพี่หญิงที่รับเธอเข้าทำงานรอยยิ้มที่มักจะบอกว่าเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวและให้เงินพิเศษในทุก ๆ เดือน กลับเป็นคนพาเธอไปส่งถึงมือเสี่ยบ้าเซ็กส์คนนั้นจนถึงกับยอมให้เธอถูกวางยา หากเมื่อคืนไม่มีภาวินทร์ คนที่เธอนอนด้วยก็คงจะเป็น….“ฮือ…”“ไม่เป็นไรนะมิว ไม่ต้องร้องแล้ว”ภาวินทร์ไม่เคยเห็นเธอในสภาพนี้มาก่อน แม้เขาจะเคยเห็นเวลาผู้หญิงร้องไห้มาบ่อย ๆ จนชินเพราะเธอมักจะใช้มุกนี้เพื่อรั้งเขาแต่กับลักษิกา เธอไม่ได้ใช้มันเพื่อขอให้เขาสงสารหรือเห็นใจ เธอร้องเพราะเสียใจจริง ๆ“มิว ใจเย็น ๆ นะ เรื่องนี้พี่จัดการไปแล้ว”มิวนิ่งเร็วกว่าที่เขาคิดเพราะไม่นานเธอก็ตั้งสติได้จนเขานึกทึ่งกับผู้หญิงคนนี้ สายตาเธอเต็มไปด้วยความโกรธแต่ก็หันมาถามเขาทั้ง ๆ ที่ตาและจมูกแดงเพราะร้องไห้“จริงสิคะ แล้วพี่วินทร์ไปช่วยมิ
มิวนิ่งไปเมื่อภาวินทร์พูดว่าเขาไม่เคยใช้ห้องนั้นเลยสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นเครื่องประดับผู้หญิงกับซองเปล่าถุงยางอนามัยที่เธอทำความสะอาดไปวันก่อนก็ไม่ใช่ของเขา“ยิ้มอะไรน่ะ”“เปล่าค่ะ อิ่มแล้วใช่ไหมคะเดี๋ยวมิวจะเก็บแล้วเอาไปล้าง”“มิว… ลาออกจากงานบาร์นั่นเถอะ”มิวนิ่งไปเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะไม่บอก เธอก็ไม่คิดจะกลับไปทำงานที่นั่นอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง“ค่ะ ถึงพี่วินทร์ไม่พูดมิวก็คงไม่กลับไปทำ”“ถ้างั้น...”“มิวก็หางานใหม่ บาร์เทนเดอร์รายได้ดีและมิวเองก็มีประสบการณ์แล้วน่าจะหาร้านไม่ยากหรอกค่ะ”“นี่ยังคิดจะทำงานแบบนั้นอีกเหรอ”“แต่ว่างานบาร์เทนเดอร์ให้ค่าจ้างสูงนี่คะ อีกอย่าง…”“แสดงว่ายังไม่เข็ด”“มิว… ไปล้างจานก่อนนะคะ”เขามองเธอด้วยความโมโหที่เธอเอาแต่เลี่ยง เมื่อคืนนี้เขาเหนื่อยไปเพื่ออะไรในเมื่อสุดท้ายเธอก็จะเลือกกลับไปทำงานแบบเดิมที่ต้องเจอผู้ชายหลาย ๆ คน และไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เขาไม่ได้มีเวลาไปช่วยเธอทุกครั้งหรอกนะ แต่จะคิดไปแล้วเขาก็สะดุดขึ้นมาได้ว่า…“นั่นสิ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูล่ะเนี่ย”แต่เมื่อคืนนี้เขาพึ่งผ่านคืนที่เร่าร้อนจนตัวเขาเอ
