แนะนำตัวละครเตียวหยวนหยวน สตรีโฉมงาม ลูกสาวของตู้เจวียนที่ตรอมใจตาย คือตัวละครนางร้ายเจ้าน้ำตา นางป่วยเป็นไข้ลมหนาว จากนั้นต้าหยวนหญิงสาวจากโลกปัจจุบันก็ทะลุมิติเข้ามาอาศัยในร่างนี้กัวเจิ้งอี้ องค์ชายผู้งามสง่า แต่ชีกอ และไร้ประโยชน์ หลังแพ้สงคราม เขาได้รับมอบหมายจาก ฮ่องเต้ผิงกัวให้เคลื่อนทัพมาประจำที่ หมู่บ้านหลัวโป เพื่อทำภารกิจลับสุดยอดจางเสิ่นถัง ท่านชายผู้สูงศักดิ์ตัวประกันคนสำคัญของ แคว้นซีเฉิง และเขาเป็นอาจารย์ของเตียว หยวนหยวนด้วย เตียวเยว่ซือ นางเอกในนิยาย น่ารักสดใส มีเสน่ห์ล้น เหลือ มักถูกเตียวหยวนหยวนใช้อุบาย กลั่นแกล้งอยู่เสมอไป๋สิงฝู ฮูหยินรองสกุลเตียว หน้าเนื้อใจเสือ ทำทุก อย่างเพื่อให้ลูกสาวของตนได้สามีที่ดีเตียวซุน คุณชายใหญ่ตระกูลเตียว มีหัวการค้า รักความสบาย มักมากในกาม เตียวเหิง ใต้เท้าเตียว อดีตคือราชครูประจำแคว้นซีเฉิง จิตใจกว้างขวาง แต
โลกปัจจุบัน เมื่อดวงกลมโตที่กำลังอ่านนิยายบนหน้าจอแท็ปแล็ตพร่ามัว ต้าหยวนจึงขยับแว่นสายตาอีกหน และรีเฟรซหน้าจอแท็ปแล็ต เพราะจู่ๆ มันค้างไม่แสดงหน้าถัดไป ทว่าพอทำเช่นนั้น หญิงสาวต้องตกใจ และร้องกรี๊ดอย่างเสียอารมณ์ ‘ระบบปรับปรุง กรุณนารอสักครู่’ เรื่องแบบนี้มักเกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มลงนิยายอยู่บ่อยๆ ด้วยมีคนเข้ามาอ่านเยอะ และงานเขียนของผู้แต่งที่ใช้ชื่อว่า ‘พระพันปีหน่ายรัก’ กำลังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ชื่นชอบนิยายอีโรติกที่มีการบรรยายเสียงร่วมรักซาบซ่าน เป็นเรื่องแนวเตียงหัก อ่างอาบน้ำแตก รวมถึงการเริงสวาทนอกสถานที่ และยังมีการใช้อุปกรณ์ช่วย ทั้งสิ่งที่กินได้และพวกเครื่องมือเครื่องไม้ที่ออกแบบมาเฉพาะทาง! อันที่จริงต้าหยวนไม่นึกสนใจนิยายของพระพันปีหน่ายรัก หากอีกฝ่ายไม่ใช่ว่าที่แม่ยายของเธอ! ที่สำคัญสตรีแม่ม่ายผู้นี้ ยังใช้วิธีการเขียนสกปรกจนไม่น่าให้อภัย เพราะตัวร้ายของอีกฝ่ายได้หยิบยืมบุคลิกของต้าหยวนไปใช้ ใช้แบบเปลืองเนื้อเปลืองตัวเสียด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ นิยายที่เปิดตัวทั้ง ‘ตำรับรักแม่ทัพอุ่นเตียง’ กับ ‘สวนสวรรค์ของไซซี’ ตัวละครนางร้าย ต้
