ตลอดทางเดินอ๋าวหลวนหลงได้เห็นต้นผลไม้หลากชนิดมีฝูงสัตว์เล็กออกหากินตามธรรมชาติอยู่มากมาย พอเริ่มเข้าใกล้น้ำตกอากาศก็เย็นสบายขึ้นมีเสียงน้ำไหลรินพร้อมกับเสียงนกร้องแว่วมาเป็นระยะมู่เหยาจีเลือกให้เขานั่งลงตรงโขดหินเรียบ มีก้อนหินใหญ่หลายก้อนโอบล้อมบดบังสายตาที่นางเคยใช้เป็นสถานที่อาบน้ำเป็นประจำเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้สร้างเรือนนางหันไปจัดการกับตะกร้าเสื้อผ้าที่เตรียมมาสำหรับให้อ๋าวหลวนหลง แต่เมื่อหันกลับมาอีกทีหญิงสาวก็ต้องตกใจจนร้องเสียงหลง“กรี๊ด!!” หญิงสาวยกสองมือขึ้นปิดบังใบหน้าเอาไว้แน่น “ท่านทำบ้าอะไรกันเนี่ย อยู่ดีๆ มาถอดเสื้อกลางป่ากลางเขาไม่รู้จักอับอายบ้างหรือไร!”“ข้าผิดตรงไหน? ข้าก็แค่จะอาบน้ำ หรือเวลาอาบน้ำเจ้าไม่ถอดเสื้อผ้า”มู่เหยาจีปิดตาเอาไว้แน่น แต่นางรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่รอบตัวชัดเจน อ๋าวหลวนหลงขยับตัวเข้ามาประชิดตัวนางในระยะห่างไม่ถึงฉื่อจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาชัดเจน“อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!” มู่เหยาจีถอยหลังกรูด เป็นเพราะมองไม่เห็นและตั้งหลักไม่ทันร่างงามจึงลื่นล้มลงไปกองกับพื้น“เหยาจี!!” อ๋าวหลวนหลงใจหายวาบ เขาก็แค่คิดจะหยอกล้อนิดหน่
“พี่สี่!!” มู่เหยาจีเพิ่งจะตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ไม่ทันไรเด็กสาวอีกสองคนก็วิ่งพรวดพราดมาล้อมหน้าล้อมหลังอ๋าวหลวนหลงไว้อีกคู่หนึ่งนางเอียงคอข้ามลำตัวของท่านอาเกาโหลวมองไปยังกลุ่มสตรีทั้งสามที่ยังคงชื่นชมอกขาวผ่องเป็นยองใยของอ๋าวหลวนหลงด้วยความรู้สึกโหวงหวิวพิกล ที่แท้คุณชายสี่ก็มักจะเปิดเผยเนื้อตัวให้ผู้อื่นเห็นเป็นประจำสินะ เป็นนางเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดและคิดฟุ้งซ่านไปคนเดียว“หยุดให้หมด!! พวกเจ้าตามข้ากลับไปที่เรือนเดี๋ยวนี้เลย!!” อ๋าวหลวนหลงใช้สองมือมาปกปิดรอยขาดขนาดใหญ่บนแผงอกเอาไว้แน่น สภาพน่าอายเช่นนี้เขายืนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว“ส่วนท่าน..” ชายหนุ่มยังไม่รู้จักเกาโหลว เพราะยามนั้นเขายังไม่มีสติดีแต่เห็นอีกฝ่ายพูดคุยกับมู่เหยาจีอย่างสนิทสนมก็พอจะเดาได้ว่าเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะลอย“ข้าเกาโหลว เป็นหัวหน้าของชาวบ้านเหล่านี้ขอรับ พวกเรา 15 คนที่เดินทางไปที่เมืองหลงเทียนล้วนสามารถเข้ารับการฝึกฝนเป็นผู้ฝึกตนได้ แต่ข้าต้องเดินทางกลับมาด้วยเพราะไม่มีผู้ใดชำนาญทิศทางเดินเรือเท่าข้าแล้ว”“เช่นนั้นท่านก็ตามข้ากลับไปที่เรือนด้วยเลย ผลไม้เหล่านั้นปล่อยให้พวกนั้นทำกันไป
