“นั่นก็จริงของเจ้าสี่เสิน ยามนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับฝ่ายเรา แต่ข้าก็ยังคิดว่าผลท้อสวรรค์ก็อาจต่อเส้นเอ็นของข้ารวมทั้งคืนดวงตาให้กับฝูซีไม่ได้อยู่ดี” อ๋าวหลวนหลงหลับตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ความหวังดีของมู่เหยาจีอาจไร้ประโยชน์สำหรับตนฝูซีฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ผลท้อสวรรค์ให้คุณประโยชน์ในเรื่องอายุขัยและเพิ่มพลังปราณจำนวนมากเท่านั้น ต่างจากท้อโอสถที่ครอบคลุมการรักษาสารพัดนึก เสียดายที่มู่เหยาจีไม่มีเมล็ดพันธุ์ท้อโอสถติดกายลงมาด้วยแม้แต่เมล็ดเดียว“ผู้ใดจะรู้ ผลท้อธรรมดาของนางยังมีความสามารถในการรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้ ท้อสวรรค์ที่ปลูกบนแดนมนุษย์อาจสร้างปาฏิหาริย์ที่เราไม่อาจคาดเดา”“แท้จริงแล้วมีของสิ่งหนึ่งที่รักษาบาดแผลของข้าได้ แต่มันไม่อาจสร้างดวงตาของฝูซีขึ้นมาใหม่” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียของสหายรักเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือหลวนหลง! สวรรค์เมตตาข้าแล้ว มันคือสิ่งใดเจ้าบอกพ่อ พ่อจะไปหามาให้เจ้าเอง!" อ๋าวซีซวนแทบไม่อยากจะเชื่อหู แต่นี่คือคำพูดของอ๋าวหลวนหลงเองเชียวนะ บุตรชายไม่พูดอะไรพล่อยๆ เป็นแน่!!“ท่านพ่อไม่ต้องลำบากไปตามหาแต่อย่างใดเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของตระกูลอ๋
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสินะ บางทีพวกเราอาจจะคิดน้อยเกินไปเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผลนั้น” มหาเทพฮ่าวเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดพอๆ กับมหาเทพสิงเทียนที่ยืนฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่เช่นกัน“ใช่ ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าต้นท้อสวรรค์จะสามารถเติบโตและออกผลได้รวดเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานกลิ่นของท้อสวรรค์ก็อาจจะดึงดูดพวกปีศาจให้ออกมาปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ได้เช่นกัน”“นี่อาจจะถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนแดนมนุษย์แล้วกระมัง” มหาเทพสิงเทียนถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจสามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่สบตากันไปมาพักใหญ่ก็พยักหน้าพร้อมกันด้วยความเห็นพ้อง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว“ดูนั่น!!” เหล่าทวยเทพและเซียนบนสวรรค์ชี้มือขึ้นไปยังกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบนดวงตาสีทองขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือเมฆ ทำเอาทั่วทั้งแดนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมดจากภาพที่ไม่ได้พบเห็นมานาน“สามมหาเทพจะเบิกเนตรเทวะ!! เกิดอะไรขึ้นบนแดนมนุษย์กันแน่!”ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาตอบ ดวงตาสีทองที่กินพื้นที่ไปครึ่งค่อนท้องฟ้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เหยาจี สี่เ