ข้าไม่ใช่นางซินฯ สกุลเตียว ณ เรือนนอก ของตระกูลเตียว ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ต้าหยวน ต้องประหลาดใจได้มากกว่านี้ นางจำได้เรื่องราวก่อนหน้าได้อย่างแม่นยำคือ ตนเป็นสตรีวัยเฉียดสามสิบปีซึ่งมีความสุขที่สุด และกำลังจะถูกชายหนุ่มแสนเพอร์เฟค หล่อรวยลูกครึ่งไทย-ไต้หวันคุกเข่าขอแต่งงาน ทว่าทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนางฟื้นขึ้นในช่วงยามเช้าที่อากาศเย็นอยู่สักหน่อย และถูกใครบางคนสาดน้ำใส่หน้า อีกฝ่ายทำหน้าตาไม่เป็นมิตร แถมยังเท้าสะเอว พร้อมปั้นหน้าราวกับเป็นตัวประกอบร้ายๆ พวกปลายแถว เฮ้อ นี่มันคงเป็นนิยายห้าบาทสิบบาทสินะ ถึงมีบทบาทเช่นนี้ในเรื่อง บัดซบที่สุด นางควรถูกกระทำเช่นนี้หรือ “ตื่นเสียทีเถิดคุณหนู หากยังนอนเป็นหมู เกรงว่าบ่าวคงต้องจุดไฟเผาฟูกของท่านแล้ว”สตรีใบหน้ายับย่น แถม ปากร้ายเอ่ยจบก็เดินไปเปิดหน้าต่างทุกบานออกแรงๆ หญิงสาวอยากหวีดร้องใส่อีกฝ่าย แต่นางดึงสติกลับได้ทัน และรีบทบทวนทุกอย่างในหัว เมื่อครู่ ราวๆ หนึ่งอึดใจ นางยังไขว่คว้าอากาศหายใจอยู่เลย และรู้สึกถึงความเย็น เย็นจนน่าใจหาย พอลืมตาอีกทีก็ถูกสาดน้ำโครมเต็มหน้า นี่ย่อมห
เขาเป็นบิดาของบุตรในท้องข้า ต้าหยวนยกมือลูบหน้าอกตนเองป้อยๆ เพื่อลดความตื่นตกใจ พอนึกถึงคำพูดที่ตะโกนอยู่ข้างนอกเรือน นางก็มีลางสังหรณ์ในแง่ร้าย “คุณหนู ต้องออกจากเรือนไปทำงานเดี๋ยวนี้! ท่านผู้นั้นมาถึงแล้ว!” หมี่หลิงเร่งต้าหยวนอย่างลืมตัวทั้งที่นางเป็นสาวใช้ แต่หลายครั้งหลายหนไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนบางอย่างแปลกๆ เลยต้องเคี่ยวเข็ญปลุกสตรีขี้เซาให้ลุกจากเตียง ทั้งที่ความจริง หากเป็นคุณหนูห้าและฮูหยินรอง หมี่หลิงแทบไม่กล้าเอ่ยคำใด ฝ่ายนั้นมักอ้างกฎต่างๆ และข่มขู่อยู่เสมอว่า จะเรียกคนค้าทาสแล้วขายหมี่หลิงออกไปเสีย “ให้ข้านอนอีกสักงีบไม่ได้หรือ” เตียวหยวนหยวนเอ่ย และไม่วายอ้าปากหาวนอน “ไม่ได้เจ้าค่ะ ภาระในสวนผัก และโรงเรือนมากมาย อย่างไรต้องทำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว มิเช่นนั้นฮูหยินรองคงหาเรื่องจับผิดคุณหนูอีก” หมี่หลิงกล่าวเช่นนั้น หากงานไม่เรียบร้อย คนแรกที่จะถูกลงโทษคือนาง “ข้ารู้แล้ว ส่วนเจ้าไปบอกคนงานเตรียมรถม้าให้ข้าที” “รถม้า!” หมี่หลิงทำตาโตด้วยความพยายามอย่างหนัก เพราะดวงตานางเรียวเล็ก นัยน์ตาดำม
เตียวหยวนหยวนนึกแล้วจึงอมยิ้มชอบใจ ผู้ชายของนาง หรือว่าที่เจ้าบ่าว เลียม หยางตง เป็นคนหล่อเหลา เสียดายอยู่นิดเดียวที่เขาหวงเนื้อหวงตัวไปหน่อย มิเช่นนั้นนางคงนอนหลับฝันดีทุกคน หากได้ล่วงเกินเขาด้วยสายตา และสองมือ! “โถ คุณหนู ท่านคงไม่ยังหายป่วย คนทั้งกองทัพล้วนมาพึ่งใบบุญใต้เท้าเตียวและก็เมืองของเราอย่างไรล่ะเจ้าคะ หลังจากพวกเขาแพ้สงครามให้เผ่าคนเถือนที่ร่วมมือกับแคว้นอื่น