“คุณชายสี่ ท่านพาแม่นางซินกลับไปด้วยจะดีกว่าเจ้าค่ะ” อ๋าวหลวนหลงถอนหายใจยาวเหยียดออกมาปั้นหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง เมื่อครู่เขาเห็นนางกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ยังคิดว่ามู่เหยาจีจะมาร่ำลาตนด้วยความเป็นห่วง ที่ไหนได้นางกลับมาพูดเรื่องของผู้อื่น“นางทำอะไรให้เจ้าลำบากใจหรือไร ที่นี่ไม่มีสี่เสิน ไม่มีข้า มีนางอยู่ข้าวางใจกว่านะ”“สัตว์เลี้ยงของข้ามาถึงที่นี่ครบเก้าตัวแล้วเจ้าค่ะ พวกมันปรากฏกายให้ข้าเห็นแล้ว เต่า ปลาและหอยมีขนาดใหญ่พอๆ กับปลาหมึกทั้งสามตัวเลยข้าว่าคงไม่มีใครเข้ามาที่นี่ได้ง่ายเป็นแน่ แม่นางซินไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอันใดให้ข้าแต่นางอาจจะเสียใจหากไม่ได้กลับไปพร้อมกับท่านนะเจ้าคะ”“ต่อให้สัตว์เลี้ยงของเจ้าจะปกป้องเกาะลอยเอาไว้ได้ แต่น้องสาวสองคนของข้าก็อยู่ที่นี่ ให้ซินหรูอี้ช่วยสั่งสอนนางไปพลางๆ อยู่นี่นั่นล่ะดีแล้ว”มู่เหยาจีกัดริมฝีปากตัวเองจนแดงก่ำ ต่อให้นางยังไม่รู้เรื่องระหว่างหญิงชายมากนักแต่ใช่ว่าจะไร้เดียงสาไปเสียทีเดียว บนเกาะมีคู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันหลายครอบครัวพวกเขาล้วนรักใคร่เป็นห่วงเป็นใยกัน แต่อ๋าวหลวนหลงกลับเลือดเย็น เมื่อคืนเขากับซินหรูอี้ยังนอนอยู่ด้วยกันแท้ๆ
แนวเทือกเขาเขตพื้นที่ของตระกูลอ๋าว“พวกเจ้าดูข้าให้ดีนะ” มู่สี่เสินหันไปคุยกับลิงน้อยจากเกาะลอยที่แอบลงเรือติดตามเขามายังแผ่นดินใหญ่ชายหนุ่มเริ่มต้นฝึกฝนวิชายุทธ์และก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะลอยมู่สี่เสินได้พยายามอย่างเต็มที่ในการสะสมพลังปราณไว้ในร่างกาย กอปรกับผลท้อที่เขากินเข้าไปทุกวันก็มีส่วนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จได้รวดเร็วกว่าปกติมู่สี่เสินกำหนดพลังปราณไปที่ต้นไม้ขนาดเล็กต้นหนึ่ง พลังไร้รูปแฝงไอสีเหลืองอำพันวิ่งผ่านสายตาลิงน้อยนับสิบไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็เกิดเสียงดังสนั่นต้นไม้ที่เป็นเป้าหมายลำต้นแตกกระจุยขาดครึ่งต้นในชั่วพริบตา“เจี๊ยกๆๆๆๆๆๆๆ”“ฮ่าๆๆๆ ข้าเก่งใช่ไหมเล่าลิงน้อย มาๆ เดี๋ยวข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดูอีกสักสองสามกระบวนท่าเป็นอย่างไร"กลุ่มลิงน้อยสิบเอ็ดตัวกระโดดมาขี่คอและปีนป่ายร่างกายของมนุษย์ตัวสูงด้วยความยินดี ส่งเสียงร้องกันระงมจนมู่สี่เสินต้องเอ่ยปากตักเตือน“พวกเจ้าเบาๆ หน่อยสิ ที่นี่เป็นบ้านผู้อื่นนะไม่ใช่เกาะลอย ห้ามพวกเจ้าดื้อซนเด็ดขาดไม่เช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะจับพวกเจ้าขังกรงแล้วส่งกลับไปอยู่กับเหยาจีตามเดิม”จู่ๆ ลิง
“อากุ้ย ฝูซีไปไหน?” อ๋าวหลวนหลงถามกับบ่าวรับใช้หนุ่มทันทีที่แยกตัวออกมาจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว“มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณชายมู่ขอรับ เขาหายไปจากสกุลอ๋าวราวเดือนเศษได้แล้ว ท่านอาฝูก็พยายามออกไปค้นหาอยู่ทุกวันแต่ยังไม่พบ” เสียงสูดหายใจเข้าปอดลึกยาวของอ๋าวหลวนหลงดังขึ้นพร้อมกับเท้าก็หยุดเคลื่อนที่ไปด้วย “ข้าคิดว่าสี่เสินอยู่กับฝูซีเสียอีก..