คนกลุ่มแรกที่พวกอ๋าวหลวนเซี่ยได้พบและคิดว่าจะได้ลงไม้ลงมือให้หนำใจสักรอบกลับกลายเป็นกลุ่มของตระกูลใหญ่ทั้งเก้าตระกูลที่เลือกไปอยู่ฝ่ายสกุลเหลา พวกเขาทิ้งอาวุธซ้ำยังทำท่าทีนอบน้อมสำนึกผิดเข้าใส่จนฝ่ายสกุลอ๋าวตั้งรับปรับตัวไม่ทัน“หลานชายพวกเจ้าก็รู้ดีว่าพวกเราทั้งหมดต่างก็มีความจำเป็นต้องเลือกข้าง ยามนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเราคิดผิด!” ผู้นำตระกูลจากเก้าตระกูลใหญ่กล่าวกับอ๋าวหลวนเซี่ยก็จริงแต่พวกเขาก็รีบเข้าไปประจบประแจงอ๋าวซีห่าว อ๋าวซีเค่อและอ๋าวซีฮันที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันยกใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ยมองดูคนเหล่านี้ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีระดับการฝึกฝนต่ำที่สุดในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะฝ่ายสกุลเหลาให้ความสำคัญกับพวกอดีตเซียนมากกว่าและไม่ได้ใจกว้างเหมือนอ๋าวหลวนหลงที่พยายามยกระดับการฝึกฝนของทุกคนไปพร้อมกัน และเขาก็รู้ดีว่าน้องชายสี่ไม่เคยคิดจะเข่นฆ่าผู้ใดหากไม่จำเป็น“แน่นอนว่าข้าเข้าใจพวกท่านดี แต่เรื่องจะให้รับพวกท่านเข้ามาอย่างเต็มใจนั้นข้าคงทำไม่ได้เช่นกัน พวกท่านรีบกลับไปที่จวนของพวกท่านแล้วปิดประตูให้ดีเถิด หลังจากนี้หากพวกเราเห็นใครคิดออกนอกแถวอีกก็อย่าหาว่าสกุ
ภายในเรือนร่างผ่ายผอมลงไปมากของฝูซีนั่งอยู่เคียงข้างร่างของอ๋าวหลวนหลงบนเตียงนอนสีขมุกขมัว ดวงตาทั้งสองข้างของฝูซีมีผ้าสกปรกผืนหนึ่งพันเอาไว้ดูเหมือนว่าทั้งฝูซีและอ๋าวหลวนเคยได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นไปบ้างแล้ว แต่จากสีของผ้าพันแผลที่เก่าสกปรกนั่นก็แน่นอนว่าหลังจากรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้ได้ เหลาอีโจวก็ไม่ได้สั่งให้หมอมาทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำเพียงให้พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ เรื่องผลท้อที่จะให้คนทั้งคู่ได้กินเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บยิ่งไม่ต้องหวัง!กล่าวตามตรงนางจำต้องเบือนหน้าออกไปมองกัวเฟยเฟิ่งอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ สภาพร่างกาย สภาพในเรือนรวมทั้งถาดอาหารหรือน้ำดื่มที่วางอยู่ ทุกอย่างดีเกินกว่าที่มู่เหยาจีคาดเดาเอาไว้ในคราวแรก และดูเหมือนว่ากัวเฟยเฟิ่งน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเรื่องกลิ่นและธุระส่วนตัวของบุรุษสองคน คุณหนูจากสกุลกัวคงจะเข้ามาช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากกว่านี้เป็นแน่“เหยาจี..” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นมู่เหยาจียืนอยู่กลางเรือนเขายังคิดว่าตนเองยังคงติดอยู่ในภาพฝันกลิ่นหอมจากร่างงามแผ่กำจายออกมาทั่วห้องเหม็นอับจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วแน่น เ