การมาถึงของเซียนสวรรค์สี่หมื่นกว่าชีวิตที่ลงมาจุติบนแดนมนุษย์พร้อมกัน ทำให้มนุษย์บนแผ่นดินใหญ่แตกตื่นกับข่าวที่มาพร้อมกับพวกเขาไม่น้อย อดีตเซียนกลุ่มแรกที่เข้าร่วมหลงผิดไปกับเหลาอีโจว พอได้รู้ว่าบนแดนสวรรค์รับรู้ถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของพวกเขาทั้งหมดก็แทบอยากจะปลิดชีพตัวเองด้วยความละอายใจ ยังดีที่มีอีกหลายคนยังคิดได้ว่าพวกเขาสามารถจะชดใช้ความผิดครั้งนี้ได้โดยการปกป้องแดนมนุษย์อันเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกตนเอาไว้ให้ดีที่สุดแทน สถานการณ์จึงกลับกลายเป็นทุกคนต่างร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง“เราไม่อาจรู้ได้ว่าปีศาจจะเข้ามายังแดนมนุษย์จากทางไหน เมื่อใด นั่นคือปัญหาใหญ่” อ๋าวหลวนเซี่ยถามด้วยความกังวล“ผลท้อจะสุกเมื่อใดหรือเหยาจี ข้าคิดว่าเวลานี้ที่พวกมันยังไม่เข้ามาก็คงเป็นเพราะกลิ่นของท้อสวรรค์ยังไม่รุนแรงพอ ข้าเชื่อว่าเมื่อใดที่ผลท้อส่งกลิ่นชัดเจนก็จะเป็นเวลานั้นนั่นล่ะ”“ตั้งแต่ที่พวกมันออกผลมา เวลานี้พลังของข้าก็ไม่อาจใช้เร่งการเจริญเติบโตของมันได้แล้วเจ้าค่ะพี่สี่เสิน"“หมายความว่ามันอาจจะสุกในอีกสองสามพันปีข้างหน้าเช่นนั้นหรือ? แล้วคุณชายสี่.." มู่สี่เสินร้อนใจอย่างหนัก
“หุบเขาทางฝั่งตะวันตก!!” สถานที่อันดับแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของมู่สี่เสินก็คือใจกลางหุบเขาตะวันตกอันเป็นที่อยู่อาศัยเดิมของสัตว์ทั้ง 14 ตัว“เป็นไปได้เลยทีเดียว เจ้าตัวน่ารังเกียจพวกนั้นปรากฏตัวในฝั่งตะวันตกมากกว่าทิศทางอื่น ข้าก็อาศัยอยู่ทิศนี้มาตั้งนานทำไมข้าจึงคิดไม่ได้นะ!” ต้าโหวจื้อทุบกำปั้นข้างหนึ่งเข้ากับฝ่ามือตนเอง “ที่นั่นมองจากด้านนอกจะไม่เห็นว่ามีหุบเขาลึกลับอยู่ด้านใน แม้แต่ข้าเองที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งกลับไปอีกทีก็ยากที่จะหาทางเข้าพบ ทางที่ดีเรารีบพาคนเข้าไปสำรวจกันเลยจะดีกว่า" มู่สี่เสินหันไปมองกลุ่มสัตว์ยักษ์ที่อยู่ใกล้กับเขา เวลานี้มีวานร 1 ตัว สุนัขจิ้งจอก 2 และนกอินทรีอีก 1"พวกเจ้าทั้งสามนำทางพวกเราไปที่นั่น ส่วนเจ้าคอยบินส่งข่าวให้ฝูซี หากเราพบว่าเป็นที่นั่นเป็นทางเข้าออกจริงก็ให้รีบส่งคนตามไป!!”ข่าวเรื่องการเข้าไปสำรวจหุบเขาลึกลับตะวันตกแพร่กระจายไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนที่กระจายตัวกันอยู่ทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานพวกเขาก็แบ่งกำลังคนแต่ละจุดให้มาเข้าร่วมเดินทางไปกับมู่สี่เสินสัตว์ยักษ์ทั้งสามตัวเคยอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกลับแห่งนั้นมาร่วม 500 ปี เวลานี้ได้รับค
