ลิงสองตัวจากเกาะลอยยังคงติดตามฝูซีไม่ห่าง ยังดีที่ฝูซีพาผู้ฝึกตนจากสกุลอ๋าวเดินทางไปกับเขาด้วย พวกมันจึงได้อาศัยเกาะอยู่บนหลังของคนเหล่านั้น“เจี๊ยกๆๆๆๆ” อยู่ดีๆ ลิงน้อยก็กระโดดร้องส่งเสียง วิ่งไปวิ่งมาบนพื้นท่าทางไม่สงบเหมือนก่อนหน้าฝูซีมองตามสายตาของพวกมันแล้วพบว่าทั้งสองตัวกำลังมองไปยังฮูหยินผู้เฒ่ากัว ที่ออกมายืนส่งหลานสาวออกไปนอกจวนห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ระยะหนึ่งท่าทางแยกเขี้ยว ข่มขู่และโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงของลิงน้อยที่มีต่อหญิงชราทำให้ฝูซีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “เรื่องที่เราพบลิงสองตัวนี้ปิดเป็นความลับเอาไว้ก่อน กลับไปบอกท่านหมอและคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วย เราจะตามหามู่สี่เสินกันอย่างลับๆ” ฝูซีหันมากำชับ“แล้วกับคุณชายสี่..”“บอกกับเขาว่าข้าสงสัยว่าการหายตัวไปของมู่สี่เสินอาจเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลกัว ข้าจะออกไปสืบความล่วงหน้าไว้ก่อน” ฝูซีไม่คิดจะปิดบังอะไรกับอ๋าวหลวนหลง มู่เหยาจีฝากจดหมายทวงถามเรื่องของพี่ชายมาหลายครั้ง และเป็นอ๋าวหลวนหลงที่ปิดบังว่ามู่สี่เสินกำลังฝึกฝนอย่างหนักและสบายดี อ๋าวหลวนหลงก็ร้อนใจเรื่องของมู่สี่เสินไม่น้อยไปกว่าตนสักนิด……….ฝูซีแอบติดตามด
“เป็นกับดัก!! ระวังตัวให้ดี!!” อ๋าวหลวนหลงตะโกนขึ้นสุดเสียงไปยังผู้ฝึกตนทั้งสิบที่อยู่นอกเรือนด้านมู่สี่เสินก็เพิ่งรู้เช่นกันว่าสหายทั้งแปดตัวของตนอยู่ใกล้รอบตัวเรือน และยังถูกใช้เป็นเครื่องมือจากเหลาอีโจวอีกด้วย เขารีบทุบผนังประตูแข็งแกร่งส่งสัญญาณบอกกับฝูซีว่าตนเองไม่อาจเปิดมันออกจากด้านในได้การต่อสู้จากรอบทิศทางมาถึงกลุ่มผู้ฝึกตนสิบคนที่อยู่วงล้อมด้านนอกอย่างรวดเร็ว ส่วนฝูซีก็เข้าไปช่วยเหลือมู่สี่เสินออกมาได้จนสำเร็จ“เราต้องรีบฝ่าออกไปให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกเขาจะพากันมากไปกว่านี้” สายตาคมของอ๋าวหลวนหลงมองสหายที่เหลือพยายามประเมินสถานการณ์เห็นได้ชัดว่ากลุ่มผู้ฝึกตนจากสกุลเหลาแม้จะได้รับผลท้อที่กัวเฟยเฟิ่งลักลอบนำมาส่งให้แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้มีระดับการฝึกฝนที่สูงไปกว่าฝ่ายสกุลอ๋าว สถานการณ์ในเวลานี้พวกเขายังรับมือได้ แต่ที่นี่เป็นพื้นที่แดนเหนือพวกเขายังต้องตีฝ่าออกไปอีกไกลกว่าจะถึงจุดที่ปลอดภัย การสู้ให้เห็นผลแพ้ชนะไม่ใช่ทางออกที่ดี“ฝูซี หลวนหลง ข้าทิ้งพวกมันไว้ที่นี่ไม่ได้!!" มู่สี่เสินพยายามงัดไม้กระดานที่มีแผ่นหินรองไว้ด้านล่างอีกชั้นหนึ่ง เพื่อปลดปล่อยสหายร่างเล็กของเขาให้เป