ฮองเต้กัวผิงมีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายกองทัพมาที่เมืองซีเฉิง จุดหมายคือหมู่บ้านหลัวโปอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดให้แคว้นสือ นอกจากนั้น พวกเขามีหน้าที่เฝ้าพืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยง พร้อมสร้างแนวกำแพงใหม่ป้องกันการโจมตีของศัตรูที่หมายตายึดหมู่บ้านของเรา” “อืม ฟังแล้วก็เข้าท่า ผู้ชายตัวโตแข็งแรง แถมถูกฝึกมาอย่างดี และพวกเขารับหน้าที่ปกป้องสตรีบอบบางเช่นข้า” หมีหลิงอึ้งจัด ฟังคำพูดของเตียวหยวนหยวนแล้ว ก็เหมือนได้ยินสตรีในตรอกโคมเขียวพูดเล่นหัวกัน! “โอ๊ะ จะดีอย่างไรเจ้าคะคุณหนู!” “อืม มีทหารมาอยู่ในหมู่บ้าน ย่อมเท่ากับการช่วยรักษาความปลอดภัย” หมี่หลิงส่ายหน้า เตียวหยวนหยวนช่าง
ท่อนแขนกำยำกับหน้าท้องแกร่ง เตียวหยวนหยวนรีบดึงสติตนกลับ นางย่อมฉลาดกว่าหมี่หลิงเพราะมาจากโลกปัจจุบัน เป็นหญิงสาวที่นับว่ามหัศจรรย์คนหนึ่งในหมู่กลุ่มเพื่อนๆ ดังนั้นจึงบอกกับอีกฝ่ายว่า “อ่อ... ข้าแค่ท่องบทละครที่เคยอ่าน หาใช่พูดความจริง” “บทละคร! คุณหนูสามหมายถึงงิ้วในโรงละครฝูไฉ อย่างนั้นหรือ” “ใช่ เจ้าไม่รู้รึ หญิงงามมักได้บุรุษที่องอาจ มากด้วยบารมีเป็นสามี” “แต่บุรุษที่ทั้งองอาจ มากบารมีที่คุณหนูเอ่ยถึงคือองค์ชายสี่นะเจ้าคะ” เตียวหยวนหยวนไม่ตอบ นางได้แต่พยายามนึก นึกว่าบุรุษแซ่กัว นามว่าเจิ้งอี้ เขามีคุณสมบัติใดที่นางควรปีนขึ้นเตียง คิดแล้วใจก็คอไม่อยู่กับเนื้อตัว ทั้งที่ไม่ชอบอ่านนิยายสักเท่าไหร่ แต่งานเขียนของแม่ว่าที่สามีกลับหลอกหลอนนาง กระทั่งทำให้ทะลุมิติมาอยู่ในโลกที่คล้ายจีนโบราณนี้ หลังจากถูกใครบางคนผลักตกระเบียง และก่อนที่จะไปดูสวนผักกับแม่หมูสาวที่กำลังจะคลอดลูก เตียวหยวนหยวนต้องร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ด้วยเบื้องหน้านางมีลำธารกว้าง บรรยากาศร่มรื่น คราแรกนางไม่คิดจะสนใจสิ่งใด ทว่าเป็นเพราะเสียงร้องเพลงที่ดังทุ้มกังวาน ส่งให้นางต้อ
จุมพิตบนแล้วต้องจุมพิตล่างด้วย “อย่า...อย่าปล่อยข้าตาย” นางไม่อยากเสียสติหรอกเช่นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มันน่าใจหายใจคว่ำเหลือเกิน สองมือเรียวป่ายแปะที่ร่างของอีกฝ่าย ซึ่งนางไม่ได้ตั้งใจซุกซนแต่เพราะกลัวจริงๆ และด้วยเพราะทรวดทรงนางเร้าใจ หน้าอกอวบสวย เอวคอดกิ่ว สะโพกพาย บั้นท้ายงอนงาม พอเคลื่อนไหวแรงๆ เรือนร่างนางนุ่มนิ่มจึงเสียดสีกับกายบุรุษ ซึ่งยามนั้นส่งไอผะผ่าวร้อนออกมาไม่หยุด