“ดูเหมือนว่าสัตว์ปีศาจพวกนี้ออกมาจากก้นเหวน้อยกว่าเดิมแล้วนะ” ผังหนงชักชวนให้ทุกคนมองไปยังปากเหว ที่สัตว์ปีศาจห้าขาขึ้นมาจากด้านล่างน้อยกว่าเดิม และเวลานี้พวกมันยังหยุดขนไข่ผ่านช่องทางนี้อีกด้วย“ปีศาจห้าขาคงเป็นเพียงกลุ่มแรกที่พวกมันส่งมาดูความสามารถของมนุษย์ ต่อไปมันอาจจะหาช่องทางอื่นพบแล้วเป็นไปได้ว่าจะส่งสัตว์ปีศาจที่มีความสามารถสูงขึ้นมาแทน” ฝูซีให้ความเห็น“ข้าว่าก็ไม่เท่าไรนะ ดูอย่างพวกที่อยู่ในไข่สิยังไม่ทันไรพวกเราก็จัดการเก็บกวาดได้ราบคาบ มีมาอีกเราก็สังหารทิ้งเสียก็หมดเรื่อง!!” จงหลีถ่มน้ำลายลงพื้น เบะปากอย่างลำพองใจ“อย่าชะล่าใจไป อย่าลืมว่าบนแดนสวรรค์ก็มีคนที่สูงส่งเกินจินตนาการมนุษย์ แดนปีศาจก็คงไม่ต่างกัน มนุษย์อย่างเราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”“ที่ปากเหวแห่งนี้มีต้าโหวจื้อคอยเฝ้าระวังเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าพวกเราควรกระจายตัวกันออกไปทางอื่นบ้าง ข้าว่าทางเหนือก็มีเทือกเขาสูงและมีหุบเหวลักษณะเดียวกันนี้ไม่น้อย” เวยวั่งซูพิจารณาว่าสัตว์ปีศาจอาจค้นหาเส้นทางขึ้นจากก้นเหวที่อื่นดังเดิม “เช่นนั้นพี่ชายเวยก็นำกำลังคนไปทางเหนือ ส่วนข้าคิดจะนำคนส่วนหนึ่งตามน้องสาวกลับไปทางใต้"ฝูซีพยั
แดนสวรรค์มหาเทพทั้งสามรวมทั้งเหล่าทวยเทพยืนมองภาพแดนมนุษย์เบื้องล่างผ่านเนตรเทวะ หลายคนกำหมัดแน่นด้วยความรันทดใจกับภาพการต่อสู้ห้ำหั่นกันระหว่างมนุษย์และสัตว์ปีศาจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พวกมันไม่ได้ปรากฏตัวเพิ่มขึ้นเพียงทางทะเลเท่านั้น แต่ยังเปิดช่องทางเข้าแดนมนุษย์จากทางทิศเหนือได้อีกทางตามที่เวยวั่งซูคาดเดาเอาไว้ เวลานี้สงครามระหว่างมนุษย์และสัตว์ปีศาจจึงเกิดไปทั่วทุกทิศทางและรุนแรงมากขึ้นทุกวัน“ถึงเวลาที่พวกเราจะลงไปแดนมนุษย์แล้วกระมัง สัตว์ปีศาจเหล่านั้นเริ่มส่งตัวตนระดับสูงขึ้นมาไม่หยุด อีกไม่นานพวกเขาจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหว” มหาเทพสิงเทียนกลั้นหายใจอยู่หลายอึดใจ เขาเพิ่งได้เห็นภาพสุนัขจิ้งจอกกับปลาหมึกตายไปอย่างน่าเวทนาในเวลาใกล้เคียงกันถึงสองตัว“แท้จริงแล้วมนุษย์รับมือพวกมันไม่ไหวมาระยะหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ ที่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ก็เป็นเพราะสัตว์เลี้ยงของเหยาจีทั้งสิ้น เราจะทนมองเห็นพวกเขาล้มตายไปจนหมดได้หรือท่านทั้งสาม!” เหล่าทวยเทพเริ่มออกเสียงประท้วงมหาเทพทั้งสามองค์ใบหน้าเรียบเฉยของมหาเทพฮ่าวเทียนยังคงจดจ้องไปที่เนตรเทวะ แต่แววตาของเขาก็แฝงไปด้วยความเจ็
“เจ้าควรจัดการเรื่องการแบ่งผลท้อทั้ง 14 ผลออกไปให้เร็วที่สุด เวลานี้กลิ่นของมันดึงดูดสัตว์ปีศาจให้มุ่งมาที่เกาะลอยเพียงแห่งเดียวแล้ว อย่าชักช้าอยู่เลยน้องสี่” “คุณชายใหญ่กล่าวได้ถูกแล้ว หากผลท้อถูกกินไปทั้งหมดไม่แน่ว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้อาจกลับไปยังแดนปีศาจของมันดังเดิมก็ได้" มู่สี่เสินรีบสนับสนุนคำกล่าวของอ๋าวหลวนเซี่ยอีกเสียงอ๋าวหลวนหลงได้รับความช่วยเหลือจากมารดาและฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง กล่าวตามจริงเขาก็ใคร่ครวญเรื่องผลท้อทั้ง 14 ผลมานานพอสมควรว่านอกจากตนเอง มู่เหยาจี ฝูซีและสี่เสินแล้ว อีกสิบผลที่เหลือส่วนหนึ่งก็คิดจะมอบให้กับสหายสี่-ห้าคนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน อีกส่วนก็จะมอบให้กับทายาทสายหลักสกุลอ๋าวเพื่อความมั่นคงของสายตระกูลแต่สถานการณ์รอบเกาะลอยในเวลานี้ทำให้ชายหนุ่มต้องตัดสินใจใหม่อีกครั้ง“ฝูซี สี่เสิน เหยาจี พวกเจ้ารับกันไปก่อนคนละผล” การตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนที่อยู่ในเรือน แต่มู่เหยาจีกลับมีสีหน้าลังเลใจ“ด้านนอกกำลังมีศึกใหญ่ ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนสายพฤกษาเท่านั้น ยามนี้ผลท้อน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่แข็งแกร่งมากกว่า
วิมานแก้ว แดนสวรรค์มหาเทพ 3 องค์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดปกครองสวรรค์ร่วมกันประทับอยู่บนบัลลังก์เหม่อมองไปยังเหล่าทวยเทพและเซียนสวรรค์นับหมื่นด้วยสายตาเรียบนิ่งด้านชา มีเพียงบางครั้งที่รู้สึกตัวก็จะพยายามโบกมือและส่งยิ้มให้กับเทพและเซียนบนแดนสวรรค์เป็นระยะวันนี้พวกเขาทั้งสามมารวมตัวกันที่วิมานแก้วที่ประทับของมหาเทพมู่ซี สตรีเพียงหนึ่งเดียวในมหาเทพทั้งสาม ผู้เป็นเจ้านายแห่งมวลพฤกษานานาพรรณ ด้วยเหตุที่ว่าท้อสวรรค์ที่จะสุกทุก 3,000 ปี ได้สุกงอมเต็มที่ เซียนสวรรค์นับหมื่นจึงมารวมตัวกันเพื่อรอรับส่วนผลไม้แห่งอายุวัฒนะนี้“ต้นท้อออกผลกี่ผลกันเล่าคราวนี้ท่านมหาเทพมู่ซี” มหาเทพฮ่าวเทียนผู้เป็นนายแห่งสรรพสิ่ง ควบคุมสุริยัน จันทรา ดิน น้ำ ลมไฟ เริ่มตั้งคำถามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย“ได้ยินว่า คราวนี้มีถึง 384 ผลเลยทีเดียว ทั้งยังสามารถขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นได้อีกถึง 3 ต้น อีก 3.000 ปี พอพวกมันสุกพร้อมกันก็คงจะมีมากกว่านี้อีกไม่น้อย” มหาเทพมู่ซีเปิดเผยสีหน้าลำบากใจออกมาท้อสวรรค์เป็นผลไม้ในดินแดนเทพที่เคยเป็นที่ต้องการของมนุษย์ที่ต้องการเพิ่มอายุขัยมาช้านาน แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว บัดนี้แดนสวรร
“เจ้าควรจัดการเรื่องการแบ่งผลท้อทั้ง 14 ผลออกไปให้เร็วที่สุด เวลานี้กลิ่นของมันดึงดูดสัตว์ปีศาจให้มุ่งมาที่เกาะลอยเพียงแห่งเดียวแล้ว อย่าชักช้าอยู่เลยน้องสี่” “คุณชายใหญ่กล่าวได้ถูกแล้ว หากผลท้อถูกกินไปทั้งหมดไม่แน่ว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้อาจกลับไปยังแดนปีศาจของมันดังเดิมก็ได้" มู่สี่เสินรีบสนับสนุนคำกล่าวของอ๋าวหลวนเซี่ยอีกเสียงอ๋าวหลวนหลงได้รับความช่วยเหลือจากมารดาและฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง กล่าวตามจริงเขาก็ใคร่ครวญเรื่องผลท้อทั้ง 14 ผลมานานพอสมควรว่านอกจากตนเอง มู่เหยาจี ฝูซีและสี่เสินแล้ว