หายไป? หายไปได้อย่างไรกัน” คำถามนี้อ๋าวหลวนหลงไม่ได้ตั้งใจเอาคำตอบจากหูกุ้ยเท่าใดนัก เพราะเขารู้ดีว่าหากมู่สี่เสินไม่ได้บอกกล่าวกับฝูซีก็ไม่มีผู้ใดในจวนสกุลอ๋าวจะรับรู้ได้แล้ว“หายไปเฉยๆ เลยขอรับ ไม่มีวี่แววอันใดเลย ท่านอาฝูก็ร้อนใจไม่แพ้ท่านเช่นกัน เขาส่งข่าวไปยังกำลังพลตระกูลอ๋าวทั่วทุกพื้นที่แล้ว เวลานี้ก็ยังรอคำตอบอยู่ขอรับ”ใบหน้างามของมู่เหยาจีปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดของอ๋าวหลวนหลงทันใด หากนางรู้ว่าพี่ชายของนางหายตัวไปมู่เหยาจีจะห่วงกังวลเพียงใดกันนะ! แค่คิดอ๋าวหลวนหลงก็รู้สึกปวดใจแทนอีกฝ่ายไปแล้ว“แล้วสถานการณ์ทางฝ่ายเราร้ายแรงเพียงใด เวลานี้พี่ใหญ่อยู่ที่ไหน?”“เป็นเพราะผลท้อสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วกว่าอีกฝ่ายทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้นา
7 เดือนถัดมากลางหุบเขาลึกฝั่งตะวันตกยามนี้มู่สี่เสินอาศัยอยู่กลางหุบเขาลึกลับทางฝั่งตะวันตก สถานที่แห่งนี้หากมองจากภายนอกก็เหมือนเป็นเทือกสูงชันขนาดใหญ่มหึมาธรรมดาที่มีสัตว์ป่าดุร้ายอาศัยอยู่ทั่วไป ด้วยความสูงของภูเขาและช่องทางเข้าลึกลับซับซ้อนขนาดเล็กจึงไม่เคยมีผู้ใดเคยเข้าไปสำรวจลึกเข้าไปถึงด้านในว่ามีพื้นที่กว้างขวางกลางหุบเขาซุกซ่อนอยู่“ข้าต้องกลับไปที่เมืองหลงเทียนแล้วล่ะ ป่านนี้ฝูซีคงตามหาข้าจนวุ่นวายแล้วกระมัง เรื่องของพวกเจ้าให้ข้าถามความเห็นจากฝูซีก่อนแล้วข้าจะพาคนกลับมารับพวกเจ้าไปหาเหยาจีเอง” มู่สี่เสินเงยหน้าขึ้นฟ้าพูดคุยกับสหายใหม่ของเขาที่นั่งเรียงกันหน้าสลอนล้อมรอบร่างเล็กจิ๋วเอาไว้เขาติดตามฝูงลิงตัวน้อยจนมาถึงหุบเขาลึกลับแห่งนี้เมื่อหลายเดือนก่อน และได้พบสหายรุ่นหลังของน้องสาวอีกสิบกว่าชีวิตรวมทั้งพวกมันยังให้กำเนิดลูกหลานมากมายอาศัยกันอยู่ในหุบเขาแห่งนี้“เจ้าว่าอะไรนะ? จะทำลายภูเขาออกไปเช่นนั้นหรือ? พวกเจ้าอย่ามาพูดดีอยู่เลย หากพวกเจ้ากล้าหาญกว่านี้ก็คงออกไปเสียนานแล้วสินะ! เจ้าจะไปหาเหยาจีพร้อมกับข้าตอนนี้เลยไหมเล่า!!” มู่สี่เสินค้อนเจ้าวานรร่างใหญ่ด้วยความหมั่นไ
เมื่อถึงทางแยกขบวนบรรทุกผลท้อก็แยกออกเป็นสองกลุ่มตรงกับที่มู่สี่เสินคิดเอาไว้ไม่มีผิด กลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนน้อยกว่ามุ่งหน้าไปยังทิศทางแรกที่คนสกุลกัวขี่ม้าไปทางนั้น ส่วนอีกกลุ่มที่มีจำนวนผลท้อมากมายกลับแยกตัวไปยังอีกทิศทางหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านผืนป่าขนาดย่อมๆชายหนุ่มถึงกับตาเหลือกค้างแข็งขึ้นในทันใด ยามนี้สหายตัวน้อยของเขาสองตัวอดทนกับกลิ่นหอมยั่วยวนของผลท้อที่พวกมันเคยกินเป็นประจำเอาไว้ไม่ไหว ร่างเล็กๆ สองร่างกำลังห้อยตัวลงจากกิ่งไม้ฉกฉวยเอาผลท้อมาได้สองลูก“ไอ้ลิงบ้า!! จับมันเร็ว!! มันขโมยผลท้อไปสองลูก” เสียงเอะอะดังขึ้นจากกลุ่มผู้ฝึกตนที่ควบคุมเกวียนมาเซ็งแซ่“ผลท้อเหล่านี้สกุลกัวนับจำนวนเอาไว้ถ้วนถี่ หากหายไปพวกเขาต้องเข้าใจว่าเราแอบกินแน่นอน ตามมันไป!” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มสั่งความจบผู้ฝึกตนสามคนก็กระโจนไล่หลังลิงน้อยสองตัวไปติดๆ มู่สี่เสินถึงกับต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยสหายของเขาก็ไม่ได้โง่! พวกมันได้ผลท้อไปแล้วก็ไม่ได้วิ่งกลับมาทางเดิมที่เขาแอบซ่อนตัวอยู่ แต่พวกมันวิ่งหนีไปอีกทิศทางทำให้มู่สี่เสินและลิงที่เหลือยังคงซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ได้ดังเดิม ส
“ใช่ว่าจะมีเพียงเจ้าคนเดียวที่เข้าสู่ระดับขั้นปราณที่แท้จริง ทางฝั่งสกุลอ๋าวหลายคนก็อยู่ในระดับขั้นเดียวกับเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะชนะอ๋าวหลวนหลงได้เช่นนั้นหรือเหลาอีโจว!”“ไม่ใช่ว่าข้าเพิ่งได้ตัวคนสำคัญมาหนึ่งคนแล้วหรือ? อ้อไม่ใช่แค่หนึ่งคน ยังมีอีกแปดตัวด้วยอีก ฮ่าๆๆๆ เจ้าอย่าเพิ่งไปคิดแทนอ๋าวหลวนหลงเลย เจ้าสงสารตัวเองก่อนเถิดคุณชายมู่อย่างมากเจ้าก็เพิ่งจะอยู่ในระดับชั้นก่อกำเนิดอย่าหวังว่าเจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้เลย!!”มู่สี่เสินกัดริมฝีปากไว้แน่น เขาเพียงคนเดียวอย่างไรก็สู้ผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ไม่ได้แน่นอน ยังต้องเป็นห่วงสหายทั้งแปดตัวที่นอนสลบเหมือดอยู่บนพื้นเหล่านี้อีก สายตาอาฆาตแค้นของมู่สี่เสินจึงพุ่งตรงไปที่กัวเฟยเฟิ่งอย่างไม่ยินยอม“เพี้ยะ!!” ฝ่ามือนวลของกัวเฟยเฟิ่งตบเข้าไปที่ใบหน้าของมู่สี่เสินเต็มแรง“ใครใช้ให้เจ้ามองหน้าข้า! เป็นเจ้าที่แส่หาเรื่องเข้ามาเอง หากอยากจะโทษผู้ใด เจ้าก็ต้องโทษตัวเองนั่นล่ะที่สอดรู้สอดเห็น!” หญิงสาวตวาดเสียงดัง เตรียมง้างมือจะตบชายหนุ่มเข้าอีกสักฉาด“เฟยเฟิ่งหยุด!! คุณชายมู่หาใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินได้!” เหลาอีโจวคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แน่น แรงบีบจากท
“เจ้าควรจัดการเรื่องการแบ่งผลท้อทั้ง 14 ผลออกไปให้เร็วที่สุด เวลานี้กลิ่นของมันดึงดูดสัตว์ปีศาจให้มุ่งมาที่เกาะลอยเพียงแห่งเดียวแล้ว อย่าชักช้าอยู่เลยน้องสี่” “คุณชายใหญ่กล่าวได้ถูกแล้ว หากผลท้อถูกกินไปทั้งหมดไม่แน่ว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้อาจกลับไปยังแดนปีศาจของมันดังเดิมก็ได้" มู่สี่เสินรีบสนับสนุนคำกล่าวของอ๋าวหลวนเซี่ยอีกเสียงอ๋าวหลวนหลงได้รับความช่วยเหลือจากมารดาและฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง กล่าวตามจริงเขาก็ใคร่ครวญเรื่องผลท้อทั้ง 14 ผลมานานพอสมควรว่านอกจากตนเอง มู่เหยาจี ฝูซีและสี่เสินแล้ว อีกสิบผลที่เหลือส่วนหนึ่งก็คิดจะมอบให้กับสหายสี่-ห้าคนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน อีกส่วนก็จะมอบให้กับทายาทสายหลักสกุลอ๋าวเพื่อความมั่นคงของสายตระกูลแต่สถานการณ์รอบเกาะลอยในเวลานี้ทำให้ชายหนุ่มต้องตัดสินใจใหม่อีกครั้ง“ฝูซี สี่เสิน เหยาจี พวกเจ้ารับกันไปก่อนคนละผล” การตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนที่อยู่ในเรือน แต่มู่เหยาจีกลับมีสีหน้าลังเลใจ“ด้านนอกกำลังมีศึกใหญ่ ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนสายพฤกษาเท่านั้น ยามนี้ผลท้อน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่แข็งแกร่งมากกว่า