เขตแดนทางเหนือกัวเฟยเฟิ่งนั่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นปริ่มว่าจะขาดใจไปทุกเมื่อ ศีรษะเล็กๆ ของนางแทบจะฝังเข้าไปอยู่ในผนังห้องอยู่รอมร่อ ความเจ็บปวดที่ไม่คิดว่าจะได้พบพานทำเอานางทรมาณจนแทบจะสิ้นสติสมประดีไปอยู่แล้วบุรุษสองคนภายในห้องได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนนี้นานนับชั่วยาม แต่พวกเขาหาได้นึกเวทนาสงสารสตรีผู้เศร้าโศกนี้แม้แต่น้อยผ่านไปอีกหลายอึดใจท่ามกลางน้ำตาที่ยังรินไหลออกมาไม่ขาดสาย กัวเฟยเฟิ่งมองไปยังร่างของอ๋าวหลวนหลงที่อยู่บนเตียงนอนด้วยความเจ็บปวด แม้ในอกยังคงมีคลื่นความเสียใจและผิดหวังระลอกแล้วระลอกเล่า หญิงสาวก็ยังออกแรงสะบัดหน้าละทิ้งความอัปยศอดสูไว้เบื้องหลัง“อาหารเหล่านี้ข้ารับรองว่ามันปลอดภัย ข้าต้องไปแล้ว” หญิงสาวสูดหายเจ้าเข้าแรงๆ ทีหนึ่งจับทรงผมและเสื้อผ้าให้เข้าที่พร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิมแล้วก้าวออกจากห้องไปแท้จริงแล้วตั้งแต่ที่เหลาอีโจวได้ตัวฝูซีมาแทนมู่สี่เสิน พวกเขาจึงไม่ได้คิดจะติดตามมู่สี่เสินที่บาดเจ็บสาหัสไปด้วย แต่กลับพุ่งความสนใจมาที่การลงมือกับอ๋าวหลวนหลงแทนกัวเฟยเฟิ่งรีบเข้าไปห้ามปรามและทวงคำสัญญากับเหลาอีโจวที่จะมอบอ๋าวหลวนหลงให้นาง และอีกฝ่ายได้รักษ
มู่สี่เสินถูกส่งตัวไปทางใต้ผ่านเกาะจิงเหมินและข้ามมายังสถานที่ตั้งของเกาะลอยแห่งใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากเวยวั่งซูและกลุ่มผู้ฝึกตนที่เคยเป็นชาวบ้านบนเกาะทั้ง 15 ชีวิต“นอกจากบาดแผลที่เกิดจากทวนสองแห่ง กรามเขายังแตกไม่สามารถพูดหรือเคี้ยวอาหารได้โดยง่าย ตลอดทางพวกเราต้องบดผลท้อให้ละเอียดแล้วป้อนใส่ปากให้เขากินทีละน้อยไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีชีวิตรอดมาถึงที่นี่ได้” เวยวั่งซูบอกเล่าอาการบาดเจ็บด้วยใบหน้าหม่นหมองเขาแทบจะอยู่ห่างจากร่างของมู่สี่เสินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะบาดแผลจากทวนที่แฝงพลังปราณได้ตัดเส้นเลือดใหญ่ของชายหนุ่มทำให้มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เวยวั่งซูเป็นผู้ฝึกตนสายสรรพสิ่งและถนัดเรื่องการใช้น้ำแข็งเป็นเกราะและอาวุธ แต่ยามนี้เขาต้องแผ่พลังปราณหลอมเลือดบริเวณปากแผลของมู่สี่เสินให้แข็งตัวเอาไว้เกือบตลอดเวลา เพราะมู่สี่เสินกินผลท้อได้ในปริมาณที่น้อยมากในแต่ละวัน จึงยังไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บเขาเอาไว้ได้ทันใจมู่เหยาจีมองใบหน้าคมคายของพี่ชายที่สะท้อนความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาด้วยหยาดน้ำตารินอาบแก้ม นางฟังคำสารภาพเรื่องที่มู่สี่เสินหายตัวไปนานกว่า 8 เดือน และยังได้รับรู้อีกว่ายาม
หุบเขาลึกลับกลางป่าตะวันตกลิงน้อยแปดตัวหลบหนีออกจากการควบคุมของเหลาอีโจวได้ พวกมันก็มุ่งหน้ากลับมาที่หุบเขาลึกลับและได้พบกับสหายอีกสองตัวที่คิดเหมือนกันกับพวกมันหลังจากแย่งกันสื่อสารบอกกับวานรยักษ์ทั้งสี่ตัวให้ล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับมู่สี่เสิน ลิงยักษ์ทั้งสี่ก็อาละวาดทำลายต้นไม้ใหญ่ภายในหุบเขาจนราบเป็นหน้ากลอง ร้อนถึงสุนัขจิ้งจอกและนกอินทรีต้องรีบมาเกลี้ยกล่อมให้พวกมันใจเย็นลงลิงน้อยสองตัวที่อยู่กับกลุ่มคนสกุลอ๋าวไม่ได้ข้ามไปยังแดนเหนือด้วย พวกมันรู้แล้วว่ามู่สี่เสินได้รับการช่วยเหลือและถูกส่งตัวกลับไปที่เกาะลอย มันยังรู้อีกด้วยว่ายามนี้สกุลอ๋าวกำลังถูกไล่ต้อนไปทางใต้ และหากสกุลอ๋าวพ่ายแพ้สถานที่ต่อไปที่จะถูกโจมตีก็จะเป็นเกาะลอยของพวกมัน!!