อีกสิบผลที่เหลือส่วนหนึ่งก็คิดจะมอบให้กับสหายสี่-ห้าคนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน อีกส่วนก็จะมอบให้กับทายาทสายหลักสกุลอ๋าวเพื่อความมั่นคงของสายตระกูลแต่สถานการณ์รอบเกาะลอยในเวลานี้ทำให้ชายหนุ่มต้องตัดสินใจใหม่อีกครั้ง“ฝูซี สี่เสิน เหยาจี พวกเจ้ารับกันไปก่อนคนละผล” การตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนที่อยู่ในเรือน แต่มู่เหยาจีกลับมีสีหน้าลังเลใจ“ด้านนอกกำลังมีศึกใหญ่ ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนสายพฤกษาเท่านั้น ยามนี้ผลท้อน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่แข็งแกร่งมากกว่า
แดนสวรรค์มหาเทพทั้งสามรวมทั้งเหล่าทวยเทพยืนมองภาพแดนมนุษย์เบื้องล่างผ่านเนตรเทวะ หลายคนกำหมัดแน่นด้วยความรันทดใจกับภาพการต่อสู้ห้ำหั่นกันระหว่างมนุษย์และสัตว์ปีศาจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พวกมันไม่ได้ปรากฏตัวเพิ่มขึ้นเพียงทางทะเลเท่านั้น แต่ยังเปิดช่องทางเข้าแดนมนุษย์จากทางทิศเหนือได้อีกทางตามที่เวยวั่งซูคาดเดาเอาไว้ เวลานี้สงครามระหว่างมนุษย์และสัตว์ปีศาจจึงเกิดไปทั่วทุกทิศทางและรุนแรงมากขึ้นทุกวัน“ถึงเวลาที่พวกเราจะลงไปแดนมนุษย์แล้วกระมัง สัตว์ปีศาจเหล่านั้นเริ่มส่งตัวตนระดับสูงขึ้นมาไม่หยุด อีกไม่นานพวกเขาจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหว” มหาเทพสิงเทียนกลั้นหายใจอยู่หลายอึดใจ เขาเพิ่งได้เห็นภาพสุนัขจิ้งจอกกับปลาหมึกตายไปอย่างน่าเวทนาในเวลาใกล้เคียงกันถึงสองตัว“แท้จริงแล้วมนุษย์รับมือพวกมันไม่ไหวมาระยะหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ ที่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ก็เป็นเพราะสัตว์เลี้ยงของเหยาจีทั้งสิ้น เราจะทนมองเห็นพวกเขาล้มตายไปจนหมดได้หรือท่านทั้งสาม!” เหล่าทวยเทพเริ่มออกเสียงประท้วงมหาเทพทั้งสามองค์ใบหน้าเรียบเฉยของมหาเทพฮ่าวเทียนยังคงจดจ้องไปที่เนตรเทวะ แต่แววตาของเขาก็แฝงไปด้วยความเจ็
“ดูเหมือนว่าสัตว์ปีศาจพวกนี้ออกมาจากก้นเหวน้อยกว่าเดิมแล้วนะ” ผังหนงชักชวนให้ทุกคนมองไปยังปากเหว ที่สัตว์ปีศาจห้าขาขึ้นมาจากด้านล่างน้อยกว่าเดิม และเวลานี้พวกมันยังหยุดขนไข่ผ่านช่องทางนี้อีกด้วย“ปีศาจห้าขาคงเป็นเพียงกลุ่มแรกที่พวกมันส่งมาดูความสามารถของมนุษย์ ต่อไปมันอาจจะหาช่องทางอื่นพบแล้วเป็นไปได้ว่าจะส่งสัตว์ปีศาจที่มีความสามารถสูงขึ้นมาแทน” ฝูซีให้ความเห็น“ข้าว่าก็ไม่เท่าไรนะ ดูอย่างพวกที่อยู่ในไข่สิยังไม่ทันไรพวกเราก็จัดการเก็บกวาดได้ราบคาบ มีมาอีกเราก็สังหารทิ้งเสียก็หมดเรื่อง!!” จงหลีถ่มน้ำลายลงพื้น เบะปากอย่างลำพองใจ“อย่าชะล่าใจไป อย่าลืมว่าบนแดนสวรรค์ก็มีคนที่สูงส่งเกินจินตนาการมนุษย์ แดนปีศาจก็คงไม่ต่างกัน มนุษย์อย่างเราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”“ที่ปากเหวแห่งนี้มีต้าโหวจื้อคอยเฝ้าระวังเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าพวกเราควรกระจายตัวกันออกไปทางอื่นบ้าง ข้าว่าทางเหนือก็มีเทือกเขาสูงและมีหุบเหวลักษณะเดียวกันนี้ไม่น้อย” เวยวั่งซูพิจารณาว่าสัตว์ปีศาจอาจค้นหาเส้นทางขึ้นจากก้นเหวที่อื่นดังเดิม “เช่นนั้นพี่ชายเวยก็นำกำลังคนไปทางเหนือ ส่วนข้าคิดจะนำคนส่วนหนึ่งตามน้องสาวกลับไปทางใต้"ฝูซีพยั