“พี่ใหญ่ ข้าขอเสนอให้บ้านสายหลักของพวกเราย้ายมาสร้างที่เกาะจิงเหมินเจ้าค่ะ ที่นั่นนอกจากจะมีบรรยากาศที่ดีแล้วก็ยังอยู่ใกล้กับเกาะลอยอีกด้วย” คุณหนูใหญ่อ๋าวหลวนจิงออกความเห็นขณะที่คนสกุลอ๋าวทุกคนกลับมารวมตัวกันที่จวนสกุลเจียง“เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว หากเราซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินได้ทั้งหมด ก็ยังพาสัตว์เหล่านี้ข้ามไปอยู่บนเกาะได้อีกด้วย เส้นทางน้ำระหว่างแผ่นดินใหญ่ไปที่เกาะจิงเหมินไม่ได้ลึกเท่าใดนัก พวกมันสามารถว่ายข้ามไปได้สบายๆ” อ๋าวหลวนกังเห็นด้วยกับน้องสาว“ใช่ว่าข้าจะไม่สนใจความเห็นของพวกเจ้า แต่เราเหลือทรัพย์สินกันเท่าไรเชียว” อ๋าวหลวนเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ เขาให้ท่านแม่รวบรวมเงินและข้าวของมีค่าจากทุกคนมานับดู คิดว่าอย่างมากพวกตนก็อาจจะหาซื้อเรือนขนาดใหญ่ได้สักเรือน การค้าเดิมที่ในเมืองหลงเทียนกว่าจะปรับปรุงให้เข้าที่เข้าทางและทำรายได้อีกครั้งก็คงอีกนาน เรื่องซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะในช่วงเวลานี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะพี่ใหญ่ พวกเราจะซื้อเกาะจิงเหมินมาเป็นที่ตั้งของจวนสกุลอ๋าวสายหลัก ไม่มีที่อื่นที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาทำให้ทุ
“นั่นก็จริงของเจ้าสี่เสิน ยามนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับฝ่ายเรา แต่ข้าก็ยังคิดว่าผลท้อสวรรค์ก็อาจต่อเส้นเอ็นของข้ารวมทั้งคืนดวงตาให้กับฝูซีไม่ได้อยู่ดี” อ๋าวหลวนหลงหลับตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ความหวังดีของมู่เหยาจีอาจไร้ประโยชน์สำหรับตนฝูซีฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ผลท้อสวรรค์ให้คุณประโยชน์ในเรื่องอายุขัยและเพิ่มพลังปราณจำนวนมากเท่านั้น ต่างจากท้อโอสถที่ครอบคลุมการรักษาสารพัดนึก เสียดายที่มู่เหยาจีไม่มีเมล็ดพันธุ์ท้อโอสถติดกายลงมาด้วยแม้แต่เมล็ดเดียว“ผู้ใดจะรู้ ผลท้อธรรมดาของนางยังมีความสามารถในการรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้ ท้อสวรรค์ที่ปลูกบนแดนมนุษย์อาจสร้างปาฏิหาริย์ที่เราไม่อาจคาดเดา”“แท้จริงแล้วมีของสิ่งหนึ่งที่รักษาบาดแผลของข้าได้ แต่มันไม่อาจสร้างดวงตาของฝูซีขึ้นมาใหม่” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียของสหายรักเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือหลวนหลง! สวรรค์เมตตาข้าแล้ว มันคือสิ่งใดเจ้าบอกพ่อ พ่อจะไปหามาให้เจ้าเอง!" อ๋าวซีซวนแทบไม่อยากจะเชื่อหู แต่นี่คือคำพูดของอ๋าวหลวนหลงเองเชียวนะ บุตรชายไม่พูดอะไรพล่อยๆ เป็นแน่!!“ท่านพ่อไม่ต้องลำบากไปตามหาแต่อย่างใดเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของตระกูลอ๋
