เกาะลอย“พี่สี่เสิน ข้าว่าตาข้าไม่ฝาดนะ ท่านช่วยบอกข้าหน่อยเถิดว่าคนเหล่านั้นใช่ท่านเซียนที่เคยอยู่บนแดนสวรรค์ใช่หรือไม่”“ข้าเห็นแล้วเหยาจี จะบังเอิญมีมนุษย์หน้าเหมือนกันกับท่านเซียนเป็นร้อยคนพอดิบพอดีเชียวหรือ? แต่ว่าหากเป็นท่านเซียนลงมาตามเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์จากเจ้าจริงๆ พวกเขาทำไมถึงอ่อนแอกันนักเล่า? สัตว์เหล่านั้นไม่มีพลังปราณนะ”“พี่สี่เสินข้ากลัว.. ข้าไม่ได้ตั้งใจเอามันลงมาจริงๆ นะเจ้าคะ พวกเขาก็งกเหลือเกินเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ปลูกได้ง่ายเมื่อใดกันเล่า! ยังคิดจะมาตามทวงคืนกันอีก”“เหยาจี พวกเขาจะใช่หรือแค่หน้าเหมือนเราก็ยังไม่รู้ชัด อีกอย่างพวกเขาก็ยังเข้ามาไม่ถึงเกาะลอยนี่ ใจเย็นลงก่อน”“สหายข้าอ่อนล้าเต็มที่แล้ว หากยังมีคนมาไม่หยุดเช่นนี้ต่อไปข้าว่าพวกเขาอาจจะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่ เราจะทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่เจ้าคะ”“เดี๋ยวนะเหยาจี เจ้าดูนั่น!!”“นั่นพวกเขา..”สองพี่น้องรวมทั้งชาวบ้านที่เฝ้าดูสถานการณ์การต่อสู้จากบนเกาะลอยอยู่ตลอด ได้เห็นกลุ่มเรือกลุ่มหนึ่งเริ่มโจมตีพวกเดียวกันเอง อาวุธและพลังถูกนำออกมาใช้ในการปกป้องสัตว์ทะเลซึ่งควรจะเป็นศัตรูของพวกเขา เดิมทีการต่อสู้ระหว่า
ต้าโหวจื้อและอดีตเซียนคนอื่นๆ ก็ได้ข่าวสารใหม่มาเช่นกัน “เหลาอีโจวตั้งใจจะบีบสกุลอ๋าวไว้ตรงกลาง แล้วเริ่มลงมือทางทิศตะวันออกกับตะวันตกที่อ่อนแอก่อน ฉลาดนัก!!”“แล้วสำนักต้าซิงของพวกเราเล่าเวลานี้จะถูกกำจัดไปแล้วหรือไม่!! เราต้องรีบกลับสำนักกันเดี๋ยวนี้นะโหวจื้อ” “ไม่จำเป็น ก่อนมาที่นี่ข้าสั่งทางนั้นเอาไว้แล้วว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันให้พวกเราย้ายมาเข้าร่วมกับหลวนหลง เหลาอีโจวมันบ้าระห่ำเกินไป”คนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย เหลาอีโจวไม่ใช่เพียงบ้าดีเดือด แต่เขาโหดร้ายเกินไป การต่อสู้เพื่อสร้างอาณาจักร สกุลเหลาลงมืออย่างโหดเหี้ยมไม่เว้นแม้แต่อดีตเซียนซึ่งเคยเป็นสหายอยู่บนแดนสวรรค์ด้วยกัน ผู้ใดที่ขัดขวางเขา เขาก็สังหารไม่เลือกหน้า“แต่เวลานี้สกุลอ๋าวมีตระกูลใหญ่ที่เข้าร่วมเพียงห้าตระกูล อีกฝ่ายมีถึงเก้าตระกูล แม้สำนักเล็กๆ ที่แตกพ่ายมาจะย้ายเข้ามาอยู่กับหลวนหลงก็คงไม่ได้มากันทั้งหมด ตระกูลอ๋าวยังเป็นรองอยู่ หากเราเลือกข้างผิดก็มีแต่ตายกับตาย”“เราเลือกไม่ได้แล้ว เจ้าไม่ได้ยินหรือเวลานี้ตระกูลอ๋าวตรึงกำลังทางภาคกลางครอบคลุมมาถึงทางใต้ หากเราคิดจะย้อนกลับไปหาเหลาอีโจว พวกเขา