“หุบเขาทางฝั่งตะวันตก!!” สถานที่อันดับแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของมู่สี่เสินก็คือใจกลางหุบเขาตะวันตกอันเป็นที่อยู่อาศัยเดิมของสัตว์ทั้ง 14 ตัว“เป็นไปได้เลยทีเดียว เจ้าตัวน่ารังเกียจพวกนั้นปรากฏตัวในฝั่งตะวันตกมากกว่าทิศทางอื่น ข้าก็อาศัยอยู่ทิศนี้มาตั้งนานทำไมข้าจึงคิดไม่ได้นะ!” ต้าโหวจื้อทุบกำปั้นข้างหนึ่งเข้ากับฝ่ามือตนเอง “ที่นั่นมองจากด้านนอกจะไม่เห็นว่ามีหุบเขาลึกลับอยู่ด้านใน แม้แต่ข้าเองที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งกลับไปอีกทีก็ยากที่จะหาทางเข้าพบ ทางที่ดีเรารีบพาคนเข้าไปสำรวจกันเลยจะดีกว่า" มู่สี่เสินหันไปมองกลุ่มสัตว์ยักษ์ที่อยู่ใกล้กับเขา เวลานี้มีวานร 1 ตัว สุนัขจิ้งจอก 2 และนกอินทรีอีก 1"พวกเจ้าทั้งสามนำทางพวกเราไปที่นั่น ส่วนเจ้าคอยบินส่งข่าวให้ฝูซี หากเราพบว่าเป็นที่นั่นเป็นทางเข้าออกจริงก็ให้รีบส่งคนตามไป!!”ข่าวเรื่องการเข้าไปสำรวจหุบเขาลึกลับตะวันตกแพร่กระจายไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนที่กระจายตัวกันอยู่ทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานพวกเขาก็แบ่งกำลังคนแต่ละจุดให้มาเข้าร่วมเดินทางไปกับมู่สี่เสินสัตว์ยักษ์ทั้งสามตัวเคยอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกลับแห่งนั้นมาร่วม 500 ปี เวลานี้ได้รับค
การมาถึงของเซียนสวรรค์สี่หมื่นกว่าชีวิตที่ลงมาจุติบนแดนมนุษย์พร้อมกัน ทำให้มนุษย์บนแผ่นดินใหญ่แตกตื่นกับข่าวที่มาพร้อมกับพวกเขาไม่น้อย อดีตเซียนกลุ่มแรกที่เข้าร่วมหลงผิดไปกับเหลาอีโจว พอได้รู้ว่าบนแดนสวรรค์รับรู้ถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของพวกเขาทั้งหมดก็แทบอยากจะปลิดชีพตัวเองด้วยความละอายใจ ยังดีที่มีอีกหลายคนยังคิดได้ว่าพวกเขาสามารถจะชดใช้ความผิดครั้งนี้ได้โดยการปกป้องแดนมนุษย์อันเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกตนเอาไว้ให้ดีที่สุดแทน สถานการณ์จึงกลับกลายเป็นทุกคนต่างร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง“เราไม่อาจรู้ได้ว่าปีศาจจะเข้ามายังแดนมนุษย์จากทางไหน เมื่อใด นั่นคือปัญหาใหญ่” อ๋าวหลวนเซี่ยถามด้วยความกังวล“ผลท้อจะสุกเมื่อใดหรือเหยาจี ข้าคิดว่าเวลานี้ที่พวกมันยังไม่เข้ามาก็คงเป็นเพราะกลิ่นของท้อสวรรค์ยังไม่รุนแรงพอ ข้าเชื่อว่าเมื่อใดที่ผลท้อส่งกลิ่นชัดเจนก็จะเป็นเวลานั้นนั่นล่ะ”“ตั้งแต่ที่พวกมันออกผลมา เวลานี้พลังของข้าก็ไม่อาจใช้เร่งการเจริญเติบโตของมันได้แล้วเจ้าค่ะพี่สี่เสิน"“หมายความว่ามันอาจจะสุกในอีกสองสามพันปีข้างหน้าเช่นนั้นหรือ? แล้วคุณชายสี่.." มู่สี่เสินร้อนใจอย่างหนัก