เจ้าลิงทั้งสิบปีนป่ายขึ้นไปขี่หลังสุนัขจิ้งจอกทั้งหกเอาไว้ แล้วชี้นิ้วออกคำสั่งวานรทั้งสี่ตัวให้มันเดินทางไปที่ช่องแคบทางเข้าหุบเขาทันที!!วานรสองตัวไปถึงช่องแคบที่เล็กเพียงคนลอดผ่านได้ มันก็เริ่มต่อยเข้าไปยังกำแพงหินหนาพร้อมๆ กัน“เปรี้ยง!! ครืน!!” การต่อยด้วยหมัดจากวานรยักษ์สองตัวเพียงครั้งเดียว ช่องเขาหินที่ผุกร่อนก็พังทลายเป็นรูขนาดใหญ่ ส่ง
“แกว่กกกกก แกว่กกก” เสียงร้องสั้นสลับยาวของนกอินทรีสองตัวดังขึ้นจากบนฟ้ามาแต่ไกล เป็นเหตุให้การห้ำหั่นเบื้องล่างหยุดชะงักลงชั่วขณะสิ่งที่พวกเขาแปลกใจเป็นอันดับแรกย่อมเป็นเสียงอันทรงพลังที่คล้ายว่าอยู่เหนือศีรษะแต่นกสองตัวนั้นอยู่ในระยะไกลจากพวกเขาพอสมควร“ก็แค่เสียงสะท้อนของนกตัวสองตัวเท่านั้น จัดการพวกมันต่อ!!” กลุ่มผู้ฝึกตนจากสองฝ่ายยังไม่ทันได้คลายความข้องใจ พวกเขาก็ต้องรีบดึงสติกลับมาสู่การรบดังเดิม“หลวนเซี่ย เจ้ากลับไปดูแม่กับน้องๆ เจ้าก่อน ไปเดี๋ยวนี้!!” อ๋าวซีห่าวอาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนมัวแต่สนใจนกบนฟ้ารีบวิ่งมาหาบุตรชายคนโต“ข้าจะไม่มีวันถอยหลังเป็นอันขาดท่านพ่อ เราจะตายไปพร้อมกัน!!” บทสนทนาที่ทรงพลังของอ๋าวหลวนเซี่ยส่งผลให้ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ฆ่าได้หนึ่งก็ลดจำนวนศัตรูลงหนึ่ง พวกเขาพร้อมจะตายในสนามรบแล้ว“แกว่กๆๆๆๆๆๆๆ” นกอินทรีสองตัวคล้ายว่าจะไม่พอใจเท่าใดนักที่มนุษย์เดินดินหาได้สนใจมันสองตัวไม่ มันรีบส่งเสียงร้องรัวๆ ตีปีกใหญ่โตของมันพร้อมกับเหินต่ำลงมาเรื่อย เสียงร้องของผู้ฝึกตนหลายคนดังขึ้นทำให้เจ้านกยักษ์พึงพอใจที่สุดที่มีคนหันกลับมาสนใจพวกมันอีกครั้ง“ว้ากกกก นั
สุนัขจิ้งจอกและตะขาบต่างก็พากันทำหน้าที่ของมันโดยการเข้าไปแทรกอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นจนฝูงชนวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงและไม่มีผู้ใดกล้าทดสอบโจมตีพวกมันเป็นคนแรกวานรยักษ์ตัวหนึ่งทุบกำปั้นอันใหญ่โตของมันลงบนพื้นดินหลายครั้งจนเป็นหลุมลึก“โจมตีมัน!! หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะรอด ต้องช่วยกันจัดการพวกมันไปทีละตัว!” เหลาอีโจวถูกทอดทิ้งให้ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของวานรยักษ์โดยรอบๆ ยังมีสุนัขจิ้งจอกอีกหกตัวล้อมวงกันไว้อีกชั้น เมื่อเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดเริ่มลงมือเหลาอีโจวจึงได้พยายามควบคุมลิงน้อยทั้งแปดอีกครั้ง โดยตั้งใจจะให้พวกมันออกคำสั่งกับวานรยักษ์ให้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนสกุลอ๋าวแทน“เจี๊ยกๆๆๆ” ลิงน้อยถูกรบกวนจิตใจอย่างรุนแรงจนพวกมันส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น