มิวแทบจะเบะปากใส่คนที่พึ่งพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่หวงเนื้อหวงตัว ซึ่งเท่าที่เธอทราบวีรกรรมของภาวินทร์มามันไม่ใช่อย่างที่เขาพูดเลยสักนิด“ทำไมทำหน้าเหมือนไม่เชื่อกันแบบนั้นล่ะ”“ก็มันมีตรงไหนน่าเชื่อบ้าง”“อ้าวยัยลูกแกะน้อย นี่มานี่เลยไม่เชื่อได้ยังไง”“โอ๊ย! ปล่อยนะพี่วินทร์”เขาดึงเธอเข้ามาและปลุกปล้ำอยู่บนเตียงก่อนจะใช้ขาเกี่ยวเอวเธอเอาไว้ไม้ให้หนี“บอกมาว่าเชื่อ”“แต่มันฝืนใจนี่คะ”“ไม่งั้นจะกินอีกรอบนะ”“เอ๊ะ แต่ว่า…”“แล้วทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ เพราะข่าวลือในมหาลัยงั้นเหรอ หรือเพราะว่าพวกเพื่อนพี่ที่มันชอบแซวมิวตั้งแต่ปีหนึ่ง จนแค้นฝังใจและมองว่าพวกพี่เป็นพวกราชาปีศาจเหมือนที่คนอื่นพูดกัน”“พี่วินทร์รู้ด้วยเหรอคะ”“ต้องรู้อยู่แล้ว แต่ก็แปลกนะที่ใคร ๆ ก็ต่างอยากเข้าหาปีศาจอย่างพวกพี่”“หึ”“ทำเสียงแบบนั้นทำไม อยากจะโดนเหรอ”“เปล่าสักหน่อยก็แค่ขำนิดหน่อยว่าไปเอาความมั่นแบบนั้นมาจากไหนกัน”“เอามาจากนี่ไง…”วันนั้นมิวแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะกว่าจะได้ลุกจากเตียงก็เกือบสองทุ่ม แต่เขาก็ยอมไปส่งเธอและมีข้อแม้ว่าต้องทำคะน้าปลากระป๋องให้เขากินก่อนจะกลับหอพักมิว “เจอกันพร
“ฉันว่าคนที่น่าห่วงน่ะไม่ใช่มิวหรอก แต่เป็นคนขี้อิจฉาอย่างเธอมากกว่า”“ยัยแคร์ หมายความว่ายังไง”แคร์ ริชชี่และแยมเดินมาพอดีพร้อมกับดึงมิวเข้ามา ดูท่าทางแพรวาเองก็เหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ “ก็เธอโดนทิ้งก็ไม่ได้หมายความว่ามิวจะเป็นอย่างเธอ ที่ฉันเห็นนะมิวกับพี่วินทร์คบหากันมานานเกินครึ่งปีแล้ว อีกอย่างตอนที่มิวโกรธ พี่วินทร์ถึงกับตามไปง้อถึงที่เลยนะ เรื่องแบบนี้เธอเคยเจอบ้างหรือเปล่า”“แก!”“อ๊ะ ๆ แคร์พูดไม่จบฉันขอต่อให้ก็แล้วกันนะ เรื่องของเธอกับมิวมันเอามาเทียบกันไม่ได้ แค่คนที่เคยคุยกับ "แฟน" น่ะ มันก็คนละเรื่องกันแล้ว อีกอย่างนะตอนนี้พี่วินทร์ก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนอีกเลย ไม่คิดเลยนะว่าพี่วินทร์จะคลั่งรักขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าไหมริชชี่"แพรวากำหมัดแน่นเพราะความอิจฉา เธอเคยคุยกับภาวินทร์และเคยควงเขาอยู่ไม่ถึงสิบวัน อาจเพราะเธอเซ้าซี้เขามากเกินไปและเรียกร้องขอให้เขามารับมาส่ง แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ภาวินทร์จะทำตามที่เธอขอ ไม่เหมือนกับที่เขาถึงกับขับรถมาส่งมิวที่หน้าคณะอย่างเต็มใจแบบนี้“งานลอยกระทงปีนี้ ถ้าเธอคิดว่าเธอแน่จริงกล้ามาแข่งกับฉันไหมล่ะ”“อะไรนะ”“งานลอยกระทงของมหาวิทยาลั