แข็ง... อุ่นจัด และเกรี้ยวกราด ราวกับเจ้าป่า! ซึ่งอาจจะดุร้าย จนไม่อาจมีผู้ใดควบคุมได้ แต่ยกเว้นเตียวหยวนหยวนโฉมงามผู้นี้ หญิงสาวรับรู้ว่าท่อนไม้กึ่งกลางลำตัวบุรุษกำลังพองขยาย และมันชนกับจุดหวานล้ำของนางพอดี “หายใจไม่ออก อ๊ะ... ข้า หายใจไม่ออก!” พอเอ่ยออกแล้ว นางจึงพยายามลอยตัวเหนือน้ำ เพื่อไขว่คว้าอากาศเข้าปอด และกลายเป็นว่า ริมฝีปากอวบอิ่มนางถูกอีกฝ่ายประกบอย่างพอเหมาะพอดี และเขาปล่อยลมปราณเข้าสู่ร่างกายนางเพื่อปรับสมดุล มินานอาการตื่นตกใจ หรือลนลานจึงค่อยๆ ลดลงทีละส่วน กระทั่งเขาอุ้มนางขึ้นมาจากลำธาร หญิงส
โปรดเก็บกระบี่ไว้ในฝัก กัวเจิ้งอี้สวมเสื้อคลุมของตนให้แม่นางชุดเหลือง และนางไม่ได้แสดงท่าทางอิดออด ยังยิ้มให้เขาด้วย สตรีชุดเหลืองที่อยู่กับเขาในลำธารด้วยกัน นางเป็นหญิงสาวที่เร่าร้อน อีกทั้งทำให้เขาแข็งขัน! เรื่องนี้หากสวรรค์ไม่ลิขิตไว้ นางคงไม่ส่งเสริมให้ความเป็นชายของเขากลบมาคึกคักอีกเป็นแน่แท้ กัวเจิ้งอี้ เครียดมาร่วมสองเดือนเศษ ไม่มีจิตใจอภิรมย์ต่อสิ่งยั่วเย้ารอบกาย แม้แต่ในค่ายทหารจะหานางรำเอวอ่อน มาเต้นยักย้ายส่ายสะโพก แต่กัวเจิ้งอี้ไม่ได้หิ้วหญิงใดเข้ากระโจมของตน เพื่อโจนจ้วงความใหญ่โตเข้าสู่ความหวานล้ำของแม่นางเหล่านั้น สาเหตุเป็นเพราะเขาตกอยู่ในห้วงความคิดที่ผิดต่อตัวเอง และยังทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ส่วนฮองเฮาต้องไปถือศีลบนเขาเป็นเวลาครึ่งปี เพื่อขอให้ฮ่องเต้ยกโทษให้แก่เขา ดังนั้นเวลาที่ผ่านมา เขาได้แต่คิดว่าตนไม่ปกติ ไร้ความรู้สึกกับสตรีเพศ ถึงขั้นตายด้าน จึงทำให้เขาดื่มสุราหนัก บ้าการฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นคนเลือดร้อน มีความฉุนเฉียว ทั้งงุ่นง่าน ทว่าเหตุใดเพื่อได้ยลโฉมงามนางนี้ เขากลับรู้สึกว่าตนกลับคืนสู่ความหนุ่มแน่น เลือดในกายร้อนผ่าวไหลเวียนได
เกิดการค้นหานิยายของนักเขียนท่านนั้นมาอ่าน และเตียวหยวนหยวนคุ้น นางรู้สึกคุ้นมาก จนต้องทึ่งจัด เมื่อพบจุดใต้ตำตอบ นางต้องร้องอ๋อ เพราะมีฉากเกี่ยวกับแม่ผัวและลูกสะใภ้ทะเลาะกันจนบ้านเกือบพัง แต่ละคำพูด การกระทำ ช่างเหมือนที่นางวิวาทะกับเหม่ยหลิน มารดาของแฟนหนุ่มนางในโลกที่จากมา “ถ้าได้สะใภ้ดี ลูกชายฉันคงมีสง่าราศีมากกว่านี้ ผู้หญิงอย่างเธอ เกิดมาเพื่อฉุดให้สามีลงเหว หน้าที่การงานพังหมด ซ้ำร้ายยังปากไม่มีหูรูด ทำเรื่องขายขี้หน้าไม่เว้นวัน คิดหรือว่าเลียมจะทนพฤติกรรมของเธอได้” เหม่ยหลิน หมายถึงลูกชายคนเล็กของตน เลียม หยางตง* คนรักของเตียวหยวนหยวน “คุณแม่...