เจ้าวานรทั้งสี่ก็รีบตอบสนองทันควัน“อ้ากกกก!! ปล่อยข้า! ช่วยข….” เหลาอีโจวยังส่งเสียงขอความช่วยเหลือไม่ทันสิ้นคำ ร่างของเขาก็ถูกวานรยักษ์จับขาข้างหนึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศให้สภาพห้อยหัวลงมา ขณะที่ทุกคนยังไม่หายตกใจ วานรยักษ์ก็สะบัดร่างคนใจร้ายฟาดลงกับพื้นดินก้มหลุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับร่างนั้นเป็นตุ๊กตาผ้า เหลา
“พวกเจ้าก็เป็นสหายกับพวกหวางเซี่ยที่อยู่บนเกาะเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” อ๋าวหลวนหลิงชวนคุยต่อสัตว์หน้าขนสี่ตัวหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกมันรับรู้จากมู่สี่เสินแล้วว่ายังมีสหายสัตว์น้ำที่มาจากแดนสวรรค์อยู่อีกเก้าตัว แต่สัตว์กลุ่มนั้นลงมาก่อนพวกมันตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พวกมันเพิ่งลงมาได้ 500 ปีเท่านั้น จะว่าเป็นสหายกันก็เหมือนจะใช่ แต่แท้จริงแล้วพวกมันยังไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ“ไม่เป็นไรๆ ถึงเจ้าอยากจะตอบก็ตอบข้าไม่ได้อยู่ดีใช่ไหมเล่า แต่พวกเจ้าช่วยครอบครัวของเราสองคนก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นสหายของพวกเราแล้วล่ะ”ได้ยินว่าพวกตนได้รับการต้อนรับให้เป็นสหายของมนุษย์ สัตว์ทั้งสิบสองตัวก็ยิ่งลิงโลดออกอาการตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ แต่แล้วอยู่ดีๆ พวกมันก็ต้องหยุดชะงักแหงนมองขึ้นไปด้านบนท้องฟ้าเหนือจวนสกุลเจียงมืดครึ้มลงอย่างกะทันหัน เสียงกรีดร้องหวาดกลัวจากบรรดาสตรีที่อยู่ในจวนทำเอาสัตว์ยักษ์พากันเงียบเสียงและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เพื่อสหายใหม่ของพวกเขา!“แกว่กๆ” เจ้านกยักษ์สองตัวที่บนหลังของพวกมันมีซินหรูอี้และเวยวั่งซูนั่งอยู่มองค้อนดูภาพเบื้องล่างกันตาแทบกลับ ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแง่งอนหวาง
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสินะ บางทีพวกเราอาจจะคิดน้อยเกินไปเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผลนั้น” มหาเทพฮ่าวเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดพอๆ กับมหาเทพสิงเทียนที่ยืนฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่เช่นกัน“ใช่ ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าต้นท้อสวรรค์จะสามารถเติบโตและออกผลได้รวดเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานกลิ่นของท้อสวรรค์ก็อาจจะดึงดูดพวกปีศาจให้ออกมาปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ได้เช่นกัน”“นี่อาจจะถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนแดนมนุษย์แล้วกระมัง” มหาเทพสิงเทียนถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจสามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่สบตากันไปมาพักใหญ่ก็พยักหน้าพร้อมกันด้วยความเห็นพ้อง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว“ดูนั่น!!” เหล่าทวยเทพและเซียนบนสวรรค์ชี้มือขึ้นไปยังกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบนดวงตาสีทองขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือเมฆ ทำเอาทั่วทั้งแดนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมดจากภาพที่ไม่ได้พบเห็นมานาน“สามมหาเทพจะเบิกเนตรเทวะ!! เกิดอะไรขึ้นบนแดนมนุษย์กันแน่!”ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาตอบ ดวงตาสีทองที่กินพื้นที่ไปครึ่งค่อนท้องฟ้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เหยาจี สี่เ
“นั่นก็จริงของเจ้าสี่เสิน ยามนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับฝ่ายเรา แต่ข้าก็ยังคิดว่าผลท้อสวรรค์ก็อาจต่อเส้นเอ็นของข้ารวมทั้งคืนดวงตาให้กับฝูซีไม่ได้อยู่ดี” อ๋าวหลวนหลงหลับตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ความหวังดีของมู่เหยาจีอาจไร้ประโยชน์สำหรับตนฝูซีฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ผลท้อสวรรค์ให้คุณประโยชน์ในเรื่องอายุขัยและเพิ่มพลังปราณจำนวนมากเท่านั้น ต่างจากท้อโอสถที่ครอบคลุมการรักษาสารพัดนึก เสียดายที่มู่เหยาจีไม่มีเมล็ดพันธุ์ท้อโอสถติดกายลงมาด้วยแม้แต่เมล็ดเดียว“ผู้ใดจะรู้ ผลท้อธรรมดาของนางยังมีความสามารถในการรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้ ท้อสวรรค์ที่ปลูกบนแดนมนุษย์อาจสร้างปาฏิหาริย์ที่เราไม่อาจคาดเดา”“แท้จริงแล้วมีของสิ่งหนึ่งที่รักษาบาดแผลของข้าได้ แต่มันไม่อาจสร้างดวงตาของฝูซีขึ้นมาใหม่” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียของสหายรักเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือหลวนหลง! สวรรค์เมตตาข้าแล้ว มันคือสิ่งใดเจ้าบอกพ่อ พ่อจะไปหามาให้เจ้าเอง!" อ๋าวซีซวนแทบไม่อยากจะเชื่อหู แต่นี่คือคำพูดของอ๋าวหลวนหลงเองเชียวนะ บุตรชายไม่พูดอะไรพล่อยๆ เป็นแน่!!“ท่านพ่อไม่ต้องลำบากไปตามหาแต่อย่างใดเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของตระกูลอ๋
“พี่ใหญ่ ข้าขอเสนอให้บ้านสายหลักของพวกเราย้ายมาสร้างที่เกาะจิงเหมินเจ้าค่ะ ที่นั่นนอกจากจะมีบรรยากาศที่ดีแล้วก็ยังอยู่ใกล้กับเกาะลอยอีกด้วย” คุณหนูใหญ่อ๋าวหลวนจิงออกความเห็นขณะที่คนสกุลอ๋าวทุกคนกลับมารวมตัวกันที่จวนสกุลเจียง“เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว หากเราซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินได้ทั้งหมด ก็ยังพาสัตว์เหล่านี้ข้ามไปอยู่บนเกาะได้อีกด้วย เส้นทางน้ำระหว่างแผ่นดินใหญ่ไปที่เกาะจิงเหมินไม่ได้ลึกเท่าใดนัก พวกมันสามารถว่ายข้ามไปได้สบายๆ” อ๋าวหลวนกังเห็นด้วยกับน้องสาว“ใช่ว่าข้าจะไม่สนใจความเห็นของพวกเจ้า แต่เราเหลือทรัพย์สินกันเท่าไรเชียว” อ๋าวหลวนเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ เขาให้ท่านแม่รวบรวมเงินและข้าวของมีค่าจากทุกคนมานับดู