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสินะ บางทีพวกเราอาจจะคิดน้อยเกินไปเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผลนั้น” มหาเทพฮ่าวเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดพอๆ กับมหาเทพสิงเทียนที่ยืนฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่เช่นกัน“ใช่ ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าต้นท้อสวรรค์จะสามารถเติบโตและออกผลได้รวดเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานกลิ่นของท้อสวรรค์ก็อาจจะดึงดูดพวกปีศาจให้ออกมาปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ได้เช่นกัน”“นี่อาจจะถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนแดนมนุษย์แล้วกระมัง” มหาเทพสิงเทียนถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจสามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่สบตากันไปมาพักใหญ่ก็พยักหน้าพร้อมกันด้วยความเห็นพ้อง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว“ดูนั่น!!” เหล่าทวยเทพและเซียนบนสวรรค์ชี้มือขึ้นไปยังกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบนดวงตาสีทองขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือเมฆ ทำเอาทั่วทั้งแดนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมดจากภาพที่ไม่ได้พบเห็นมานาน“สามมหาเทพจะเบิกเนตรเทวะ!! เกิดอะไรขึ้นบนแดนมนุษย์กันแน่!”ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาตอบ ดวงตาสีทองที่กินพื้นที่ไปครึ่งค่อนท้องฟ้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เหยาจี สี่เ
วิมานแก้ว แดนสวรรค์มหาเทพ 3 องค์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดปกครองสวรรค์ร่วมกันประทับอยู่บนบัลลังก์เหม่อมองไปยังเหล่าทวยเทพและเซียนสวรรค์นับหมื่นด้วยสายตาเรียบนิ่งด้านชา มีเพียงบางครั้งที่รู้สึกตัวก็จะพยายามโบกมือและส่งยิ้มให้กับเทพและเซียนบนแดนสวรรค์เป็นระยะวันนี้พวกเขาทั้งสามมารวมตัวกันที่วิมานแก้วที่ประทับของมหาเทพมู่ซี สตรีเพียงหนึ่งเดียวในมหาเทพทั้งสาม ผู้เป็นเจ้านายแห่งมวลพฤกษานานาพรรณ ด้วยเหตุที่ว่าท้อสวรรค์ที่จะสุกทุก 3,000 ปี ได้สุกงอมเต็มที่ เซียนสวรรค์นับหมื่นจึงมารวมตัวกันเพื่อรอรับส่วนผลไม้แห่งอายุวัฒนะนี้“ต้นท้อออกผลกี่ผลกันเล่าคราวนี้ท่านมหาเทพมู่ซี” มหาเทพฮ่าวเทียนผู้เป็นนายแห่งสรรพสิ่ง ควบคุมสุริยัน จันทรา ดิน น้ำ ลมไฟ เริ่มตั้งคำถามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย“ได้ยินว่า คราวนี้มีถึง 384 ผลเลยทีเดียว ทั้งยังสามารถขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นได้อีกถึง 3 ต้น อีก 3.000 ปี พอพวกมันสุกพร้อมกันก็คงจะมีมากกว่านี้อีกไม่น้อย” มหาเทพมู่ซีเปิดเผยสีหน้าลำบากใจออกมาท้อสวรรค์เป็นผลไม้ในดินแดนเทพที่เคยเป็นที่ต้องการของมนุษย์ที่ต้องการเพิ่มอายุขัยมาช้านาน แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว บัดนี้แดนสวรร