แดนสวรรค์มหาเทพทั้งสามรวมทั้งเหล่าทวยเทพยืนมองภาพแดนมนุษย์เบื้องล่างผ่านเนตรเทวะ หลายคนกำหมัดแน่นด้วยความรันทดใจกับภาพการต่อสู้ห้ำหั่นกันระหว่างมนุษย์และสัตว์ปีศาจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พวกมันไม่ได้ปรากฏตัวเพิ่มขึ้นเพียงทางทะเลเท่านั้น แต่ยังเปิดช่องทางเข้าแดนมนุษย์จากทางทิศเหนือได้อีกทางตามที่เวยวั่งซูคาดเดาเอาไว้ เวลานี้สงครามระหว่างมนุษย์และสัตว์ปีศาจจึงเกิดไปทั่วทุกทิศทางและรุนแรงมากขึ้นทุกวัน“ถึงเวลาที่พวกเราจะลงไปแดนมนุษย์แล้วกระมัง สัตว์ปีศาจเหล่านั้นเริ่มส่งตัวตนระดับสูงขึ้นมาไม่หยุด อีกไม่นานพวกเขาจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหว” มหาเทพสิงเทียนกลั้นหายใจอยู่หลายอึดใจ เขาเพิ่งได้เห็นภาพสุนัขจิ้งจอกกับปลาหมึกตายไปอย่างน่าเวทนาในเวลาใกล้เคียงกันถึงสองตัว“แท้จริงแล้วมนุษย์รับมือพวกมันไม่ไหวมาระยะหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ ที่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ก็เป็นเพราะสัตว์เลี้ยงของเหยาจีทั้งสิ้น เราจะทนมองเห็นพวกเขาล้มตายไปจนหมดได้หรือท่านทั้งสาม!” เหล่าทวยเทพเริ่มออกเสียงประท้วงมหาเทพทั้งสามองค์ใบหน้าเรียบเฉยของมหาเทพฮ่าวเทียนยังคงจดจ้องไปที่เนตรเทวะ แต่แววตาของเขาก็แฝงไปด้วยความเจ็
“ดูเหมือนว่าสัตว์ปีศาจพวกนี้ออกมาจากก้นเหวน้อยกว่าเดิมแล้วนะ” ผังหนงชักชวนให้ทุกคนมองไปยังปากเหว ที่สัตว์ปีศาจห้าขาขึ้นมาจากด้านล่างน้อยกว่าเดิม และเวลานี้พวกมันยังหยุดขนไข่ผ่านช่องทางนี้อีกด้วย“ปีศาจห้าขาคงเป็นเพียงกลุ่มแรกที่พวกมันส่งมาดูความสามารถของมนุษย์ ต่อไปมันอาจจะหาช่องทางอื่นพบแล้วเป็นไปได้ว่าจะส่งสัตว์ปีศาจที่มีความสามารถสูงขึ้นมาแทน” ฝูซีให้ความเห็น“ข้าว่าก็ไม่เท่าไรนะ ดูอย่างพวกที่อยู่ในไข่สิยังไม่ทันไรพวกเราก็จัดการเก็บกวาดได้ราบคาบ มีมาอีกเราก็สังหารทิ้งเสียก็หมดเรื่อง!!” จงหลีถ่มน้ำลายลงพื้น เบะปากอย่างลำพองใจ“อย่าชะล่าใจไป อย่าลืมว่าบนแดนสวรรค์ก็มีคนที่สูงส่งเกินจินตนาการมนุษย์ แดนปีศาจก็คงไม่ต่างกัน มนุษย์อย่างเราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”“ที่ปากเหวแห่งนี้มีต้าโหวจื้อคอยเฝ้าระวังเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าพวกเราควรกระจายตัวกันออกไปทางอื่นบ้าง ข้าว่าทางเหนือก็มีเทือกเขาสูงและมีหุบเหวลักษณะเดียวกันนี้ไม่น้อย” เวยวั่งซูพิจารณาว่าสัตว์ปีศาจอาจค้นหาเส้นทางขึ้นจากก้นเหวที่อื่นดังเดิม “เช่นนั้นพี่ชายเวยก็นำกำลังคนไปทางเหนือ ส่วนข้าคิดจะนำคนส่วนหนึ่งตามน้องสาวกลับไปทางใต้"ฝูซีพยั