มิวหันมามองหน้าเขาเมื่อรับจานจากวินทร์มาเข้าเครื่องล้างจาน“ทำไมจู่ ๆ พี่วินทร์มาถามเรื่องนี้กับมิวละคะ ไหนบอกว่าไม่อยากให้มิวทำยังไงล่ะ”“ก็ถ้า…พี่เรียนจบแล้วและต้องทำงาน อีกอย่างที่ร้านนั้นตอนนี้พ่อพี่ก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ ถ้าแต่งตัวให้ดี ๆ บาร์เทนเดอร์ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวโป๊นี่จริงไหม”“ก็จริงค่ะ ที่จริงมิวก็ไม่ได้ชอบการแต่งตัวแบบนั้นเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ตอนนั้นมันเลือกไม่ได้”“อีกอย่างตอนนี้มิวก็ไม่ต้องห่วงเรื่องทุนการศึกษาแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องปิดบัง พี่แค่อยากถามว่ามิวอยากทำหรือเปล่า แต่ใจพี่ยังไม่อยากให้มิวไปทำหรอกนะ เพราะปีหน้ามิวก็เรียนปีสุดท้ายแล้ว พี่อยากให้มิวเรียนให้จบก่อน”“ที่จริงมิวก็รักงานนี้นะคะ แต่ก็อย่างที่พี่วินทร์พูดนั่นแหละค่ะว่าคงต้องตั้งใจเรียนก่อน เอาเป็นว่าไปช่วยแค่ชั่วครั้งชั่วคราวได้เหมือนกับงานที่แล้ว”“แต่พี่จะไม่ให้ใส่ชุดแบบนั้นแล้วนะ ใส่ให้มันรัดกุมให้ดูเป็นผับที่ดูดีหน่อยไม่ใช่…”“ตอนนี้ที่นั่นมีใครดูแลอยู่เหรอคะ”“พี่รินทร์กับสามีไง วันนี้เธอมาที่นี่เพราะจะคุยเรื่องมิวนั่นแหละ พ่อคงไปบอกเรื่องของเราหมดแล้วเพราะคืนนั้นพ่อเห็นพี่ลากมิวออกมาจากงาน วันนี้พี่ร
มิวที่ช็อกอยู่หน้าประตูพยายามก้าวขาออกจากห้อง แต่ภาพตรงหน้าทำให้เธอตกใจจนขาแทบไม่กระดิก เมื่อสาวสวยคนนั้นหันมามองหน้าเธอ ส่วนภาวินทร์พยายามลุกขึ้นมา“ฟังพี่ก่อนนะ”“เธอเป็นใครน่ะวินทร์”มิวพยายามกลั้นน้ำตาและหันออกไปจากห้องแต่ภาวินทร์ที่พยายามลุกจากโซฟามาหาเธอกลับล้มตึงลงไปกับพื้นจนเธอตกใจและหันมา“ว้าย! ไอ้วินทร์! น้องคะมาช่วยพี่หน่อยเร็ว ๆ เข้า ไอ้บ้านี่ตัวอย่างกับยักษ์ แกไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะค่อย ๆ ลุก”“พี่รินทร์หลีกไปเลยผมบอกว่า…โอ๊ย!!”มิวตกใจแต่ก็ไม่ทันได้ถาม แต่สรรพนามที่ผู้หญิงสวยคนนั้นเรียกแฟนหนุ่มของเธอ หากฟังไม่ผิดพวกเขาน่าจะไม่ใช่อย่างที่มิวคิดเอาไว้ เธอรีบวิ่งมาประคองภาวินทร์ที่ล้มให้ลุกขึ้น ซึ่งตัวภาวินทร์ร้อนเหมือนไฟ“พี่วินทร์…ไม่สบายเหรอคะ”“ใช่ค่ะ มันไม่ยอมให้พี่โทรบอก น้องมิวใช่ไหมอย่าพึ่งถามตอนนี้ช่วยพี่ลากไอ้เด็กดื้อนี่เข้าห้องนอนก่อน”“เอ่อ ค่ะ ๆ”“ไม่ต้อง พี่รินทร์กลับไปเถอะ ผมมีมิวแล้วเดี๋ยวมิวจัดการเอง โอย…”“พี่วินทร์ อย่าพึ่งพูดเข้าไปในห้องก่อน”“กลับมาแล้วเหรอ กลับมาได้เสียที”แม้แต่เสียงของวินทร์ก็แหบจนแทบไม่มีเสียง มิวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็รีบให้เขา