พูดไม่ถูกต้องนะคะ” “ฮึ ใครเป็นแม่เธอ ฉันไม่เคยคิดรับผู้หญิงแบบนี้เข้าตระกูล แม้แต่รับไหว้ฉันยังบอกให้เธอกองไว้ตรงพื้นเลย” เตียวหยวนหยวนนึกถึงคำพูดเจ็บแสบของเหมยหลิน สตรีผู้เป็นว่าที่แม่สามี และนั่นทำให้นางเจ็บช้ำใจ และเริ่มสืบเสาะสิ่งที่จะหาทางแก้เผ็ดอีกฝ่าย กระทั่งพบว่านิยายคาวโลกีย์ที่ดังกระฉ่อน คนเขียนก็คือเหม่ยหลิน สตรีวัยเกือบหกสิบกะรัต ที่ยังคันในร่มผ้า จนต้องหาทางระบายด้วยการเขียนเรื่องอ้าๆ หุบๆ พร้
หลอกล่อบุรุษด้วยลิ้น เตียวหยวนหยวนนิ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่กอดและเกาะแกะกายแกร่งราวกับตกอยู่ในอำนาจแห่งราคะ ริมฝีปากนางเผยออ้า อ้าขึ้นแล้วหุบ ก่อนจะอ้าใหม่อย่างเคลิบเคลิ้มต่อความหล่อเหลาของกัวเจิ้งอี้ อีกฝ่ายคือบุรุษผมยาวผิวขาวจัด หน้าอกแกร่ง และยามนี้เขายังกระดิกแผงหน้าอกด้านซ้ายที ขวาทีจงใจหวานเสน่ห์ ให้นางหลงใหล และยอดหน้าอกสีชมพูเข้มก็ล่อตาล่อใจนาง จนเลือดกำเดาพาลจะไหล! มือใหญ่เชยคางนางขึ้น แล้วเลื่อนริมฝีปากบางสีสดที่สวยของเขาเข้ามาใกล้ ๆ “ชิมได้ไหม ให้ข้าชิมเนื้อกว้างหวานๆ จากปากหยวนหยวนสักคำ” เตียวหยวนหยวนกำลังจะเคลิ้มไหว ทำอย่างไรได้ตัวละครนี้เป็นนางร้าย และแอบได้เสียกับผู้ชาย มันคงเป็นเรื่องที่ว่าที่แม่สามีเขียนเอาไว้ แถมเขียนได้ดี แบบหลายกระบวนท่าอย่างไม่นึกห่วงช่วงล่างของนาง เมื่อครั้งนางได้อ่านยังหัวร้อน หญิงสาวอยากยื่นมือเข้าไปตบสตรีใจร่านในเรื่อง ทว่า...ช้าก่อน หากฝ่ายหญิงให้ท่าคนเดียว เรื่องงามหน้าคงไม่เกิด และนี่ก็ดูเหมือนว่า กัวเจิ้งอี้ ก็พร้อมจะหลอมไฟสิเน่หาเข้ามารวมกับร่างของเตียวหยวนหยวน จะว่าไปก็น่าสงสาร นอกจากความงาม แ
ตำราพลิกสวรรค์ เตียวหยวนหยวน ร้อนวูบวาบในร่มผ้า แทนที่จะเห็นการ์ดตัวละครของกัวเจิ้งอี้ นางกลับเห็นฉากยามที่เขาสับสะโพกไหวกับสตรีนางหนึ่ง และมันประกอบกลอนของว่าที่แม่สามี ซึ่งเขียนได้อย่างสัปดนที่สุด ตั้บๆ อ้าๆ ฉีกแข้ง ฉีกขา เขียนตำราพลิกสวรรค์ สามขา สองเต้าหู้ มังกรหมุดถ้ำ โน้มเนื้อ เลือนลั่น อ๊ะ ฮ้า อี้ๆ ๆ สุขสันต์ฟาดฟันสนั่นปฐพี และยามนี้ขาที่สามของกัวเจิ้งอี้ เหมือนจะพองขยาย และเตรียมจู่โจมนาง มันใหญ่โตนัก ซึ่งดูเหมือนว่านางไม่อาจสลัดภาพดังกล่าวหลุดทิ้งจากหัวได้ง่ายๆ “อย่า อย่าเอามันเข้ามาใกล้หม่อมฉัน” เตียวหยวนหยวนเอ่ย และยกมือขึ้นปัดป้องภาพของแท่งหยกกัวเจิ้งอี้ “เอ เจ้าเป็นไข้หรือไม่ เหตุใดใบหน้าถึงได้แดง และมีอาการประหลาดเช่นนั้น” “ปละ เปล่าเสียหน่อย เป็นเพราะอ๋องเจิ้ง เอาแต่รั้งหม่อมฉันไว้เช่นนี้ ถึงได้กลัวจะไปดูแม่หมูคลอดลูกไม่ทัน” “อืม เช่นนั้น ให้ข้ารีบไปส่งเจ้าดีหรือไม่” เอ่ยจบเขาก็ไม่รอให้นางได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างของนางก็ลอยหวือ และไม่ได้ขึ้นรถม้าอันใด หากถูกจับให้นั่งบนม้าตัวโต โดยมีเ