คิดว่าอย่างมากพวกตนก็อาจจะหาซื้อเรือนขนาดใหญ่ได้สักเรือน การค้าเดิมที่ในเมืองหลงเทียนกว่าจะปรับปรุงให้เข้าที่เข้าทางและทำรายได้อีกครั้งก็คงอีกนาน เรื่องซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะในช่วงเวลานี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะพี่ใหญ่ พวกเราจะซื้อเกาะจิงเหมินมาเป็นที่ตั้งของจวนสกุลอ๋าวสายหลัก ไม่มีที่อื่นที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาทำให้ทุ
ภายในเรือนร่างผ่ายผอมลงไปมากของฝูซีนั่งอยู่เคียงข้างร่างของอ๋าวหลวนหลงบนเตียงนอนสีขมุกขมัว ดวงตาทั้งสองข้างของฝูซีมีผ้าสกปรกผืนหนึ่งพันเอาไว้ดูเหมือนว่าทั้งฝูซีและอ๋าวหลวนเคยได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นไปบ้างแล้ว แต่จากสีของผ้าพันแผลที่เก่าสกปรกนั่นก็แน่นอนว่าหลังจากรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้ได้ เหลาอีโจวก็ไม่ได้สั่งให้หมอมาทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำเพียงให้พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ เรื่องผลท้อที่จะให้คนทั้งคู่ได้กินเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บยิ่งไม่ต้องหวัง!กล่าวตามตรงนางจำต้องเบือนหน้าออกไปมองกัวเฟยเฟิ่งอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ สภาพร่างกาย สภาพในเรือนรวมทั้งถาดอาหารหรือน้ำดื่มที่วางอยู่ ทุกอย่างดีเกินกว่าที่มู่เหยาจีคาดเดาเอาไว้ในคราวแรก และดูเหมือนว่ากัวเฟยเฟิ่งน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเรื่องกลิ่นและธุระส่วนตัวของบุรุษสองคน คุณหนูจากสกุลกัวคงจะเข้ามาช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากกว่านี้เป็นแน่“เหยาจี..” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นมู่เหยาจียืนอยู่กลางเรือนเขายังคิดว่าตนเองยังคงติดอยู่ในภาพฝันกลิ่นหอมจากร่างงามแผ่กำจายออกมาทั่วห้องเหม็นอับจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วแน่น เ
คนกลุ่มแรกที่พวกอ๋าวหลวนเซี่ยได้พบและคิดว่าจะได้ลงไม้ลงมือให้หนำใจสักรอบกลับกลายเป็นกลุ่มของตระกูลใหญ่ทั้งเก้าตระกูลที่เลือกไปอยู่ฝ่ายสกุลเหลา พวกเขาทิ้งอาวุธซ้ำยังทำท่าทีนอบน้อมสำนึกผิดเข้าใส่จนฝ่ายสกุลอ๋าวตั้งรับปรับตัวไม่ทัน“หลานชายพวกเจ้าก็รู้ดีว่าพวกเราทั้งหมดต่างก็มีความจำเป็นต้องเลือกข้าง ยามนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเราคิดผิด!” ผู้นำตระกูลจากเก้าตระกูลใหญ่กล่าวกับอ๋าวหลวนเซี่ยก็จริงแต่พวกเขาก็รีบเข้าไปประจบประแจงอ๋าวซีห่าว อ๋าวซีเค่อและอ๋าวซีฮันที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันยกใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ยมองดูคนเหล่านี้ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีระดับการฝึกฝนต่ำที่สุดในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะฝ่ายสกุลเหลาให้ความสำคัญกับพวกอดีตเซียนมากกว่าและไม่ได้ใจกว้างเหมือนอ๋าวหลวนหลงที่พยายามยกระดับการฝึกฝนของทุกคนไปพร้อมกัน และเขาก็รู้ดีว่าน้องชายสี่ไม่เคยคิดจะเข่นฆ่าผู้ใดหากไม่จำเป็น“แน่นอนว่าข้าเข้าใจพวกท่านดี แต่เรื่องจะให้รับพวกท่านเข้ามาอย่างเต็มใจนั้นข้าคงทำไม่ได้เช่นกัน พวกท่านรีบกลับไปที่จวนของพวกท่านแล้วปิดประตูให้ดีเถิด หลังจากนี้หากพวกเราเห็นใครคิดออกนอกแถวอีกก็อย่าหาว่าสกุ