“หุบเขาทางฝั่งตะวันตก!!” สถานที่อันดับแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของมู่สี่เสินก็คือใจกลางหุบเขาตะวันตกอันเป็นที่อยู่อาศัยเดิมของสัตว์ทั้ง 14 ตัว“เป็นไปได้เลยทีเดียว เจ้าตัวน่ารังเกียจพวกนั้นปรากฏตัวในฝั่งตะวันตกมากกว่าทิศทางอื่น ข้าก็อาศัยอยู่ทิศนี้มาตั้งนานทำไมข้าจึงคิดไม่ได้นะ!” ต้าโหวจื้อทุบกำปั้นข้างหนึ่งเข้ากับฝ่ามือตนเอง “ที่นั่นมองจากด้านนอกจะไม่เห็นว่ามีหุบเขาลึกลับอยู่ด้านใน แม้แต่ข้าเองที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งกลับไปอีกทีก็ยากที่จะหาทางเข้าพบ ทางที่ดีเรารีบพาคนเข้าไปสำรวจกันเลยจะดีกว่า" มู่สี่เสินหันไปมองกลุ่มสัตว์ยักษ์ที่อยู่ใกล้กับเขา เวลานี้มีวานร 1 ตัว สุนัขจิ้งจอก 2 และนกอินทรีอีก 1"พวกเจ้าทั้งสามนำทางพวกเราไปที่นั่น ส่วนเจ้าคอยบินส่งข่าวให้ฝูซี หากเราพบว่าเป็นที่นั่นเป็นทางเข้าออกจริงก็ให้รีบส่งคนตามไป!!”ข่าวเรื่องการเข้าไปสำรวจหุบเขาลึกลับตะวันตกแพร่กระจายไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนที่กระจายตัวกันอยู่ทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานพวกเขาก็แบ่งกำลังคนแต่ละจุดให้มาเข้าร่วมเดินทางไปกับมู่สี่เสินสัตว์ยักษ์ทั้งสามตัวเคยอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกลับแห่งนั้นมาร่วม 500 ปี เวลานี้ได้รับค
การมาถึงของเซียนสวรรค์สี่หมื่นกว่าชีวิตที่ลงมาจุติบนแดนมนุษย์พร้อมกัน ทำให้มนุษย์บนแผ่นดินใหญ่แตกตื่นกับข่าวที่มาพร้อมกับพวกเขาไม่น้อย อดีตเซียนกลุ่มแรกที่เข้าร่วมหลงผิดไปกับเหลาอีโจว พอได้รู้ว่าบนแดนสวรรค์รับรู้ถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของพวกเขาทั้งหมดก็แทบอยากจะปลิดชีพตัวเองด้วยความละอายใจ ยังดีที่มีอีกหลายคนยังคิดได้ว่าพวกเขาสามารถจะชดใช้ความผิดครั้งนี้ได้โดยการปกป้องแดนมนุษย์อันเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกตนเอาไว้ให้ดีที่สุดแทน สถานการณ์จึงกลับกลายเป็นทุกคนต่างร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง“เราไม่อาจรู้ได้ว่าปีศาจจะเข้ามายังแดนมนุษย์จากทางไหน เมื่อใด นั่นคือปัญหาใหญ่” อ๋าวหลวนเซี่ยถามด้วยความกังวล“ผลท้อจะสุกเมื่อใดหรือเหยาจี ข้าคิดว่าเวลานี้ที่พวกมันยังไม่เข้ามาก็คงเป็นเพราะกลิ่นของท้อสวรรค์ยังไม่รุนแรงพอ ข้าเชื่อว่าเมื่อใดที่ผลท้อส่งกลิ่นชัดเจนก็จะเป็นเวลานั้นนั่นล่ะ”“ตั้งแต่ที่พวกมันออกผลมา เวลานี้พลังของข้าก็ไม่อาจใช้เร่งการเจริญเติบโตของมันได้แล้วเจ้าค่ะพี่สี่เสิน"“หมายความว่ามันอาจจะสุกในอีกสองสามพันปีข้างหน้าเช่นนั้นหรือ? แล้วคุณชายสี่.." มู่สี่เสินร้อนใจอย่างหนัก