เรือสามลำที่มีเรือของอ๋าวหลวนหลงอยู่ตรงกลางแล่นมาถึงบริเวณรอบเกาะลอยแล้วก็หยุดค้างอยู่ตรงนั้นแน่นิ่งทุกสายตาจ้องมองไปยังฝูซีที่ยืนกำหมัดแน่นใบหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงคล้ายกับกำลังมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ในร่างกายที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อด้วยความงุนงง“ท่านอาฝูซี ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่” หูกุ้ยเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเรียกสติของอีกฝ่าย“บัดซบ!! เหลวไหลสิ้นดี!! กล้าหาญกันเหลือเกิน!!” ฝูซีระเบิดเสียงออกมาเป็นชุดทำให้หูกุ้ยต้องกระโดดถอยหลังห่างออกมาหลายก้าว“ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ข้าก็แค่อยากจะถามว่าเราต้องทำอะไรกันต่อแค่นั้น” หูกุ้ยแทบจะร้องไห้ เขาแค่สะกิดเบาๆ จริงๆนะ“ข้าไม่ได้ว่าเจ้าอากุ้ย!! ข้ากำลังตำหนิพวกมันอยู่ต่างหากเล่า!!” ฝูซียังคงชี้ไม้ชี้มือก่นด่าไม่หยุดปากผู้ฝึกตนจากเรืออีสองลำด้านข้างมองไปยังผืนน้ำว่างเปล่าที่มีคลื่นเบาๆ เป็นระลอกด้วยความสับสนงุนงง ยามนี้พวกเขาไม่เห็นปลาหมึกยักษ์ ปลาหรือนกสักตัวก็ยังหายหัวไปราวกับพวกมันไม่เคยมีอยู่มาก่อนด้วยความสงสัย แล้วฝูซีกำลังพร่ำบ่นผู้ใดกันอยู่แน่?“เหยาจี! สี่เสิน! คอยดูเถิดข้าจะจับเจ้าสองคนมาตีให้ก้นลายเลยท
“พวกท่านจะคุยกันอีกนานไหม ข้าปวดระบมไปทั้งตัวแล้ว ยังไม่รีบพาข้าไปหาที่พักอีกหรือ?” อ๋าวหลวนหลงลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่พวกเกาโหลวช่วยจับเขาวางบนลากเลื่อนแล้ว แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาบอบช้ำมาจากการเดินทางจนไข้ขึ้น รอยช้ำบริเวณหน้าอกก็เจ็บหนักยิ่งกว่าเก่า เขาจึงได้แต่นอนหลับตานิ่งฟังฝูซีและสี่เสินถกเถียงกันอยู่นานสองนาน และในที่สุดก็ทนไม่ไหวฝูซีรู้สึกอับอายจนหน้าเขียว ด้วยหน้าที่เขาสมควรจะเป็นห่วงเป็นใยอ๋าวหลวนหลงเป็นอันดับหนึ่ง แต่เมื่อเห็นสี่เสินก็เผลอดีใจจนลืมตัวไปเช่นกัน“สี่เสิน ยามนี้หลวนหลงคือคนสกุลอ๋าว เจ้าจะเรียกเขาว่าคุณชายสี่ก็ได้”“ดูสิข้ามัวแต่ดีใจจนเสียมารยาทแล้ว! ขออภัยด้วยคุณชายสี่ข้าคิดว่าท่านยังคงหลับอยู่ ท่านอาช่วยพาเขากลับไปที่เรือนกันก่อนเถิดขอรับ”เกาโหลวและชาวบ้านระบายลมหายใจกันออกมาเล็กน้อยด้วยความโล่งใจ พวกเขายืนมึนงงกันอยู่นานจนรากจะงอกอยู่แล้ว ในที่สุดก็จะได้กลับไปพักผ่อนให้โล่งใจกันเสียทีกว่าจะพาอ๋าวหลวนหลงมาถึงเรือนพัก ชายหนุ่มก็ต้องสลบไปอีกครั้งเพราะพิษไข้และแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนย้ายร่างกายอันบอบช้ำหลายครั้งหลายหนมู่เหยาจีแอบมองดูเหตุการณ์อยู
“ไม่ต้องแต่แล้ว! พวกเราต้องรีบไป อ้อ! จริงสิ! ยังมีอีกเรื่องที่เจ้าควรรู้ไว้ด้วย ท่านมหาเทพมู่ซียกเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ที่เจ้าเอาติดตัวมาด้วยให้เป็นความรับผิดชอบของอ๋าวหลวนหลง เจ้าเองก็ต้องรอให้เขาเป็นผู้ตัดสินว่าควรจะทำอะไรกับเมล็ดพันธุ์ชิ้นนั้น เชื่อฟังเขาเข้าใจหรือไม่”มู่เหยาจียืนพยักหน้าหงึกหงักคล้ายว่าจะรับรู้ ว่าแต่..