โปรดเก็บกระบี่ไว้ในฝัก กัวเจิ้งอี้สวมเสื้อคลุมของตนให้แม่นางชุดเหลือง และนางไม่ได้แสดงท่าทางอิดออด ยังยิ้มให้เขาด้วย สตรีชุดเหลืองที่อยู่กับเขาในลำธารด้วยกัน นางเป็นหญิงสาวที่เร่าร้อน อีกทั้งทำให้เขาแข็งขัน! เรื่องนี้หากสวรรค์ไม่ลิขิตไว้ นางคงไม่ส่งเสริมให้ความเป็นชายของเขากลบมาคึกคักอีกเป็นแน่แท้ กัวเจิ้งอี้ เครียดมาร่วมสองเดือนเศษ ไม่มีจิตใจอภิรมย์ต่อสิ่งยั่วเย้ารอบกาย แม้แต่ในค่ายทหารจะหานางรำเอวอ่อน มาเต้นยักย้ายส่ายสะโพก แต่กัวเจิ้งอี้ไม่ได้หิ้วหญิงใดเข้ากระโจมของตน เพื่อโจนจ้วงความใหญ่โตเข้าสู่ความหวานล้ำของแม่นางเหล่านั้น สาเหตุเป็นเพราะเขาตกอยู่ในห้วงความคิดที่ผิดต่อตัวเอง และยังทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ส่วนฮองเฮาต้องไปถือศีลบนเขาเป็นเวลาครึ่งปี เพื่อขอให้ฮ่องเต้ยกโทษให้แก่เขา ดังนั้นเวลาที่ผ่านมา เขาได้แต่คิดว่าตนไม่ปกติ ไร้ความรู้สึกกับสตรีเพศ ถึงขั้นตายด้าน จึงทำให้เขาดื่มสุราหนัก บ้าการฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นคนเลือดร้อน มีความฉุนเฉียว ทั้งงุ่นง่าน ทว่าเหตุใดเพื่อได้ยลโฉมงามนางนี้ เขากลับรู้สึกว่าตนกลับคืนสู่ความหนุ่มแน่น เลือดในกายร้อนผ่าวไหลเวียนได
จุมพิตบนแล้วต้องจุมพิตล่างด้วย “อย่า...อย่าปล่อยข้าตาย” นางไม่อยากเสียสติหรอกเช่นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มันน่าใจหายใจคว่ำเหลือเกิน สองมือเรียวป่ายแปะที่ร่างของอีกฝ่าย ซึ่งนางไม่ได้ตั้งใจซุกซนแต่เพราะกลัวจริงๆ และด้วยเพราะทรวดทรงนางเร้าใจ หน้าอกอวบสวย เอวคอดกิ่ว สะโพกพาย บั้นท้ายงอนงาม พอเคลื่อนไหวแรงๆ เรือนร่างนางนุ่มนิ่มจึงเสียดสีกับกายบุรุษ ซึ่งยามนั้นส่งไอผะผ่าวร้อนออกมาไม่หยุด แข็ง... อุ่นจัด และเกรี้ยวกราด ราวกับเจ้าป่า! ซึ่งอาจจะดุร้าย จนไม่อาจมีผู้ใดควบคุมได้ แต่ยกเว้นเตียวหยวนหยวนโฉมงามผู้นี้ หญิงสาวรับรู้ว่าท่อนไม้กึ่งกลางลำตัวบุรุษกำลังพองขยาย และมันชนกับจุดหวานล้ำของนางพอดี “หายใจไม่ออก อ๊ะ... ข้า หายใจไม่ออก!” พอเอ่ยออกแล้ว นางจึงพยายามลอยตัวเหนือน้ำ เพื่อไขว่คว้าอากาศเข้าปอด และกลายเป็นว่า ริมฝีปากอวบอิ่มนางถูกอีกฝ่ายประกบอย่างพอเหมาะพอดี และเขาปล่อยลมปราณเข้าสู่ร่างกายนางเพื่อปรับสมดุล มินานอาการตื่นตกใจ หรือลนลานจึงค่อยๆ ลดลงทีละส่วน กระทั่งเขาอุ้มนางขึ้นมาจากลำธาร หญิงส
