“แน่อยู่แล้วขอรับ ขอบคุณหลี่กงกง เช่นนั้นข้าขอตัวไปนอนแล้ว”อินชิงเสวียนอารมณ์ดีมากวันนี้ไม่เพียงแต่ได้สั่งสอนเย่จิ่งเย่า แต่ยังขายของได้ถึง 5,000 ตำลึง สิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุดคือ ได้รับอีก 100 คะแนนในมิติ และเก็บเกี่ยวธัญพืชได้อีกชุดหนึ่งหลี่เต๋อฝูโบกมือ“กลับไปเถอะ”อินชิงเสวียนสามารถแข่งขันกับซ่งเฉียวอันได้ในครั้งนี้ ก็ทำให้หลี่เต๋อฝูได้หน้าได้ตามากอย่าเห็นว่าต่อหน้าเขาขุนนางเหล่านั้นดูสุภาพ แต่ลับหลังกลับเรียกว่า ขันทีพิการ ขันทีบ้าเจี๋ยนสั้น ขันทีบ้าเจี๊ยนยาว ทุกครั้งที่หลี่เต๋อฝูได้ยินก็อยากจะด่าพ่อล่อแม่พวกนั้นให้เข็ด หากไม่ถูกบีบให้อับจนหนทาง ผู้ใดจะยอมเป็นคนประเภทไม่หญิงไม่ชายเมื่อได้ยินฮ๋องเต้พูดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หากเสี่ยวเสวียนจื่อสามารถเอาชนะได้ ขันทีเช่นพวกเขาก็จะเกิดความภาคภูมิใจไปด้วยในตำหนักเย่จิ่วอวี้ไม่รู้สึกง่วงนอนเลยเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวเหมือนหิมะ ยืนอยู่หน้าหน้าต่างดวงตาหงส์แลมองแสงจันทร์เหนือเศียร ขนงย่นเล็กน้อย ราวกับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มที่อธิบายไม่ได้ในใจถึงกับรู้สึกเสียใจภายหลังไม่ควรตกลงทำตามคำขอของซ่งเฉียวอ
อินชิงเสวียนทั้งสามสามคนมาถึงบริเวณสนามฝึกแล้วซ่งเฉียวอันและแม่ทัพผู้อื่นก็มาถึงนานแล้ว เพื่ออยากมาดูให้เห็นว่าว่าขันทีบ้าผู้นี้จะสามารถทำอะไรได้บ้างแม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพของต้าโจว แต่หัวใจของเขากลับลำเอียงเข้าข้างเย่จิ่งเย่าที่เป็นอันผิงอ๋องซ่งเฉียวอันมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เรื่องลูกสายตรงลูกอนุนั้นฝังแน่นลึกในจิตใจ แม้ว่าเย่จิ่งอวี้ได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นองค์ชายที่เกิดจากสนม ไม่สมควรที่จะสืบทอดบัลลังก์ นอกจากนี้ในราชสำนักยังมีขุนนางอีกมากมายที่คิดเช่นเดียวกับเขาที่กล่าวเช่นนั้นไปเมื่อวาน ก็เพราะอยากให้ฮ่องเต้เสียหน้า ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะเห็นด้วยจริงๆ เช้าวันนี้ ทุกคนมาที่นี่ตั้งแต่เช้าก็เพื่อมารอดูเรื่องตลกเมื่อเห็นอินชิงเสวียนทั้งสามคนมาถึงแล้ว ซ่งเฉียวอันก็ยืนเอามือไพล่หลัง เชิดหน้าชูคอพูดกับอินชิงเสวียนว่า “ทัพหน้ามีทหารทั้งหมดแปดพันนาย ตามความเห็นของข้า ไม่จำเป็นต้องทรมานพวกเขาทั้งหมด ให้เจ้ากับข้าคัดเลือกทหารคนละหนึ่งร้อยนายมาทำการฝึกซ้อม หลังจากนั้นอีกสิบห้าวันค่อยมาตัดสินว่าผู้ใดเหนือกว่ากัน ว่าอย่างไร”อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ด