ฝูซีว่าอะไรนะ? ให้นางเชื่อฟังอ๋าวหลวนหลง “เหยาจี ข้าไม่อยู่เจ้ามีอะไรก็ปรึกษาคุณชายอ๋าวก็แล้วกัน ฝูซีบอกว่าเขาเป็นคนดี เจ้าวางใจได้ฝูซีไม่หลอกพวกเราหรอก หลังจากนี้เราคงต้องส่งคนมารับผลท้อเป็นระยะแล้วข้าจะส่งข่าวมาถึงเจ้าเอง เราต้องรีบไปแล้ว เชื่อฟังเขาแทนข้าก็แล้วกันนะ”หญิงสาวหันซ้ายทีขวาทีฟังสองทูตสวรรค์สั่งความไม่หยุด พับผ่าเถิด! พวกท่านจะสั่งความอันใดก็ช่วยถามความเห็นนางสักหน่อยได้หรือไม่!!!“ประเดี๋ยวก่อนหลานชาย”เสียงเรียกของเกาโหลวดังขึ้นมาทำให้มู่เหยาจีรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก บางทีท่านอาเกาอาจช่วยพูดให้นางได้ไปกับพี่ชายแล้วพวกเขาจะดูแลอ๋าวหลวนหลงแทนนาง“พวกเราก็จะขอไปด้วย ข้าอยากลองทดสอบดูว่าข้าจะเป็นผู้ฝึกตนได้หรือไม่ หากไม่ได้ข้าก็จะกลับมารอเจ้าอยู่ที่เกาะจิง
“ท่านลุง ท่านช่วยพยุงข้าให้ลุกนั่งสักครู่เถิด ข้านอนจนหลังเจ็บไปหมดแล้ว” อ๋าวหลวนหลงขอร้องให้ชายชราที่นำจานผลท้อมาส่งช่วยเหลือ “ลุกได้หรือ ข้าเห็นว่าเนื้อตัวท่านยังเขียวช้ำอยู่เลยนะ” ชายชราไม่กล้าให้อ๋าวหลวนหลงขยับตัวมากนัก เขาเป็นคนมาช่วยอีกฝ่ายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เคยเห็นร่องรอยบอบช้ำบนร่างกายที่น่าหวาดเสียวนั่นชัดเจน ไม่รู้ว่าชายหนุ่มอดทนกับบาดแผลได้อย่างไร“ไม่ไหวก็ต้องไหว ให้ข้าได้ลุกบ้างเถิด” อ๋าวหลวนหลงไม่ยินยอม จะว่าไปแม้ว่ารอยช้ำยังคงดูน่ากลัวแต่เขารู้สึกว่าหายใจได้สะดวกขึ้นและไม่ได้เจ็บปวดทรมาณเหมือนวันแรกๆ แล้ว อ๋าวหลวนหลงมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้เกิดจากผลท้อที่ตนกินเข้าไปทุกวันแน่นอน“เอาอย่างนี้แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะออกไปตามคนมาช่วยจัดเตียงอีกหลังหนึ่งตรงริมหน้าต่าง ท่านจะได้นอนมองท้องฟ้ามองบรรยากาศภายนอกจากทางหน้าต่างได้” “ขอบคุณขอรับท่านลุง” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกขอบคุณชายชราอย่างสุดซึ้ง แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะดีขึ้น แต่ก็คงจะอีกหลายวันกว่าจะลุกนั่งได้เอง หากได้เปลี่ยนไปนอนริมหน้าต่าง ได้เห็นอะไรที่ไม่น่าเบื่ออย่างหลังคาเรือนก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียวชายชราคนเ
มู่เหยาจีข่มกลั้นความหวาดวิตกเปิดประตูห้องพักเข้ามาเบาๆ พยายามก้าวเท้าให้เบาที่สุดมาหยุดอยู่กลางห้องพลางมองดูร่างหนาที่นอนผินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง“คุณชายสี่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีวางชามโจ๊กลงบนโต๊ะแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยปากขอโทษอ๋าวหลวนหลงก่อน“ผลท้อมันหลุดติดมือข้า ข้าจะต่อมันกลับไปดังเดิมไม่ได้ข้าเลย…”“-”ความเงียบอันน่าขนลุกจากอีกฝ่ายทำให้มู่เหยาต้องเอ่ยปากชวนคุยขึ้นมาอีกครั้ง“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าแก้ไขอันใดไม่ได้แล้วด้วย