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสินะ บางทีพวกเราอาจจะคิดน้อยเกินไปเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผลนั้น” มหาเทพฮ่าวเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดพอๆ กับมหาเทพสิงเทียนที่ยืนฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่เช่นกัน“ใช่ ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าต้นท้อสวรรค์จะสามารถเติบโตและออกผลได้รวดเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานกลิ่นของท้อสวรรค์ก็อาจจะดึงดูดพวกปีศาจให้ออกมาปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ได้เช่นกัน”“นี่อาจจะถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนแดนมนุษย์แล้วกระมัง” มหาเทพสิงเทียนถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจสามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่สบตากันไปมาพักใหญ่ก็พยักหน้าพร้อมกันด้วยความเห็นพ้อง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว“ดูนั่น!!” เหล่าทวยเทพและเซียนบนสวรรค์ชี้มือขึ้นไปยังกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบนดวงตาสีทองขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือเมฆ ทำเอาทั่วทั้งแดนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมดจากภาพที่ไม่ได้พบเห็นมานาน“สามมหาเทพจะเบิกเนตรเทวะ!! เกิดอะไรขึ้นบนแดนมนุษย์กันแน่!”ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาตอบ ดวงตาสีทองที่กินพื้นที่ไปครึ่งค่อนท้องฟ้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เหยาจี สี่เ
“นั่นก็จริงของเจ้าสี่เสิน ยามนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับฝ่ายเรา แต่ข้าก็ยังคิดว่าผลท้อสวรรค์ก็อาจต่อเส้นเอ็นของข้ารวมทั้งคืนดวงตาให้กับฝูซีไม่ได้อยู่ดี” อ๋าวหลวนหลงหลับตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ความหวังดีของมู่เหยาจีอาจไร้ประโยชน์สำหรับตนฝูซีฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ผลท้อสวรรค์ให้คุณประโยชน์ในเรื่องอายุขัยและเพิ่มพลังปราณจำนวนมากเท่านั้น ต่างจากท้อโอสถที่ครอบคลุมการรักษาสารพัดนึก เสียดายที่มู่เหยาจีไม่มีเมล็ดพันธุ์ท้อโอสถติดกายลงมาด้วยแม้แต่เมล็ดเดียว“ผู้ใดจะรู้ ผลท้อธรรมดาของนางยังมีความสามารถในการรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้ ท้อสวรรค์ที่ปลูกบนแดนมนุษย์อาจสร้างปาฏิหาริย์ที่เราไม่อาจคาดเดา”“แท้จริงแล้วมีของสิ่งหนึ่งที่รักษาบาดแผลของข้าได้ แต่มันไม่อาจสร้างดวงตาของฝูซีขึ้นมาใหม่” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียของสหายรักเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือหลวนหลง! สวรรค์เมตตาข้าแล้ว มันคือสิ่งใดเจ้าบอกพ่อ พ่อจะไปหามาให้เจ้าเอง!" อ๋าวซีซวนแทบไม่อยากจะเชื่อหู แต่นี่คือคำพูดของอ๋าวหลวนหลงเองเชียวนะ บุตรชายไม่พูดอะไรพล่อยๆ เป็นแน่!!“ท่านพ่อไม่ต้องลำบากไปตามหาแต่อย่างใดเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของตระกูลอ๋