“คนสุดท้ายแล้วสินะ ท่านเซียนมีนามว่ากระไร” มหาเทพมู่ซีต้องการจบขั้นตอนการแจกจ่ายผลท้อสวรรค์ให้แล้วเสร็จ นางจงใจเอ่ยถามนามของท่านเซียนหนุ่มด้วยเสียงอันดัง เพื่อเรียกความสนใจจากเทพและเซียนทั้งหมดกลับมาที่ตนและเซียนหนุ่มตรงหน้า“ข้าผู้น้อยนามหลวนหลง ตั้งมั่นบ่มเพาะพลังอยู่ในสายเทพมังกรขอรับ”“สายสัตว์เทพเช่นนั้นหรือ ดีจริง ท่านเซียนองอาจสง่าผ่าเผยเลือกการฝึกฝนได้เหมาะสมดีจริงๆ” มหาเทพมู่ซีย่อมพึงพอใจเป็นพิเศษหากจะมีเทพในสายสรรพสัตว์มากขึ้น เพราะนางไม่รู้จะรับท่านเซียนหน้าใหม่สายพฤกษาและพืชพรรณไว้ในตำแหน่งอะไรแล้วยังไม่ต้องนับอีกว่าท่านเซียนหนุ่มผู้นี้เลือกบ่มเพาะพลังเฉพาะเจาะจงในสายเทพมังกร การจัดหน้าที่ให้เขาก็ยิ่งสะดวกง่ายดายสำหรับมหาเทพสิงเทียนอีกด้วย “ท้อสวรรค์ผลสุดท้ายในรอบ 3,000 ปีเป็นของท่านแล้ว ท่านเซียนหลวนหลง” มหาเทพมู่ซีเอื้อมมือไปยังฝักสีชมพูอ่อนของเถาวัลย์ต้นใหญ่ด้านข้าง แต่นางกลับไม่พบอะไร..มหาเทพผู้งดงามหันกลับไปมองในฝักของเถาวัลย์ พลิกคว่ำพลิกหงายดูอยู่อีกหลายรอบนางกลับไม่พบท้อสวรรค์ผลสุดท้ายตามต้องการ“ท้อสวรรค์หายไปหนึ่งผล!” เสียงอุทานด้วยความตกใจของมหาเทพมู่ซีดังขึ
ผีเสื้อเกล็ดแก้วตัวหนึ่งรีบคืนร่างมาเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่เคียงข้างเซียนน้อยเหยาจีด้วยใบหน้าร้อนรน“แดนสวรรค์ มนุษย์และปีศาจไม่ได้เชื่อมต่อกันมาเนิ่นนาน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้างแล้ว เหยาจียังเล็กนางไม่รู้ความขับไล่นางลงไปนางจะใช้ชีวิตอยู่เช่นไรขอรับท่านมหาเทพ”ทูตสวรรค์สี่เสินรู้ดีว่าการลงโทษโดยการขับไล่หาใช่การเกิดใหม่ แต่เหยาจีสหายของตนจะถูกส่งลงไปในรูปลักษณ์ของเด็กหญิงวัย 11 ปีเช่นนี้โดยถูกกำหนดตัวตนขึ้นมาใหม่เท่านั้น นางอาจกลายเป็นบุตรสาวของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง หรืออาจจะปรากฏตัวเป็นคนเร่ร่อนไร้ญาติพี่น้องในแดนทุรกันดาร หากเป็นเช่นนั้นเหยาจีก็ต้องลำบากไม่น้อยเสียงพูดคุยรอบวิมานแก้วเงียบสนิท ทุกคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันไป ทั้งสงสารเหยาจี ทั้งเห็นควรกับบทลงโทษ และแน่นอนที่สุดพวกเขาพยายามคิดถึงเรื่องราวของแดนมนุษย์ที่เวลานี้แทบจะกลายเป็นสถานที่แปลกใหม่สำหรับพวกตนไปเสียแล้ว“ข้าน้อยอยู่กับนางเกือบจะตลอดเวลา แต่ยังปล่อยให้นางกระทำความผิดต่อหน้าได้ ข้าก็จะขอรับโทษขับไล่ออกจากแดนสวรรค์ไปพร้อมกับนางขอรับ ขอท่านมหาเทพทั้งสามได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย” สี่เสินคุกเข่า
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสินะ บางทีพวกเราอาจจะคิดน้อยเกินไปเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผลนั้น” มหาเทพฮ่าวเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดพอๆ กับมหาเทพสิงเทียนที่ยืนฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่เช่นกัน“ใช่ ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าต้นท้อสวรรค์จะสามารถเติบโตและออกผลได้รวดเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานกลิ่นของท้อสวรรค์ก็อาจจะดึงดูดพวกปีศาจให้ออกมาปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ได้เช่นกัน”“นี่อาจจะถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนแดนมนุษย์แล้วกระมัง” มหาเทพสิงเทียนถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจสามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่สบตากันไปมาพักใหญ่ก็พยักหน้าพร้อมกันด้วยความเห็นพ้อง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว“ดูนั่น!!” เหล่าทวยเทพและเซียนบนสวรรค์ชี้มือขึ้นไปยังกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบนดวงตาสีทองขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือเมฆ ทำเอาทั่วทั้งแดนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมดจากภาพที่ไม่ได้พบเห็นมานาน“สามมหาเทพจะเบิกเนตรเทวะ!! เกิดอะไรขึ้นบนแดนมนุษย์กันแน่!”ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาตอบ ดวงตาสีทองที่กินพื้นที่ไปครึ่งค่อนท้องฟ้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เหยาจี สี่เ
“นั่นก็จริงของเจ้าสี่เสิน ยามนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับฝ่ายเรา แต่ข้าก็ยังคิดว่าผลท้อสวรรค์ก็อาจต่อเส้นเอ็นของข้ารวมทั้งคืนดวงตาให้กับฝูซีไม่ได้อยู่ดี” อ๋าวหลวนหลงหลับตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ความหวังดีของมู่เหยาจีอาจไร้ประโยชน์สำหรับตนฝูซีฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ผลท้อสวรรค์ให้คุณประโยชน์ในเรื่องอายุขัยและเพิ่มพลังปราณจำนวนมากเท่านั้น ต่างจากท้อโอสถที่ครอบคลุมการรักษาสารพัดนึก เสียดายที่มู่เหยาจีไม่มีเมล็ดพันธุ์ท้อโอสถติดกายลงมาด้วยแม้แต่เมล็ดเดียว“ผู้ใดจะรู้ ผลท้อธรรมดาของนางยังมีความสามารถในการรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้ ท้อสวรรค์ที่ปลูกบนแดนมนุษย์อาจสร้างปาฏิหาริย์ที่เราไม่อาจคาดเดา”“แท้จริงแล้วมีของสิ่งหนึ่งที่รักษาบาดแผลของข้าได้ แต่มันไม่อาจสร้างดวงตาของฝูซีขึ้นมาใหม่” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียของสหายรักเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือหลวนหลง! สวรรค์เมตตาข้าแล้ว มันคือสิ่งใดเจ้าบอกพ่อ พ่อจะไปหามาให้เจ้าเอง!" อ๋าวซีซวนแทบไม่อยากจะเชื่อหู แต่นี่คือคำพูดของอ๋าวหลวนหลงเองเชียวนะ บุตรชายไม่พูดอะไรพล่อยๆ เป็นแน่!!“ท่านพ่อไม่ต้องลำบากไปตามหาแต่อย่างใดเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของตระกูลอ๋
“พี่ใหญ่ ข้าขอเสนอให้บ้านสายหลักของพวกเราย้ายมาสร้างที่เกาะจิงเหมินเจ้าค่ะ ที่นั่นนอกจากจะมีบรรยากาศที่ดีแล้วก็ยังอยู่ใกล้กับเกาะลอยอีกด้วย” คุณหนูใหญ่อ๋าวหลวนจิงออกความเห็นขณะที่คนสกุลอ๋าวทุกคนกลับมารวมตัวกันที่จวนสกุลเจียง“เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว หากเราซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินได้ทั้งหมด ก็ยังพาสัตว์เหล่านี้ข้ามไปอยู่บนเกาะได้อีกด้วย เส้นทางน้ำระหว่างแผ่นดินใหญ่ไปที่เกาะจิงเหมินไม่ได้ลึกเท่าใดนัก พวกมันสามารถว่ายข้ามไปได้สบายๆ” อ๋าวหลวนกังเห็นด้วยกับน้องสาว“ใช่ว่าข้าจะไม่สนใจความเห็นของพวกเจ้า แต่เราเหลือทรัพย์สินกันเท่าไรเชียว” อ๋าวหลวนเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ เขาให้ท่านแม่รวบรวมเงินและข้าวของมีค่าจากทุกคนมานับดู คิดว่าอย่างมากพวกตนก็อาจจะหาซื้อเรือนขนาดใหญ่ได้สักเรือน การค้าเดิมที่ในเมืองหลงเทียนกว่าจะปรับปรุงให้เข้าที่เข้าทางและทำรายได้อีกครั้งก็คงอีกนาน เรื่องซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะในช่วงเวลานี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะพี่ใหญ่ พวกเราจะซื้อเกาะจิงเหมินมาเป็นที่ตั้งของจวนสกุลอ๋าวสายหลัก ไม่มีที่อื่นที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาทำให้ทุ
ภายในเรือนร่างผ่ายผอมลงไปมากของฝูซีนั่งอยู่เคียงข้างร่างของอ๋าวหลวนหลงบนเตียงนอนสีขมุกขมัว ดวงตาทั้งสองข้างของฝูซีมีผ้าสกปรกผืนหนึ่งพันเอาไว้ดูเหมือนว่าทั้งฝูซีและอ๋าวหลวนเคยได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นไปบ้างแล้ว แต่จากสีของผ้าพันแผลที่เก่าสกปรกนั่นก็แน่นอนว่าหลังจากรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้ได้ เหลาอีโจวก็ไม่ได้สั่งให้หมอมาทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำเพียงให้พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ เรื่องผลท้อที่จะให้คนทั้งคู่ได้กินเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บยิ่งไม่ต้องหวัง!กล่าวตามตรงนางจำต้องเบือนหน้าออกไปมองกัวเฟยเฟิ่งอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ สภาพร่างกาย สภาพในเรือนรวมทั้งถาดอาหารหรือน้ำดื่มที่วางอยู่ ทุกอย่างดีเกินกว่าที่มู่เหยาจีคาดเดาเอาไว้ในคราวแรก และดูเหมือนว่ากัวเฟยเฟิ่งน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเรื่องกลิ่นและธุระส่วนตัวของบุรุษสองคน คุณหนูจากสกุลกัวคงจะเข้ามาช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากกว่านี้เป็นแน่“เหยาจี..” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นมู่เหยาจียืนอยู่กลางเรือนเขายังคิดว่าตนเองยังคงติดอยู่ในภาพฝันกลิ่นหอมจากร่างงามแผ่กำจายออกมาทั่วห้องเหม็นอับจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วแน่น เ
คนกลุ่มแรกที่พวกอ๋าวหลวนเซี่ยได้พบและคิดว่าจะได้ลงไม้ลงมือให้หนำใจสักรอบกลับกลายเป็นกลุ่มของตระกูลใหญ่ทั้งเก้าตระกูลที่เลือกไปอยู่ฝ่ายสกุลเหลา พวกเขาทิ้งอาวุธซ้ำยังทำท่าทีนอบน้อมสำนึกผิดเข้าใส่จนฝ่ายสกุลอ๋าวตั้งรับปรับตัวไม่ทัน“หลานชายพวกเจ้าก็รู้ดีว่าพวกเราทั้งหมดต่างก็มีความจำเป็นต้องเลือกข้าง ยามนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเราคิดผิด!” ผู้นำตระกูลจากเก้าตระกูลใหญ่กล่าวกับอ๋าวหลวนเซี่ยก็จริงแต่พวกเขาก็รีบเข้าไปประจบประแจงอ๋าวซีห่าว อ๋าวซีเค่อและอ๋าวซีฮันที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันยกใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ยมองดูคนเหล่านี้ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีระดับการฝึกฝนต่ำที่สุดในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะฝ่ายสกุลเหลาให้ความสำคัญกับพวกอดีตเซียนมากกว่าและไม่ได้ใจกว้างเหมือนอ๋าวหลวนหลงที่พยายามยกระดับการฝึกฝนของทุกคนไปพร้อมกัน