ท่านอย่าโกรธเลยนะ” “ข้าอยู่ที่นี่มากี่วัน? เจ้าเพิ่งคิดจะมาขอโทษเอาวันนี้ ข้าควรต้องขอบคุณเจ้าหรือไม่เล่า?” อ๋าวหลวนหลงหลับตาลงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เขาจำได้ว่ายามที่นางยอมรับผิดบนแดนสวรรค์ นางขอโทษท่านมหาเทพทั้งสามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กับตนนางทำเพียงส่งสายตาขอโทษขอโพยมาแต่ยังไม่เคยเอ่ยปากออกมาเลยสักครั้ง“เพราะข้ารู้ตัวว่าครั้งนั้นข้ายังไม่ได้ขอโทษท่านต่างหาก ข้าเลยยังรู้สึกผิดอยู่ แต่เป็นเพราะเวลานั้นข้าไม่รู้ความเจ้าค่ะ”“ยามนี้เจ้าก็ยังอ้างว่ายังไม่รู้ความดังเดิมสินะ?”มู่เหยาจีแสบจมูกแสบตาไปหมด นางรู้ว่านางผิดต่ออ๋าวหลวนหลงแต่หลังจากมาใช้ชีวิตอยู่บน
“พอแล้ว ข้าอิ่มแล้ว” อ๋าวหลวนหลงรู้สึกว่าใบหน้าของตนหดลงจนเล็กกว่าฝ่ามือ แต่ยังแสร้งทำหน้าบึ้งเอาไว้ดังเดิม มู่เหยาจีไม่เพียงไม่โต้เถียงแต่นางกลับดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี พอมีข้าวเลอะติดปากก็ยังเช็ดมุมปากให้เขาอย่างเอาใจใส่จนเขารู้สึกขัดเขินเป็นที่สุด“เมื่อวานท่านกินโจ๊กหมดชามเลยนี่เจ้าคะ นี่เพิ่งหมดไปไม่ถึงครึ่งเองอิ่มแล้วหรือ ถ้าเช่นนั้นกินผลท้ออีกหน่อยนะเจ้าคะ”อ๋าวหลวนหลงอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสียเดี๋ยวนั้น รู้สึกว่าตนทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ให้นางมาคอยช่วยเหลือ กลิ่นกายหอมกรุ่นที่ยังวนเวียนอยู่ในลมหายใจกับการเอาใจใส่ที่ไม่เคยมีใครทำให้เช่นนี้มันช่างน่าอึดอัดนักภาพในความทรงจำเดิมของตน มู่เหยาจีก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ยามนี้นางเป็นหญิงสาววัยแรกแย้มจะไม่ให้เขาคิดเลยเถิดไปบ้างก็ไม่ได้ในเมื่อตนก็เป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วเช่นกันจะขับไล่นางไม่ให้มาคอยช่วยเหลือก็เท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากผู้อื่นรู้ว่าเขาเขินอายจนใจสั่นไปหมด!! คิดยังไม่ทันถึงไหน ผลท้อชิ้นเล็กหวานฉ่ำก็ถูกส่งเข้าปากโดยที่อ๋าวหลวนหลงทำได้เพียงอ้าปากรับอย่างว่าง่าย สรุปแล้วเป็นเขาที่ควบ
“พวกเจ้าก็เป็นสหายกับพวกหวางเซี่ยที่อยู่บนเกาะเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” อ๋าวหลวนหลิงชวนคุยต่อสัตว์หน้าขนสี่ตัวหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกมันรับรู้จากมู่สี่เสินแล้วว่ายังมีสหายสัตว์น้ำที่มาจากแดนสวรรค์อยู่อีกเก้าตัว แต่สัตว์กลุ่มนั้นลงมาก่อนพวกมันตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พวกมันเพิ่งลงมาได้ 500 ปีเท่านั้น จะว่าเป็นสหายกันก็เหมือนจะใช่ แต่แท้จริงแล้วพวกมันยังไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ“ไม่เป็นไรๆ ถึงเจ้าอยากจะตอบก็ตอบข้าไม่ได้อยู่ดีใช่ไหมเล่า