“พวกเจ้าก็เป็นสหายกับพวกหวางเซี่ยที่อยู่บนเกาะเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” อ๋าวหลวนหลิงชวนคุยต่อสัตว์หน้าขนสี่ตัวหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกมันรับรู้จากมู่สี่เสินแล้วว่ายังมีสหายสัตว์น้ำที่มาจากแดนสวรรค์อยู่อีกเก้าตัว แต่สัตว์กลุ่มนั้นลงมาก่อนพวกมันตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พวกมันเพิ่งลงมาได้ 500 ปีเท่านั้น จะว่าเป็นสหายกันก็เหมือนจะใช่ แต่แท้จริงแล้วพวกมันยังไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ“ไม่เป็นไรๆ ถึงเจ้าอยากจะตอบก็ตอบข้าไม่ได้อยู่ดีใช่ไหมเล่า แต่พวกเจ้าช่วยครอบครัวของเราสองคนก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นสหายของพวกเราแล้วล่ะ”ได้ยินว่าพวกตนได้รับการต้อนรับให้เป็นสหายของมนุษย์ สัตว์ทั้งสิบสองตัวก็ยิ่งลิงโลดออกอาการตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ แต่แล้วอยู่ดีๆ พวกมันก็ต้องหยุดชะงักแหงนมองขึ้นไปด้านบนท้องฟ้าเหนือจวนสกุลเจียงมืดครึ้มลงอย่างกะทันหัน เสียงกรีดร้องหวาดกลัวจากบรรดาสตรีที่อยู่ในจวนทำเอาสัตว์ยักษ์พากันเงียบเสียงและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เพื่อสหายใหม่ของพวกเขา!“แกว่กๆ” เจ้านกยักษ์สองตัวที่บนหลังของพวกมันมีซินหรูอี้และเวยวั่งซูนั่งอยู่มองค้อนดูภาพเบื้องล่างกันตาแทบกลับ ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแง่งอนหวาง
สุนัขจิ้งจอกและตะขาบต่างก็พากันทำหน้าที่ของมันโดยการเข้าไปแทรกอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นจนฝูงชนวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงและไม่มีผู้ใดกล้าทดสอบโจมตีพวกมันเป็นคนแรกวานรยักษ์ตัวหนึ่งทุบกำปั้นอันใหญ่โตของมันลงบนพื้นดินหลายครั้งจนเป็นหลุมลึก“โจมตีมัน!! หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะรอด ต้องช่วยกันจัดการพวกมันไปทีละตัว!” เหลาอีโจวถูกทอดทิ้งให้ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของวานรยักษ์โดยรอบๆ ยังมีสุนัขจิ้งจอกอีกหกตัวล้อมวงกันไว้อีกชั้น เมื่อเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดเริ่มลงมือเหลาอีโจวจึงได้พยายามควบคุมลิงน้อยทั้งแปดอีกครั้ง โดยตั้งใจจะให้พวกมันออกคำสั่งกับวานรยักษ์ให้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนสกุลอ๋าวแทน“เจี๊ยกๆๆๆ” ลิงน้อยถูกรบกวนจิตใจอย่างรุนแรงจนพวกมันส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น