มิวรีบเดินออกมาจากห้องน้ำและไม่พูดอะไรกับเข้าอีก ปล่อยให้ภาวินทร์ยืนงงอยู่ในห้องน้ำ เขารีบอาบน้ำตามเธอออกมาเพื่อจะมาง้อแฟนสาวที่นั่งเป่าผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง“เอ่อ…”เธอเปิดเสียงไดร์เป่าผมให้ดังขึ้นและไม่สนใจเขาอีก วินทร์พยายามเดินวนรอบ ๆ จนต้องยอมถอยเพราะมิวคงไม่ฟังที่เขาพูดแน่ ดังนั้นจึงเดินไปเปลี่ยนชุดนอน มิวปิดที่เป่าผมและเดินมาเปลี่ยนชุดเช่นกัน“เอ่อ…”“ปิดไฟด้วยนะคะ”“เดี๋ยว… คุยกันก่อนไม่ได้เหรอครับ เมียจ๋า”“อย่ารบกวนคนจะนอนถ้ายังพูดอีกพรุ่งนี้มิวจะกลับหอ”วินทร์รูดซิปปากจนสนิทและยอมที่จะปิดไฟนอนแต่โดยดี มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขากลัวเธอมากขนาดนี้ ไม่สิเขาคิดว่าเข้าไม่ได้กลัว เขาแค่รักเธอมากขึ้นทุก ๆ วันจนไม่อยากเสียเธอไปต่างหากจึงได้ยอมลดนิสัยเอาแต่ใจของเขาลง อีกอย่างมิวแทบจะไม่เคยโกรธเขาจริง ๆ มาก่อนเลยถ้าไม่นับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ยายของมิวจะเสีย“ขยับออกไป ร้อน”“แต่ว่าพี่นอนไม่หลับ”“มิวบอกว่ามิวร้อนไม่ได้ยินเหรอคะ จะนอนที่นี่หรือว่าจะไปนอนห้องนอนเล็ก”“ก็ได้ ๆ ไม่กวนแล้วก็ได้อย่าแยกห้องนอนเลยนะครับ”มิวขยับหนีเขาไปเกือบสุดเตียง คนตัวโตได้แต่นอนถอนหายใจและทำท่าเห
ภาวินทร์คว้าข้อมมือของมิวเดินผ่านผู้หญิงสองคนที่ซุบซิบพวกเขาอยู่ พวกเธอหลบตาเขาจนเขาเดินผ่านไปและไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้ มิวเห็นท่าทางโกรธของเขาจึงได้ยิ้มออกมา“ขำอะไรกัน ไม่โมโหเหรอที่ถูกคนว่าลับหลังแบบนั้น”“แล้วพี่วินทร์จะไปฟังทำไมละคะ”“ก็มันน่าโมโหนี่ ถ้ามิวแต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็ม สวยกว่าพวกปากมากนั่นอีก”“เฮ้อ… ความปากดีของพี่วินทร์ไม่เคยลดลงเลยนะคะ”“แล้วไม่ชอบเหรอ”ภาวินทร์หันมาคว้าเอวของแฟนสาวเข้ามากอดพร้อมกับค่อย ๆ เอียงหน้าเข้ามาใกล้ ๆ มิวเบี่ยงหลบและตีไปที่ไหล่ของเขาจนวินทร์หัวเราะเพราะเธอเริ่มอายอีกแล้ว“เมือไหร่จะเลิกทำหน้าตาน่ารักนั่นเสียทีนะ พี่จะทนไม่ไหวอีกแล้ว”“พอเลยค่ะรีบกลับเถอะ ผักก็เลือกมาได้ไม่เท่าไหร่เองก็ไปหาเรื่องคนอื่น”“ไปซื้อที่อื่นก็ได้ไม่เห็นจะยากเลย พี่ไม่ชอบให้ใครมาพูดลับหลังแฟนพี่แบบนี้”“รีบไปเถอะค่ะเสียเวลา”“ครับผม”“แล้ววันหลังอย่าไปพูดแบบนี้อีกนะคะ ยังไงพวกเขาก็เป็นผู้หญิง”“ทำไมล่ะพวกนั้นนินทาได้แล้วพี่ตอบโต้กลับไม่ได้เหรอ…. ก็ได้ ๆ ไม่พูดก็ได้ครับ ไปคิดเงินกันนะอย่าโมโหสิ”วินทร์หยุดพูดเมื่อเห็นสายตาขุ่นเขียวที่ส่งมาให้เขา ตอนนี้เขาจะไม่ยั่วโมโหเ