แต่พวกเจ้าช่วยครอบครัวของเราสองคนก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นสหายของพวกเราแล้วล่ะ”ได้ยินว่าพวกตนได้รับการต้อนรับให้เป็นสหายของมนุษย์ สัตว์ทั้งสิบสองตัวก็ยิ่งลิงโลดออกอาการตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ แต่แล้วอยู่ดีๆ พวกมันก็ต้องหยุดชะงักแหงนมองขึ้นไปด้านบนท้องฟ้าเหนือจวนสกุลเจียงมืดครึ้มลงอย่างกะทันหัน เสียงกรีดร้องหวาดกลัวจากบรรดาสตรีที่อยู่ในจวนทำเอาสัตว์ยักษ์พากันเงียบเสียงและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เพื่อสหายใหม่ของพวกเขา!“แกว่กๆ” เจ้านกยักษ์สองตัวที่บนหลังของพวกมันมีซินหรูอี้และเวยวั่งซูนั่งอยู่มองค้อนดูภาพเบื้องล่างกันตาแทบกลับ ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแง่งอนหวาง
สุนัขจิ้งจอกและตะขาบต่างก็พากันทำหน้าที่ของมันโดยการเข้าไปแทรกอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นจนฝูงชนวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงและไม่มีผู้ใดกล้าทดสอบโจมตีพวกมันเป็นคนแรกวานรยักษ์ตัวหนึ่งทุบกำปั้นอันใหญ่โตของมันลงบนพื้นดินหลายครั้งจนเป็นหลุมลึก“โจมตีมัน!! หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะรอด ต้องช่วยกันจัดการพวกมันไปทีละตัว!” เหลาอีโจวถูกทอดทิ้งให้ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของวานรยักษ์โดยรอบๆ ยังมีสุนัขจิ้งจอกอีกหกตัวล้อมวงกันไว้อีกชั้น เมื่อเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดเริ่มลงมือเหลาอีโจวจึงได้พยายามควบคุมลิงน้อยทั้งแปดอีกครั้ง โดยตั้งใจจะให้พวกมันออกคำสั่งกับวานรยักษ์ให้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนสกุลอ๋าวแทน“เจี๊ยกๆๆๆ” ลิงน้อยถูกรบกวนจิตใจอย่างรุนแรงจนพวกมันส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น เจ้าวานรทั้งสี่ก็รีบตอบสนองทันควัน“อ้ากกกก!! ปล่อยข้า! ช่วยข….” เหลาอีโจวยังส่งเสียงขอความช่วยเหลือไม่ทันสิ้นคำ ร่างของเขาก็ถูกวานรยักษ์จับขาข้างหนึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศให้สภาพห้อยหัวลงมา ขณะที่ทุกคนยังไม่หายตกใจ วานรยักษ์ก็สะบัดร่างคนใจร้ายฟาดลงกับพื้นดินก้มหลุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับร่างนั้นเป็นตุ๊กตาผ้า เหลา
“แกว่กกกกก แกว่กกก” เสียงร้องสั้นสลับยาวของนกอินทรีสองตัวดังขึ้นจากบนฟ้ามาแต่ไกล เป็นเหตุให้การห้ำหั่นเบื้องล่างหยุดชะงักลงชั่วขณะสิ่งที่พวกเขาแปลกใจเป็นอันดับแรกย่อมเป็นเสียงอันทรงพลังที่คล้ายว่าอยู่เหนือศีรษะแต่นกสองตัวนั้นอยู่ในระยะไกลจากพวกเขาพอสมควร“ก็แค่เสียงสะท้อนของนกตัวสองตัวเท่านั้น จัดการพวกมันต่อ!!” กลุ่มผู้ฝึกตนจากสองฝ่ายยังไม่ทันได้คลายความข้องใจ พวกเขาก็ต้องรีบดึงสติกลับมาสู่การรบดังเดิม“หลวนเซี่ย เจ้ากลับไปดูแม่กับน้องๆ เจ้าก่อน