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสินะ บางทีพวกเราอาจจะคิดน้อยเกินไปเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผลนั้น” มหาเทพฮ่าวเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดพอๆ กับมหาเทพสิงเทียนที่ยืนฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่เช่นกัน“ใช่ ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าต้นท้อสวรรค์จะสามารถเติบโตและออกผลได้รวดเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานกลิ่นของท้อสวรรค์ก็อาจจะดึงดูดพวกปีศาจให้ออกมาปรากฏตัวยังแดนมนุษย์ได้เช่นกัน”“นี่อาจจะถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนแดนมนุษย์แล้วกระมัง” มหาเทพสิงเทียนถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจสามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่สบตากันไปมาพักใหญ่ก็พยักหน้าพร้อมกันด้วยความเห็นพ้อง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว“ดูนั่น!!” เหล่าทวยเทพและเซียนบนสวรรค์ชี้มือขึ้นไปยังกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบนดวงตาสีทองขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือเมฆ ทำเอาทั่วทั้งแดนสวรรค์ปั่นป่วนไปหมดจากภาพที่ไม่ได้พบเห็นมานาน“สามมหาเทพจะเบิกเนตรเทวะ!! เกิดอะไรขึ้นบนแดนมนุษย์กันแน่!”ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมาตอบ ดวงตาสีทองที่กินพื้นที่ไปครึ่งค่อนท้องฟ้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เหยาจี สี่เ
“นั่นก็จริงของเจ้าสี่เสิน ยามนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับฝ่ายเรา แต่ข้าก็ยังคิดว่าผลท้อสวรรค์ก็อาจต่อเส้นเอ็นของข้ารวมทั้งคืนดวงตาให้กับฝูซีไม่ได้อยู่ดี” อ๋าวหลวนหลงหลับตาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ความหวังดีของมู่เหยาจีอาจไร้ประโยชน์สำหรับตนฝูซีฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ผลท้อสวรรค์ให้คุณประโยชน์ในเรื่องอายุขัยและเพิ่มพลังปราณจำนวนมากเท่านั้น ต่างจากท้อโอสถที่ครอบคลุมการรักษาสารพัดนึก เสียดายที่มู่เหยาจีไม่มีเมล็ดพันธุ์ท้อโอสถติดกายลงมาด้วยแม้แต่เมล็ดเดียว“ผู้ใดจะรู้ ผลท้อธรรมดาของนางยังมีความสามารถในการรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้ ท้อสวรรค์ที่ปลูกบนแดนมนุษย์อาจสร้างปาฏิหาริย์ที่เราไม่อาจคาดเดา”“แท้จริงแล้วมีของสิ่งหนึ่งที่รักษาบาดแผลของข้าได้ แต่มันไม่อาจสร้างดวงตาของฝูซีขึ้นมาใหม่” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียของสหายรักเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือหลวนหลง! สวรรค์เมตตาข้าแล้ว มันคือสิ่งใดเจ้าบอกพ่อ พ่อจะไปหามาให้เจ้าเอง!" อ๋าวซีซวนแทบไม่อยากจะเชื่อหู แต่นี่คือคำพูดของอ๋าวหลวนหลงเองเชียวนะ บุตรชายไม่พูดอะไรพล่อยๆ เป็นแน่!!“ท่านพ่อไม่ต้องลำบากไปตามหาแต่อย่างใดเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของตระกูลอ๋