เจ้าวานรทั้งสี่ก็รีบตอบสนองทันควัน“อ้ากกกก!! ปล่อยข้า! ช่วยข….” เหลาอีโจวยังส่งเสียงขอความช่วยเหลือไม่ทันสิ้นคำ ร่างของเขาก็ถูกวานรยักษ์จับขาข้างหนึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศให้สภาพห้อยหัวลงมา ขณะที่ทุกคนยังไม่หายตกใจ วานรยักษ์ก็สะบัดร่างคนใจร้ายฟาดลงกับพื้นดินก้มหลุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับร่างนั้นเป็นตุ๊กตาผ้า เหลา
“แกว่กกกกก แกว่กกก” เสียงร้องสั้นสลับยาวของนกอินทรีสองตัวดังขึ้นจากบนฟ้ามาแต่ไกล เป็นเหตุให้การห้ำหั่นเบื้องล่างหยุดชะงักลงชั่วขณะสิ่งที่พวกเขาแปลกใจเป็นอันดับแรกย่อมเป็นเสียงอันทรงพลังที่คล้ายว่าอยู่เหนือศีรษะแต่นกสองตัวนั้นอยู่ในระยะไกลจากพวกเขาพอสมควร“ก็แค่เสียงสะท้อนของนกตัวสองตัวเท่านั้น จัดการพวกมันต่อ!!” กลุ่มผู้ฝึกตนจากสองฝ่ายยังไม่ทันได้คลายความข้องใจ พวกเขาก็ต้องรีบดึงสติกลับมาสู่การรบดังเดิม“หลวนเซี่ย เจ้ากลับไปดูแม่กับน้องๆ เจ้าก่อน ไปเดี๋ยวนี้!!” อ๋าวซีห่าวอาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนมัวแต่สนใจนกบนฟ้ารีบวิ่งมาหาบุตรชายคนโต“ข้าจะไม่มีวันถอยหลังเป็นอันขาดท่านพ่อ เราจะตายไปพร้อมกัน!!” บทสนทนาที่ทรงพลังของอ๋าวหลวนเซี่ยส่งผลให้ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ฆ่าได้หนึ่งก็ลดจำนวนศัตรูลงหนึ่ง พวกเขาพร้อมจะตายในสนามรบแล้ว“แกว่กๆๆๆๆๆๆๆ” นกอินทรีสองตัวคล้ายว่าจะไม่พอใจเท่าใดนักที่มนุษย์เดินดินหาได้สนใจมันสองตัวไม่ มันรีบส่งเสียงร้องรัวๆ ตีปีกใหญ่โตของมันพร้อมกับเหินต่ำลงมาเรื่อย เสียงร้องของผู้ฝึกตนหลายคนดังขึ้นทำให้เจ้านกยักษ์พึงพอใจที่สุดที่มีคนหันกลับมาสนใจพวกมันอีกครั้ง“ว้ากกกก นั
หุบเขาลึกลับกลางป่าตะวันตกลิงน้อยแปดตัวหลบหนีออกจากการควบคุมของเหลาอีโจวได้ พวกมันก็มุ่งหน้ากลับมาที่หุบเขาลึกลับและได้พบกับสหายอีกสองตัวที่คิดเหมือนกันกับพวกมันหลังจากแย่งกันสื่อสารบอกกับวานรยักษ์ทั้งสี่ตัวให้ล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับมู่สี่เสิน ลิงยักษ์ทั้งสี่ก็อาละวาดทำลายต้นไม้ใหญ่ภายในหุบเขาจนราบเป็นหน้ากลอง ร้อนถึงสุนัขจิ้งจอกและนกอินทรีต้องรีบมาเกลี้ยกล่อมให้พวกมันใจเย็นลงลิงน้อยสองตัวที่อยู่กับกลุ่มคนสกุลอ๋าวไม่ได้ข้ามไปยังแดนเหนือด้วย พวกมันรู้แล้วว่ามู่สี่เสินได้รับการช่วยเหลือและถูกส่งตัวกลับไปที่เกาะลอย มันยังรู้อีกด้วยว่ายามนี้สกุลอ๋าวกำลังถูกไล่ต้อนไปทางใต้ และหากสกุลอ๋าวพ่ายแพ้สถานที่ต่อไปที่จะถูกโจมตีก็จะเป็นเกาะลอยของพวกมัน!!เจ้าลิงทั้งสิบปีนป่ายขึ้นไปขี่หลังสุนัขจิ้งจอกทั้งหกเอาไว้ แล้วชี้นิ้วออกคำสั่งวานรทั้งสี่ตัวให้มันเดินทางไปที่ช่องแคบทางเข้าหุบเขาทันที!!วานรสองตัวไปถึงช่องแคบที่เล็กเพียงคนลอดผ่านได้ มันก็เริ่มต่อยเข้าไปยังกำแพงหินหนาพร้อมๆ กัน“เปรี้ยง!! ครืน!!” การต่อยด้วยหมัดจากวานรยักษ์สองตัวเพียงครั้งเดียว ช่องเขาหินที่ผุกร่อนก็พังทลายเป็นรูขนาดใหญ่ ส่ง