และเขาก็รู้ดีว่าน้องชายสี่ไม่เคยคิดจะเข่นฆ่าผู้ใดหากไม่จำเป็น“แน่นอนว่าข้าเข้าใจพวกท่านดี แต่เรื่องจะให้รับพวกท่านเข้ามาอย่างเต็มใจนั้นข้าคงทำไม่ได้เช่นกัน พวกท่านรีบกลับไปที่จวนของพวกท่านแล้วปิดประตูให้ดีเถิด หลังจากนี้หากพวกเราเห็นใครคิดออกนอกแถวอีกก็อย่าหาว่าสกุ
“พวกเจ้าก็เป็นสหายกับพวกหวางเซี่ยที่อยู่บนเกาะเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” อ๋าวหลวนหลิงชวนคุยต่อสัตว์หน้าขนสี่ตัวหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกมันรับรู้จากมู่สี่เสินแล้วว่ายังมีสหายสัตว์น้ำที่มาจากแดนสวรรค์อยู่อีกเก้าตัว แต่สัตว์กลุ่มนั้นลงมาก่อนพวกมันตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พวกมันเพิ่งลงมาได้ 500 ปีเท่านั้น จะว่าเป็นสหายกันก็เหมือนจะใช่ แต่แท้จริงแล้วพวกมันยังไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ“ไม่เป็นไรๆ ถึงเจ้าอยากจะตอบก็ตอบข้าไม่ได้อยู่ดีใช่ไหมเล่า แต่พวกเจ้าช่วยครอบครัวของเราสองคนก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นสหายของพวกเราแล้วล่ะ”ได้ยินว่าพวกตนได้รับการต้อนรับให้เป็นสหายของมนุษย์ สัตว์ทั้งสิบสองตัวก็ยิ่งลิงโลดออกอาการตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ แต่แล้วอยู่ดีๆ พวกมันก็ต้องหยุดชะงักแหงนมองขึ้นไปด้านบนท้องฟ้าเหนือจวนสกุลเจียงมืดครึ้มลงอย่างกะทันหัน เสียงกรีดร้องหวาดกลัวจากบรรดาสตรีที่อยู่ในจวนทำเอาสัตว์ยักษ์พากันเงียบเสียงและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เพื่อสหายใหม่ของพวกเขา!“แกว่กๆ” เจ้านกยักษ์สองตัวที่บนหลังของพวกมันมีซินหรูอี้และเวยวั่งซูนั่งอยู่มองค้อนดูภาพเบื้องล่างกันตาแทบกลับ ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแง่งอนหวาง
สุนัขจิ้งจอกและตะขาบต่างก็พากันทำหน้าที่ของมันโดยการเข้าไปแทรกอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นจนฝูงชนวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงและไม่มีผู้ใดกล้าทดสอบโจมตีพวกมันเป็นคนแรกวานรยักษ์ตัวหนึ่งทุบกำปั้นอันใหญ่โตของมันลงบนพื้นดินหลายครั้งจนเป็นหลุมลึก“โจมตีมัน!! หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะรอด ต้องช่วยกันจัดการพวกมันไปทีละตัว!” เหลาอีโจวถูกทอดทิ้งให้ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของวานรยักษ์โดยรอบๆ ยังมีสุนัขจิ้งจอกอีกหกตัวล้อมวงกันไว้อีกชั้น เมื่อเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดเริ่มลงมือเหลาอีโจวจึงได้พยายามควบคุมลิงน้อยทั้งแปดอีกครั้ง โดยตั้งใจจะให้พวกมันออกคำสั่งกับวานรยักษ์ให้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนสกุลอ๋าวแทน“เจี๊ยกๆๆๆ” ลิงน้อยถูกรบกวนจิตใจอย่างรุนแรงจนพวกมันส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น