ไปเดี๋ยวนี้!!” อ๋าวซีห่าวอาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนมัวแต่สนใจนกบนฟ้ารีบวิ่งมาหาบุตรชายคนโต“ข้าจะไม่มีวันถอยหลังเป็นอันขาดท่านพ่อ เราจะตายไปพร้อมกัน!!” บทสนทนาที่ทรงพลังของอ๋าวหลวนเซี่ยส่งผลให้ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ฆ่าได้หนึ่งก็ลดจำนวนศัตรูลงหนึ่ง พวกเขาพร้อมจะตายในสนามรบแล้ว“แกว่กๆๆๆๆๆๆๆ” นกอินทรีสองตัวคล้ายว่าจะไม่พอใจเท่าใดนักที่มนุษย์เดินดินหาได้สนใจมันสองตัวไม่ มันรีบส่งเสียงร้องรัวๆ ตีปีกใหญ่โตของมันพร้อมกับเหินต่ำลงมาเรื่อย เสียงร้องของผู้ฝึกตนหลายคนดังขึ้นทำให้เจ้านกยักษ์พึงพอใจที่สุดที่มีคนหันกลับมาสนใจพวกมันอีกครั้ง“ว้ากกกก นั
หุบเขาลึกลับกลางป่าตะวันตกลิงน้อยแปดตัวหลบหนีออกจากการควบคุมของเหลาอีโจวได้ พวกมันก็มุ่งหน้ากลับมาที่หุบเขาลึกลับและได้พบกับสหายอีกสองตัวที่คิดเหมือนกันกับพวกมันหลังจากแย่งกันสื่อสารบอกกับวานรยักษ์ทั้งสี่ตัวให้ล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับมู่สี่เสิน ลิงยักษ์ทั้งสี่ก็อาละวาดทำลายต้นไม้ใหญ่ภายในหุบเขาจนราบเป็นหน้ากลอง ร้อนถึงสุนัขจิ้งจอกและนกอินทรีต้องรีบมาเกลี้ยกล่อมให้พวกมันใจเย็นลงลิงน้อยสองตัวที่อยู่กับกลุ่มคนสกุลอ๋าวไม่ได้ข้ามไปยังแดนเหนือด้วย พวกมันรู้แล้วว่ามู่สี่เสินได้รับการช่วยเหลือและถูกส่งตัวกลับไปที่เกาะลอย มันยังรู้อีกด้วยว่ายามนี้สกุลอ๋าวกำลังถูกไล่ต้อนไปทางใต้ และหากสกุลอ๋าวพ่ายแพ้สถานที่ต่อไปที่จะถูกโจมตีก็จะเป็นเกาะลอยของพวกมัน!!เจ้าลิงทั้งสิบปีนป่ายขึ้นไปขี่หลังสุนัขจิ้งจอกทั้งหกเอาไว้ แล้วชี้นิ้วออกคำสั่งวานรทั้งสี่ตัวให้มันเดินทางไปที่ช่องแคบทางเข้าหุบเขาทันที!!วานรสองตัวไปถึงช่องแคบที่เล็กเพียงคนลอดผ่านได้ มันก็เริ่มต่อยเข้าไปยังกำแพงหินหนาพร้อมๆ กัน“เปรี้ยง!! ครืน!!” การต่อยด้วยหมัดจากวานรยักษ์สองตัวเพียงครั้งเดียว ช่องเขาหินที่ผุกร่อนก็พังทลายเป็นรูขนาดใหญ่ ส่ง
มู่สี่เสินถูกส่งตัวไปทางใต้ผ่านเกาะจิงเหมินและข้ามมายังสถานที่ตั้งของเกาะลอยแห่งใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากเวยวั่งซูและกลุ่มผู้ฝึกตนที่เคยเป็นชาวบ้านบนเกาะทั้ง 15 ชีวิต“นอกจากบาดแผลที่เกิดจากทวนสองแห่ง กรามเขายังแตกไม่สามารถพูดหรือเคี้ยวอาหารได้โดยง่าย ตลอดทางพวกเราต้องบดผลท้อให้ละเอียดแล้วป้อนใส่ปากให้เขากินทีละน้อยไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีชีวิตรอดมาถึงที่นี่ได้” เวยวั่งซูบอกเล่าอาการบาดเจ็บด้วยใบหน้าหม่นหมองเขาแทบจะอยู่ห่างจากร่างของมู่สี่เสินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะบาดแผลจากทวนที่แฝงพลังปราณได้ตัดเส้นเลือดใหญ่ของชายหนุ่มทำให้มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เวยวั่งซูเป็นผู้ฝึกตนสายสรรพสิ่งและถนัดเรื่องการใช้น้ำแข็งเป็นเกราะและอาวุธ แต่ยามนี้เขาต้องแผ่พลังปราณหลอมเลือดบริเวณปากแผลของมู่สี่เสินให้แข็งตัวเอาไว้เกือบตลอดเวลา เพราะมู่สี่เสินกินผลท้อได้ในปริมาณที่น้อยมากในแต่ละวัน จึงยังไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บเขาเอาไว้ได้ทันใจมู่เหยาจีมองใบหน้าคมคายของพี่ชายที่สะท้อนความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาด้วยหยาดน้ำตารินอาบแก้ม นางฟังคำสารภาพเรื่องที่มู่สี่เสินหายตัวไปนานกว่า 8 เดือน และยังได้รับรู้อีกว่ายาม