“พี่ใหญ่ ข้าขอเสนอให้บ้านสายหลักของพวกเราย้ายมาสร้างที่เกาะจิงเหมินเจ้าค่ะ ที่นั่นนอกจากจะมีบรรยากาศที่ดีแล้วก็ยังอยู่ใกล้กับเกาะลอยอีกด้วย” คุณหนูใหญ่อ๋าวหลวนจิงออกความเห็นขณะที่คนสกุลอ๋าวทุกคนกลับมารวมตัวกันที่จวนสกุลเจียง“เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว หากเราซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินได้ทั้งหมด ก็ยังพาสัตว์เหล่านี้ข้ามไปอยู่บนเกาะได้อีกด้วย เส้นทางน้ำระหว่างแผ่นดินใหญ่ไปที่เกาะจิงเหมินไม่ได้ลึกเท่าใดนัก พวกมันสามารถว่ายข้ามไปได้สบายๆ” อ๋าวหลวนกังเห็นด้วยกับน้องสาว“ใช่ว่าข้าจะไม่สนใจความเห็นของพวกเจ้า แต่เราเหลือทรัพย์สินกันเท่าไรเชียว” อ๋าวหลวนเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ เขาให้ท่านแม่รวบรวมเงินและข้าวของมีค่าจากทุกคนมานับดู คิดว่าอย่างมากพวกตนก็อาจจะหาซื้อเรือนขนาดใหญ่ได้สักเรือน การค้าเดิมที่ในเมืองหลงเทียนกว่าจะปรับปรุงให้เข้าที่เข้าทางและทำรายได้อีกครั้งก็คงอีกนาน เรื่องซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะในช่วงเวลานี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะพี่ใหญ่ พวกเราจะซื้อเกาะจิงเหมินมาเป็นที่ตั้งของจวนสกุลอ๋าวสายหลัก ไม่มีที่อื่นที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาทำให้ทุ
ภายในเรือนร่างผ่ายผอมลงไปมากของฝูซีนั่งอยู่เคียงข้างร่างของอ๋าวหลวนหลงบนเตียงนอนสีขมุกขมัว ดวงตาทั้งสองข้างของฝูซีมีผ้าสกปรกผืนหนึ่งพันเอาไว้ดูเหมือนว่าทั้งฝูซีและอ๋าวหลวนเคยได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นไปบ้างแล้ว แต่จากสีของผ้าพันแผลที่เก่าสกปรกนั่นก็แน่นอนว่าหลังจากรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้ได้ เหลาอีโจวก็ไม่ได้สั่งให้หมอมาทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำเพียงให้พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ เรื่องผลท้อที่จะให้คนทั้งคู่ได้กินเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บยิ่งไม่ต้องหวัง!กล่าวตามตรงนางจำต้องเบือนหน้าออกไปมองกัวเฟยเฟิ่งอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ สภาพร่างกาย สภาพในเรือนรวมทั้งถาดอาหารหรือน้ำดื่มที่วางอยู่ ทุกอย่างดีเกินกว่าที่มู่เหยาจีคาดเดาเอาไว้ในคราวแรก และดูเหมือนว่ากัวเฟยเฟิ่งน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเรื่องกลิ่นและธุระส่วนตัวของบุรุษสองคน คุณหนูจากสกุลกัวคงจะเข้ามาช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากกว่านี้เป็นแน่“เหยาจี..” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นมู่เหยาจียืนอยู่กลางเรือนเขายังคิดว่าตนเองยังคงติดอยู่ในภาพฝันกลิ่นหอมจากร่างงามแผ่กำจายออกมาทั่วห้องเหม็นอับจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วแน่น เ