เจ้าวานรทั้งสี่ก็รีบตอบสนองทันควัน“อ้ากกกก!! ปล่อยข้า! ช่วยข….” เหลาอีโจวยังส่งเสียงขอความช่วยเหลือไม่ทันสิ้นคำ ร่างของเขาก็ถูกวานรยักษ์จับขาข้างหนึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศให้สภาพห้อยหัวลงมา ขณะที่ทุกคนยังไม่หายตกใจ วานรยักษ์ก็สะบัดร่างคนใจร้ายฟาดลงกับพื้นดินก้มหลุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับร่างนั้นเป็นตุ๊กตาผ้า เหลา
“แกว่กกกกก แกว่กกก” เสียงร้องสั้นสลับยาวของนกอินทรีสองตัวดังขึ้นจากบนฟ้ามาแต่ไกล เป็นเหตุให้การห้ำหั่นเบื้องล่างหยุดชะงักลงชั่วขณะสิ่งที่พวกเขาแปลกใจเป็นอันดับแรกย่อมเป็นเสียงอันทรงพลังที่คล้ายว่าอยู่เหนือศีรษะแต่นกสองตัวนั้นอยู่ในระยะไกลจากพวกเขาพอสมควร“ก็แค่เสียงสะท้อนของนกตัวสองตัวเท่านั้น จัดการพวกมันต่อ!!” กลุ่มผู้ฝึกตนจากสองฝ่ายยังไม่ทันได้คลายความข้องใจ พวกเขาก็ต้องรีบดึงสติกลับมาสู่การรบดังเดิม“หลวนเซี่ย เจ้ากลับไปดูแม่กับน้องๆ เจ้าก่อน ไปเดี๋ยวนี้!!” อ๋าวซีห่าวอาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนมัวแต่สนใจนกบนฟ้ารีบวิ่งมาหาบุตรชายคนโต“ข้าจะไม่มีวันถอยหลังเป็นอันขาดท่านพ่อ เราจะตายไปพร้อมกัน!!” บทสนทนาที่ทรงพลังของอ๋าวหลวนเซี่ยส่งผลให้ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ฆ่าได้หนึ่งก็ลดจำนวนศัตรูลงหนึ่ง พวกเขาพร้อมจะตายในสนามรบแล้ว“แกว่กๆๆๆๆๆๆๆ” นกอินทรีสองตัวคล้ายว่าจะไม่พอใจเท่าใดนักที่มนุษย์เดินดินหาได้สนใจมันสองตัวไม่ มันรีบส่งเสียงร้องรัวๆ ตีปีกใหญ่โตของมันพร้อมกับเหินต่ำลงมาเรื่อย เสียงร้องของผู้ฝึกตนหลายคนดังขึ้นทำให้เจ้านกยักษ์พึงพอใจที่สุดที่มีคนหันกลับมาสนใจพวกมันอีกครั้ง“ว้ากกกก นั
หุบเขาลึกลับกลางป่าตะวันตกลิงน้อยแปดตัวหลบหนีออกจากการควบคุมของเหลาอีโจวได้ พวกมันก็มุ่งหน้ากลับมาที่หุบเขาลึกลับและได้พบกับสหายอีกสองตัวที่คิดเหมือนกันกับพวกมันหลังจากแย่งกันสื่อสารบอกกับวานรยักษ์ทั้งสี่ตัวให้ล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับมู่สี่เสิน ลิงยักษ์ทั้งสี่ก็อาละวาดทำลายต้นไม้ใหญ่ภายในหุบเขาจนราบเป็นหน้ากลอง ร้อนถึงสุนัขจิ้งจอกและนกอินทรีต้องรีบมาเกลี้ยกล่อมให้พวกมันใจเย็นลงลิงน้อยสองตัวที่อยู่กับกลุ่มคนสกุลอ๋าวไม่ได้ข้ามไปยังแดนเหนือด้วย พวกมันรู้แล้วว่ามู่สี่เสินได้รับการช่วยเหลือและถูกส่งตัวกลับไปที่เกาะลอย มันยังรู้อีกด้วยว่ายามนี้สกุลอ๋าวกำลังถูกไล่ต้อนไปทางใต้ และหากสกุลอ๋าวพ่ายแพ้สถานที่ต่อไปที่จะถูกโจมตีก็จะเป็นเกาะลอยของพวกมัน!!เจ้าลิงทั้งสิบปีนป่ายขึ้นไปขี่หลังสุนัขจิ้งจอกทั้งหกเอาไว้ แล้วชี้นิ้วออกคำสั่งวานรทั้งสี่ตัวให้มันเดินทางไปที่ช่องแคบทางเข้าหุบเขาทันที!!วานรสองตัวไปถึงช่องแคบที่เล็กเพียงคนลอดผ่านได้ มันก็เริ่มต่อยเข้าไปยังกำแพงหินหนาพร้อมๆ กัน“เปรี้ยง!! ครืน!!” การต่อยด้วยหมัดจากวานรยักษ์สองตัวเพียงครั้งเดียว ช่องเขาหินที่ผุกร่อนก็พังทลายเป็นรูขนาดใหญ่ ส่ง