ท่อนแขนกำยำกับหน้าท้องแกร่ง เตียวหยวนหยวนรีบดึงสติตนกลับ นางย่อมฉลาดกว่าหมี่หลิงเพราะมาจากโลกปัจจุบัน เป็นหญิงสาวที่นับว่ามหัศจรรย์คนหนึ่งในหมู่กลุ่มเพื่อนๆ ดังนั้นจึงบอกกับอีกฝ่ายว่า “อ่อ... ข้าแค่ท่องบทละครที่เคยอ่าน หาใช่พูดความจริง” “บทละคร! คุณหนูสามหมายถึงงิ้วในโรงละครฝูไฉ อย่างนั้นหรือ” “ใช่ เจ้าไม่รู้รึ หญิงงามมักได้บุรุษที่องอาจ มากด้วยบารมีเป็นสามี” “แต่บุรุษที่ทั้งองอาจ มากบารมีที่คุณหนูเอ่ยถึงคือองค์ชายสี่นะเจ้าคะ” เตียวหยวนหยวนไม่ตอบ นางได้แต่พยายามนึก นึกว่าบุรุษแซ่กัว นามว่าเจิ้งอี้ เขามีคุณสมบัติใดที่นางควรปีนขึ้นเตียง คิดแล้วใจก็คอไม่อยู่กับเนื้อตัว ทั้งที่ไม่ชอบอ่านนิยายสักเท่าไหร่ แต่งานเขียนของแม่ว่าที่สามีกลับหลอกหลอนนาง กระทั่งทำให้ทะลุมิติมาอยู่ในโลกที่คล้ายจีนโบราณนี้ หลังจากถูกใครบางคนผลักตกระเบียง และก่อนที่จะไปดูสวนผักกับแม่หมูสาวที่กำลังจะคลอดลูก เตียวหยวนหยวนต้องร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ด้วยเบื้องหน้านางมีลำธารกว้าง บรรยากาศร่มรื่น คราแรกนางไม่คิดจะสนใจสิ่งใด ทว่าเป็นเพราะเสียงร้องเพลงที่ดังทุ้มกังวาน ส่งให้นางต้อ
เตียวหยวนหยวนนึกแล้วจึงอมยิ้มชอบใจ ผู้ชายของนาง หรือว่าที่เจ้าบ่าว เลียม หยางตง เป็นคนหล่อเหลา เสียดายอยู่นิดเดียวที่เขาหวงเนื้อหวงตัวไปหน่อย มิเช่นนั้นนางคงนอนหลับฝันดีทุกคน หากได้ล่วงเกินเขาด้วยสายตา และสองมือ! “โถ คุณหนู ท่านคงไม่ยังหายป่วย คนทั้งกองทัพล้วนมาพึ่งใบบุญใต้เท้าเตียวและก็เมืองของเราอย่างไรล่ะเจ้าคะ หลังจากพวกเขาแพ้สงครามให้เผ่าคนเถือนที่ร่วมมือกับแคว้นอื่น ฮองเต้กัวผิงมีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายกองทัพมาที่เมืองซีเฉิง จุดหมายคือหมู่บ้านหลัวโปอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดให้แคว้นสือ นอกจากนั้น พวกเขามีหน้าที่เฝ้าพืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยง พร้อมสร้างแนวกำแพงใหม่ป้องกันการโจมตีของศัตรูที่หมายตายึดหมู่บ้านของเรา” “อืม ฟังแล้วก็เข้าท่า ผู้ชายตัวโตแข็งแรง แถมถูกฝึกมาอย่างดี และพวกเขารับหน้าที่ปกป้องสตรีบอบบางเช่นข้า” หมีหลิงอึ้งจัด ฟังคำพูดของเตียวหยวนหยวนแล้ว ก็เหมือนได้ยินสตรีในตรอกโคมเขียวพูดเล่นหัวกัน! “โอ๊ะ จะดีอย่างไรเจ้าคะคุณหนู!” “อืม มีทหารมาอยู่ในหมู่บ้าน ย่อมเท่ากับการช่วยรักษาความปลอดภัย” หมี่หลิงส่ายหน้า เตียวหยวนหยวนช่าง