เขตแดนทางเหนือกัวเฟยเฟิ่งนั่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นปริ่มว่าจะขาดใจไปทุกเมื่อ ศีรษะเล็กๆ ของนางแทบจะฝังเข้าไปอยู่ในผนังห้องอยู่รอมร่อ ความเจ็บปวดที่ไม่คิดว่าจะได้พบพานทำเอานางทรมาณจนแทบจะสิ้นสติสมประดีไปอยู่แล้วบุรุษสองคนภายในห้องได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนนี้นานนับชั่วยาม แต่พวกเขาหาได้นึกเวทนาสงสารสตรีผู้เศร้าโศกนี้แม้แต่น้อยผ่านไปอีกหลายอึดใจท่ามกลางน้ำตาที่ยังรินไหลออกมาไม่ขาดสาย กัวเฟยเฟิ่งมองไปยังร่างของอ๋าวหลวนหลงที่อยู่บนเตียงนอนด้วยความเจ็บปวด แม้ในอกยังคงมีคลื่นความเสียใจและผิดหวังระลอกแล้วระลอกเล่า หญิงสาวก็ยังออกแรงสะบัดหน้าละทิ้งความอัปยศอดสูไว้เบื้องหลัง“อาหารเหล่านี้ข้ารับรองว่ามันปลอดภัย ข้าต้องไปแล้ว” หญิงสาวสูดหายเจ้าเข้าแรงๆ ทีหนึ่งจับทรงผมและเสื้อผ้าให้เข้าที่พร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิมแล้วก้าวออกจากห้องไปแท้จริงแล้วตั้งแต่ที่เหลาอีโจวได้ตัวฝูซีมาแทนมู่สี่เสิน พวกเขาจึงไม่ได้คิดจะติดตามมู่สี่เสินที่บาดเจ็บสาหัสไปด้วย แต่กลับพุ่งความสนใจมาที่การลงมือกับอ๋าวหลวนหลงแทนกัวเฟยเฟิ่งรีบเข้าไปห้ามปรามและทวงคำสัญญากับเหลาอีโจวที่จะมอบอ๋าวหลวนหลงให้นาง และอีกฝ่ายได้รักษ
“เป็นกับดัก!! ระวังตัวให้ดี!!” อ๋าวหลวนหลงตะโกนขึ้นสุดเสียงไปยังผู้ฝึกตนทั้งสิบที่อยู่นอกเรือนด้านมู่สี่เสินก็เพิ่งรู้เช่นกันว่าสหายทั้งแปดตัวของตนอยู่ใกล้รอบตัวเรือน และยังถูกใช้เป็นเครื่องมือจากเหลาอีโจวอีกด้วย เขารีบทุบผนังประตูแข็งแกร่งส่งสัญญาณบอกกับฝูซีว่าตนเองไม่อาจเปิดมันออกจากด้านในได้การต่อสู้จากรอบทิศทางมาถึงกลุ่มผู้ฝึกตนสิบคนที่อยู่วงล้อมด้านนอกอย่างรวดเร็ว ส่วนฝูซีก็เข้าไปช่วยเหลือมู่สี่เสินออกมาได้จนสำเร็จ“เราต้องรีบฝ่าออกไปให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกเขาจะพากันมากไปกว่านี้” สายตาคมของอ๋าวหลวนหลงมองสหายที่เหลือพยายามประเมินสถานการณ์เห็นได้ชัดว่ากลุ่มผู้ฝึกตนจากสกุลเหลาแม้จะได้รับผลท้อที่กัวเฟยเฟิ่งลักลอบนำมาส่งให้แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้มีระดับการฝึกฝนที่สูงไปกว่าฝ่ายสกุลอ๋าว สถานการณ์ในเวลานี้พวกเขายังรับมือได้ แต่ที่นี่เป็นพื้นที่แดนเหนือพวกเขายังต้องตีฝ่าออกไปอีกไกลกว่าจะถึงจุดที่ปลอดภัย การสู้ให้เห็นผลแพ้ชนะไม่ใช่ทางออกที่ดี“ฝูซี หลวนหลง ข้าทิ้งพวกมันไว้ที่นี่ไม่ได้!!" มู่สี่เสินพยายามงัดไม้กระดานที่มีแผ่นหินรองไว้ด้านล่างอีกชั้นหนึ่ง เพื่อปลดปล่อยสหายร่างเล็กของเขาให้เป