“อะไรวะไอ้กร อย่ามาขู่กูเลย”“กูไม่ได้ขู่แต่มึงไม่เห็นเหรอ พ่อพยายามมาหลายปีให้มิวยอมรับ มึงว่ามหาลัยเรามีทุนให้เรียนมากขนาดนั้นเลยเหรอ”“มึงจะบอกว่าทุนที่มิวคิดว่าเป็นทุนจากมหาลัยนั่นที่จริงแล้ว…”“ทุนจากพ่อทั้งนั้นแหละ พ่อจัดการและคุยกับคณบดีโดยตรงโดยที่มิวไม่รู้มาสามปี ทั้งค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลของยายและงานศพทั้งหมดนี่ก็ด้วย น้าสายรู้ดีที่สุดแต่มิวไม่รู้คิดว่าน้าสายจะเคลียร์หลังงานจบน่ะ”“กูเริ่มจะกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้วสิทีนี้”“ไม่ต้องห่วงหรอก แม้ว่าพ่อจะดีใจที่ได้ลูกสาวคืนแต่ก็คงไม่ถึงกับสั่งห้ามมิวเรื่องมึงหรอก แค่ต้องระวังให้มาก ๆ หน่อยเท่านั้น เกิดมึงอะไรพลาดขึ้นมากูแค่จะเตือนว่าแม้แต่กูก็ช่วยมึงไม่ได้เท่านั้นเอง”“เฮ้อ จากมิวคนเดียวที่ว่าง้อยากแล้ว นี่ยังเพิ่มพ่อตามาอีกคน กูตายแน่ ๆ ไม่เคยคิดเลยว่ามีเมียมันจะยากขนาดนี้”“เฮ้ย นี่มึงจะถอยตอนนี้เหรอวะ”“ฝันไปเถอะ กูรักของกูขนาดนี้มีเหรอจะยอมแพ้”“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ดูเหมือนว่ามึงจะทิ้งลายเจ้าชู้แล้วจริง ๆ เหรอวะไอ้วินทร์”“เออ ตั้งแต่กูเจอมิวกูก็ไม่ต้องการผู้หญิงคนอื่น ไม่คิดอยากจะหาและไม่มีอารมณ์กับใครด้วยนอกจากมิว”“มึงกล้าพูดแ
“ไอ้ธิศเนี่ยนะ! ไปยกของบ้าไปแล้วแน่ ๆ คนอย่างมันน่ะเหรอจะ…”“เอาไปไว้ทางโน้นค่ะ เร็ว ๆ เลยเหลืออีกหลายตัว”“ครับ ๆ รู้แล้ว ๆ ไม่ต้องดุมากได้ไหมชาติก่อนเป็นแมวเหรอขู่เก่งจัง”วีรภัทรหันไปมองนิธิศที่กำลังช่วยเพื่อนของมิวอีกคนยกพานพุ่มเข้าไปเก็บข้างใน ดูเหมือนจะเป็นพานที่ใช้ประกอบพิธีในคืนพรุ่งนี้ ตามไปด้วยเพื่อนที่เป็นสาวสองที่ชื่อริชชี่และแยมที่ช่วยกันยก “มีอีกไหม แรงพี่ยังเหลือนะ”“โน่นค่ะ แล้วอย่าบ่นนะว่าหนักขนาดริชชี่เป็นสาวยังยกไหวเลย”“ใครจะไปถึกเหมือนไอ้บ้านั่น”“พี่ธิศ!”“ครับ ๆ ไม่ว่า ๆ น้องริชชี่คนสวยมีอะไรให้พี่ช่วยอีกไหมครับ”“แหมยังเหลืออีกไม่เยอะค่ะ แยมแกก็อย่าไปขู่พี่เขามากสิ เดี๋ยวเขาก็ไม่ช่วยหรอก”“ก็….”“ไปน่า ๆ น้องแยมไม่ต้องพูด ไปช่วยพี่ยกของก่อนดีกว่ามาเถอะ ๆ”“นี่! ปล่อยมือนะพี่ธิศ บ้าเหรอมาลากแยมทำไม”แคร์หันไปแค่ยิ้มและหันมาจัดการข้าวต้มในชามตัวเองก่อนจะหันมามองท่าทางตกตะลึงของวีรภัทรที่ไม่เคยเห็นเพื่อนของเขาทำแบบนี้มาก่อน นิธิศเป็นคนปากดีและหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก นอกจากมิวที่เคยด่าเขาหน้าคณะจนอายแล้วยังไม่เคยเห็นนิธิศยอมให้ผู้หญิงคนไหนใช้งานแบบนี้มาก่อน“เป็นไปได้