เขาเป็นบิดาของบุตรในท้องข้า ต้าหยวนยกมือลูบหน้าอกตนเองป้อยๆ เพื่อลดความตื่นตกใจ พอนึกถึงคำพูดที่ตะโกนอยู่ข้างนอกเรือน นางก็มีลางสังหรณ์ในแง่ร้าย “คุณหนู ต้องออกจากเรือนไปทำงานเดี๋ยวนี้! ท่านผู้นั้นมาถึงแล้ว!” หมี่หลิงเร่งต้าหยวนอย่างลืมตัวทั้งที่นางเป็นสาวใช้ แต่หลายครั้งหลายหนไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนบางอย่างแปลกๆ เลยต้องเคี่ยวเข็ญปลุกสตรีขี้เซาให้ลุกจากเตียง ทั้งที่ความจริง หากเป็นคุณหนูห้าและฮูหยินรอง หมี่หลิงแทบไม่กล้าเอ่ยคำใด ฝ่ายนั้นมักอ้างกฎต่างๆ และข่มขู่อยู่เสมอว่า จะเรียกคนค้าทาสแล้วขายหมี่หลิงออกไปเสีย “ให้ข้านอนอีกสักงีบไม่ได้หรือ” เตียวหยวนหยวนเอ่ย และไม่วายอ้าปากหาวนอน “ไม่ได้เจ้าค่ะ ภาระในสวนผัก และโรงเรือนมากมาย อย่างไรต้องทำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว มิเช่นนั้นฮูหยินรองคงหาเรื่องจับผิดคุณหนูอีก” หมี่หลิงกล่าวเช่นนั้น หากงานไม่เรียบร้อย คนแรกที่จะถูกลงโทษคือนาง “ข้ารู้แล้ว ส่วนเจ้าไปบอกคนงานเตรียมรถม้าให้ข้าที” “รถม้า!” หมี่หลิงทำตาโตด้วยความพยายามอย่างหนัก เพราะดวงตานางเรียวเล็ก นัยน์ตาดำม
ข้าไม่ใช่นางซินฯ สกุลเตียว ณ เรือนนอก ของตระกูลเตียว ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ต้าหยวน ต้องประหลาดใจได้มากกว่านี้ นางจำได้เรื่องราวก่อนหน้าได้อย่างแม่นยำคือ ตนเป็นสตรีวัยเฉียดสามสิบปีซึ่งมีความสุขที่สุด และกำลังจะถูกชายหนุ่มแสนเพอร์เฟค หล่อรวยลูกครึ่งไทย-ไต้หวันคุกเข่าขอแต่งงาน ทว่าทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนางฟื้นขึ้นในช่วงยามเช้าที่อากาศเย็นอยู่สักหน่อย และถูกใครบางคนสาดน้ำใส่หน้า อีกฝ่ายทำหน้าตาไม่เป็นมิตร แถมยังเท้าสะเอว พร้อมปั้นหน้าราวกับเป็นตัวประกอบร้ายๆ พวกปลายแถว เฮ้อ นี่มันคงเป็นนิยายห้าบาทสิบบาทสินะ ถึงมีบทบาทเช่นนี้ในเรื่อง บัดซบที่สุด นางควรถูกกระทำเช่นนี้หรือ “ตื่นเสียทีเถิดคุณหนู หากยังนอนเป็นหมู เกรงว่าบ่าวคงต้องจุดไฟเผาฟูกของท่านแล้ว”สตรีใบหน้ายับย่น แถม ปากร้ายเอ่ยจบก็เดินไปเปิดหน้าต่างทุกบานออกแรงๆ หญิงสาวอยากหวีดร้องใส่อีกฝ่าย แต่นางดึงสติกลับได้ทัน และรีบทบทวนทุกอย่างในหัว เมื่อครู่ ราวๆ หนึ่งอึดใจ นางยังไขว่คว้าอากาศหายใจอยู่เลย และรู้สึกถึงความเย็น เย็นจนน่าใจหาย พอลืมตาอีกทีก็ถูกสาดน้ำโครมเต็มหน้า นี่ย่อมห