“พี่ใหญ่ ข้าขอเสนอให้บ้านสายหลักของพวกเราย้ายมาสร้างที่เกาะจิงเหมินเจ้าค่ะ ที่นั่นนอกจากจะมีบรรยากาศที่ดีแล้วก็ยังอยู่ใกล้กับเกาะลอยอีกด้วย” คุณหนูใหญ่อ๋าวหลวนจิงออกความเห็นขณะที่คนสกุลอ๋าวทุกคนกลับมารวมตัวกันที่จวนสกุลเจียง“เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว หากเราซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะจิงเหมินได้ทั้งหมด ก็ยังพาสัตว์เหล่านี้ข้ามไปอยู่บนเกาะได้อีกด้วย เส้นทางน้ำระหว่างแผ่นดินใหญ่ไปที่เกาะจิงเหมินไม่ได้ลึกเท่าใดนัก พวกมันสามารถว่ายข้ามไปได้สบายๆ” อ๋าวหลวนกังเห็นด้วยกับน้องสาว“ใช่ว่าข้าจะไม่สนใจความเห็นของพวกเจ้า แต่เราเหลือทรัพย์สินกันเท่าไรเชียว” อ๋าวหลวนเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ เขาให้ท่านแม่รวบรวมเงินและข้าวของมีค่าจากทุกคนมานับดู คิดว่าอย่างมากพวกตนก็อาจจะหาซื้อเรือนขนาดใหญ่ได้สักเรือน การค้าเดิมที่ในเมืองหลงเทียนกว่าจะปรับปรุงให้เข้าที่เข้าทางและทำรายได้อีกครั้งก็คงอีกนาน เรื่องซื้อที่ดินจากชาวบ้านบนเกาะในช่วงเวลานี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะพี่ใหญ่ พวกเราจะซื้อเกาะจิงเหมินมาเป็นที่ตั้งของจวนสกุลอ๋าวสายหลัก ไม่มีที่อื่นที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาทำให้ทุ
ภายในเรือนร่างผ่ายผอมลงไปมากของฝูซีนั่งอยู่เคียงข้างร่างของอ๋าวหลวนหลงบนเตียงนอนสีขมุกขมัว ดวงตาทั้งสองข้างของฝูซีมีผ้าสกปรกผืนหนึ่งพันเอาไว้ดูเหมือนว่าทั้งฝูซีและอ๋าวหลวนเคยได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นไปบ้างแล้ว แต่จากสีของผ้าพันแผลที่เก่าสกปรกนั่นก็แน่นอนว่าหลังจากรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้ได้ เหลาอีโจวก็ไม่ได้สั่งให้หมอมาทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำเพียงให้พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ เรื่องผลท้อที่จะให้คนทั้งคู่ได้กินเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บยิ่งไม่ต้องหวัง!กล่าวตามตรงนางจำต้องเบือนหน้าออกไปมองกัวเฟยเฟิ่งอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ สภาพร่างกาย สภาพในเรือนรวมทั้งถาดอาหารหรือน้ำดื่มที่วางอยู่ ทุกอย่างดีเกินกว่าที่มู่เหยาจีคาดเดาเอาไว้ในคราวแรก และดูเหมือนว่ากัวเฟยเฟิ่งน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเรื่องกลิ่นและธุระส่วนตัวของบุรุษสองคน คุณหนูจากสกุลกัวคงจะเข้ามาช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากกว่านี้เป็นแน่“เหยาจี..” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นมู่เหยาจียืนอยู่กลางเรือนเขายังคิดว่าตนเองยังคงติดอยู่ในภาพฝันกลิ่นหอมจากร่างงามแผ่กำจายออกมาทั่วห้องเหม็นอับจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วแน่น เ