มิวเองก็รู้ตัวว่าเคยทะเลาะกับน้าเรื่องนี้บ่อย ๆ หลายครั้งที่น้าสายบอกให้มิวลองติดต่อพ่อเพราะยายต้องรักษาตัว แต่เป็นมิวที่ดื้อและยืนยันว่าจะทำงานและหาเงินมารักษายายให้ได้ จนอาการของยายทรุดหนักลงเธอจึงหยุดเถียงน้าสาย และตัวน้าเองก็เลือกจะเงียบไปเพราะกลัวว่าอาการของยายจะแย่ลง“มิว…”“น้าไม่โทษแกหรอกเพราะแกก็ดื้อไม่ต่างกับแม่ แต่สุดท้ายแล้วแม่ก็ให้อภัยและยอมรับพ่อของมิว แม้ว่าจะยังไม่ทันได้จดทะเบียนสมรสแต่พ่อของมิวก็ตั้งใจที่จะมาที่นี่และอยู่กับแม่ของมิว”มิวปล่อยโฮเมื่อความจริงทั้งหมดออกมาจากน้าสาย เป็นเธอที่ดื้อรั้นไม่รับฟังจนยายเสียไป เวลานานเป็นสิบปีกว่าที่เธอจะเข้าใจ บัญชีเงินฝากมีเงินในนั้นเกือบสามล้านบาทเพราะพ่อของเธอโอนมาฝากให้เป็นประจำโดยที่ไม่มีการถอนออกมา ค่ารักษาของยายและทุนการศึกษาที่เธอได้เรียนทุกวันนี้ก็เป็นพ่อที่จ่ายให้“น้าสายมิวควรจะทำยังไงดี มิวไม่เคยรู้ว่าแม่อภัยให้เขาแล้วแต่ว่ามิว…”“น้าเข้าใจที่มิวโกรธ แต่ตอนนั้นมิวยังเด็กจึงดื้อไม่ฟังใครน้ากับยายก็เข้าใจ ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงพ่อมิวก็จะโกรธและไม่คุยกับคนอื่น ยายไม่อยากเห็นมิวเป็นแบบนั้นก็เลยเลี่ยงไม่พูดมาตลอด น้าผิด
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นสาเหตุที่มิวเกลียดพ่อสินะ”"ใช่ พ่อเองก็รู้ตัวว่าทำผิด แต่ทุกเรื่องมันมีเหตุผล อีกอย่างเรื่องที่แม่ทำก็ไม่ได้ถูกต้องแม้ว่าพ่อจะรับผิดชอบ แต่ก็ไม่เคยละเลยน้าสุดากับมิว แม้ว่าน้าสุดาจะไม่ยอมรับจนถึงวันสุดท้ายก็ตาม ยายกับน้าสายรู้ดีว่าเธอปากแข็งไปเท่านั้นเพราะก่อนจะสิ้นใจพ่อได้มีโอกาสมาหาเธอและกอดเธอเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันจนน้าสุดาเสีย แต่เรื่องนี้มิวไม่รู้เรื่องและพ่อก็ไม่เคยปริปากบอกเธอเพราะยังรู้สึกผิดอยู่“ฉิบหายทำไมเรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้วะ แล้วกูจะพูดยังไงกับมิวดี จะช่วยมึงกับคุณอายังไงวะ”“ไม่ต้องหรอกพ่อบอกแล้วว่ายังไงเรื่องแบบนี้ก็คงต้องใช้เวลา พ่อบอกรอได้จนกว่ามิวจะพร้อม อีกอย่างคุณย่าก็ไม่อยู่แล้ว ส่วนแม่ก็หย่ากับพ่อแยกทางกันนานแล้วต่อไปก็คงไม่มีอะไรต้องห่วงอีก วันนี้ที่พ่อมาก็แค่อยากมาส่งยายครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง”“เข้าใจแล้วเอาเป็นว่ากูจะค่อย ๆ พูดกับมิวให้ ยังไงท่านก็เป็นพ่อ อีกอย่างพ่อมึงก็ไม่ได้จะขาดความรับผิดชอบ แม่่ของมิวรู้ทุกเรื่องแต่ไม่มีโอกาสได้บอกมิว”“มึงก็รู้ว่ามิว…”“กูต้องรู้สิ มิวปากแข็งแต่ใจอ่อน นิสัยคงไม่ต่างกับแม่ของเ