ลิงสองตัวจากเกาะลอยยังคงติดตามฝูซีไม่ห่าง ยังดีที่ฝูซีพาผู้ฝึกตนจากสกุลอ๋าวเดินทางไปกับเขาด้วย พวกมันจึงได้อาศัยเกาะอยู่บนหลังของคนเหล่านั้น“เจี๊ยกๆๆๆๆ” อยู่ดีๆ ลิงน้อยก็กระโดดร้องส่งเสียง วิ่งไปวิ่งมาบนพื้นท่าทางไม่สงบเหมือนก่อนหน้าฝูซีมองตามสายตาของพวกมันแล้วพบว่าทั้งสองตัวกำลังมองไปยังฮูหยินผู้เฒ่ากัว ที่ออกมายืนส่งหลานสาวออกไปนอกจวนห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ระยะหนึ่งท่าทางแยกเขี้ยว ข่มขู่และโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงของลิงน้อยที่มีต่อหญิงชราทำให้ฝูซีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “เรื่องที่เราพบลิงสองตัวนี้ปิดเป็นความลับเอาไว้ก่อน กลับไปบอกท่านหมอและคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วย เราจะตามหามู่สี่เสินกันอย่างลับๆ” ฝูซีหันมากำชับ“แล้วกับคุณชายสี่..”“บอกกับเขาว่าข้าสงสัยว่าการหายตัวไปของมู่สี่เสินอาจเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลกัว ข้าจะออกไปสืบความล่วงหน้าไว้ก่อน” ฝูซีไม่คิดจะปิดบังอะไรกับอ๋าวหลวนหลง มู่เหยาจีฝากจดหมายทวงถามเรื่องของพี่ชายมาหลายครั้ง และเป็นอ๋าวหลวนหลงที่ปิดบังว่ามู่สี่เสินกำลังฝึกฝนอย่างหนักและสบายดี อ๋าวหลวนหลงก็ร้อนใจเรื่องของมู่สี่เสินไม่น้อยไปกว่าตนสักนิด……….ฝูซีแอบติดตามด
“ใช่ว่าจะมีเพียงเจ้าคนเดียวที่เข้าสู่ระดับขั้นปราณที่แท้จริง ทางฝั่งสกุลอ๋าวหลายคนก็อยู่ในระดับขั้นเดียวกับเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะชนะอ๋าวหลวนหลงได้เช่นนั้นหรือเหลาอีโจว!”“ไม่ใช่ว่าข้าเพิ่งได้ตัวคนสำคัญมาหนึ่งคนแล้วหรือ? อ้อไม่ใช่แค่หนึ่งคน ยังมีอีกแปดตัวด้วยอีก ฮ่าๆๆๆ เจ้าอย่าเพิ่งไปคิดแทนอ๋าวหลวนหลงเลย เจ้าสงสารตัวเองก่อนเถิดคุณชายมู่อย่างมากเจ้าก็เพิ่งจะอยู่ในระดับชั้นก่อกำเนิดอย่าหวังว่าเจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้เลย!!”มู่สี่เสินกัดริมฝีปากไว้แน่น เขาเพียงคนเดียวอย่างไรก็สู้ผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ไม่ได้แน่นอน ยังต้องเป็นห่วงสหายทั้งแปดตัวที่นอนสลบเหมือดอยู่บนพื้นเหล่านี้อีก สายตาอาฆาตแค้นของมู่สี่เสินจึงพุ่งตรงไปที่กัวเฟยเฟิ่งอย่างไม่ยินยอม“เพี้ยะ!!” ฝ่ามือนวลของกัวเฟยเฟิ่งตบเข้าไปที่ใบหน้าของมู่สี่เสินเต็มแรง“ใครใช้ให้เจ้ามองหน้าข้า! เป็นเจ้าที่แส่หาเรื่องเข้ามาเอง หากอยากจะโทษผู้ใด เจ้าก็ต้องโทษตัวเองนั่นล่ะที่สอดรู้สอดเห็น!” หญิงสาวตวาดเสียงดัง เตรียมง้างมือจะตบชายหนุ่มเข้าอีกสักฉาด“เฟยเฟิ่งหยุด!! คุณชายมู่หาใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินได้!” เหลาอีโจวคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แน่น แรงบีบจากท