เหตุคำพูดถึงได้ดูพิกลเช่นนี้ราวกับว่านางกำลังจะไปตายอย่างนั้นแหละ จู่ๆ ก็พูดไม่ออกนางเหลือบมองที่จังเถี่ยแล้วพูดว่า “ขุนพลจัง เจ้าจะต้องรับผิดชอบในการวิ่งรอบสนาม ถือโอกาออกกำลังกายในขณะที่อากาศยังเย็นอยู่ แล้วจึงฝึกทักษะการขี่ม้า”จังเถี่ยผู้เป็นเหมือนลาที่คล้อยตามยามถูกลูบขน เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนเรียกเขาว่าขุนพลจัง ในใจก็รู้สึกยินดีขึ้นทันที“กงกงน้อยไม่ต้องห่วง ข้าจะพาพวกเขาออกไปวิ่งเดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนพยักหน้า พาฉินเทียนออกจากบริเวณสนาม แล้วบังเอิญได้พบกับกวนเซี่ยวพอดีเมื่อวานนี้อินชิงเสวียนถามฉินเทียนแล้ว และได้ทราบว่าเขาเป็นหลานชายของจอมพลเฒ่ากวน จึงรีบเดินไปกล่าวทักทายทันทีและพูดว่า “ยินดีที่ได้พบคุณชายกวน”“กงกงน้อย”เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนมีใบหน้างดงาม ทั้งยังมีมารยาทที่ดี กวนเซี่ยวจึงรู้สึกประทับใจขึ้นหลายส่วนอินชิงเสวียนถามอีกครั้ง “จอมพลเฒ่าไม่มาหรือขอรับ”จุดประสงค์หลักที่นางมาฝึกทหารก็เพื่อพบกับกวนฮั่นหลินกวนเซี่ยวกล่าวว่า “เมื่อวานท่านปู่มีอาการปวดศีรษะมาก ตอนนี้จึงพักผ่อนที่บ้าน”“อ้อ ได้ไปหาหมอหรือยัง”จอมพลเฒ่ากวนเป็นคนตรงไปตรงมา อินชิงเสวียนรู้
ในขณะที่ทุกคนกำลังกินแตงโม อินชิงเสวียนก็มองไปที่ม้าข้างๆต้องบอกว่าเคล็ดลับการเลี้ยงม้าของต้าโจวนั้นค่อนข้างดีทีเดียว เมื่อเทียบกับทหารที่ผอมเป็นกุ้งแห้งเบื้องหน้าแล้วนั้น เจ้าม้าที่แข็งแรงสมบูรณ์กลับน่ามองกว่ามากหลังจากที่พวกเขากินเสร็จแล้ว อินชิงเสวียนถามอีกครั้ง “ในหมู่พวกเจ้ามีผู้ใดที่ทำอาหารได้หรือไม่”มีสองคนยืนขึ้นพูดว่า “พวกเราทำได้ขอรับ”“ข้าก็ทำได้เช่นกัน”“ข้าด้วย”“ดี อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าไปได้เรียนการทำแป้งสาลีกับข้า และในช่วงสิบห้าวันจากนี้ พวกเจ้าสี่คนจะต้องรับผิดชอบอาหารของกองทัพ ข้าจะไม่อยุติธรรมต่อพวกเจ้า ผักและผลไม้ที่อยู่ในกองทัพ ให้พวกเจ้ากินได้หมดเลย”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็หยิบองุ่นจำนวนหนึ่งมา แล้วโยนให้กับคนทั้งสี่พวกเขาไม่เคยเห็นและไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร หลังจากกัดเข้าไป ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายวาววับเปรี้ยวๆ หวานๆ ช่างอร่อยจริงๆผู้อื่นต่างรู้สึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้ ทุกคนมองดูองุ่นในมือของพวกเขาอินชิงเสวียนกล่าวว่า “ของพวกเจ้าก็มีเช่นกัน แต่เจ้าต้องฝึกฝนให้ดีก่อนจึงจะกินได้ หากผู้ใดคิดจะใช้กลยุทธ์กวนน้ำจับปลา ปลอมปนกับคนเก่ง ก็จะถูกต
กวนเซี่ยวพูดจาหว่านล้อมด้วยคำพูดดีๆ “ท่านปู่ ท่านลองดูก่อน ถ้าเกิดได้ผลล่ะ”นายท่านกวนแค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ของจากขันที ข้าไม่เอา”ทันทีที่เขาพูดจบ ก็เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งความปวดนี้รุนแรงจนทำให้จอมพลเฒ่าร้องโอดครวญเขาบีบขมับพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”กวนเซี่ยวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถอยออกไปนอกประตู แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจหลังจากคิดดูแล้ว จู่ๆ ก็ผุดความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาเรียกสาวใช้ให้ทำน้ำบ๊วยเปรี้ยวหนึ่งชาม ทุบยาแก้ปวดจนเป็นผง แล้วเติมลงในน้ำบ๊วยจากนั้นเขาก็หยิบชามเอามาให้จอมพลเฒ่ากวน“ท่านปู่ ดื่มน้ำดับกระหายก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน ถ้าคลายความร้อนได้ก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น”จอมพลเฒ่ากวนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก หยิบชามขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียว หลังจากนั้นก็ถามถึงค่ายทหาร แล้วเขาก็ค่อยๆ หายจากอาการปวดศีรษะเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย “หรือว่าข้าเป็นโรคลมแดดจริงๆ หลังจากดื่มเจ้านี่ไป ก็รู้สึกดีขึ้นมาก”เมื่อได้ยินเช่นนี้กวนเซี่ยวก็ดีใจมาก ไม่คิดว่ายาของขันทีน้อยจะใช้ได้ผลจริงๆขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ ยาที่ซื้อในร้านขายยามีทั้งแบบนำมาต้
ในขณะที่อินชิงเสวียนตกตะลึง เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มร่างของสวีจือย่วนออกไปแล้วเมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนเหมือนดาวที่รีบตก อินชิงเสวียนก็จิ๊ปากเบาๆหรือว่านี่เป็นรักแรกพบตามตำนานที่กล่าวไว้เพียงแต่นางไม่รู้ว่าสำนักหมอหลวงอยู่ที่ใดเย่จิ่วอวี้คนสารเลวคนนี้ คิดว่านางรู้ไปหมดทุกอย่างจริงๆ หรือ!อินชิงเสวียนเดินสุ่มไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอ แต่ไม่รู้ว่านางเดินอย่างไรถึงได้มาอยู่ที่ตำหนักชิงฮว๋าของเย่ไห่ถังเสียได้เย่ไห่ถังกำลังเล่นว่าวอยู่ข้างศาลาเล็กๆ นอกเรือน อวิ๋นเฟิงชี้ไปที่อินชิงเสวียน แล้วพูดว่า “องค์หญิง เสี่ยวเสวี่ยนจื่อกงกงเพคะ”เย่ไห่ถังยังคงคิดถึงขนมเปี๊ยะของอินชิงเสวียนอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบส่งสายว่าวให้กับนางกำนัลน้อยที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง!”อินชิงเสวียนจึงเห็นเย่ไห่ถัง จึงรีบวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรองค์หญิง ขอองค์หญิงช่วยชี้ทางให้กระหม่อม กระหม่อมต้องรีบไปหาหมอหลวงที่สำนักหมอหลวง”เย่ไห่ถังถามด้วยความประหลาดใจ “เสด็จพี่ใหญเป็นอะไรงั้นหรือ”อินชิงเสวียนรีบพูด “องค์หญิงไม่ต้องกังวล เป็นนายหญิงที่ตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ”เย่ไห่ถังถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดกับอวิ๋นเฟิงว่า
อินชิงเสวียนไม่เข้าใจนี่หมายความว่าอะไรอย่างนางจะลวนลามสวีจือย่วนได้งั้นหรือถุย นางไม่ได้นิสัยเสียถึงเพียงนั้นนะอินชิงเสวียนกลอกตา เดินเข้าไปในห้องโถงด้านในสวีจือย่วนลุกขึ้นนั่งแล้วเมื่อเห็นอินชิงเสวียน แววตาของอินชิงเสวียนก็สว่างวาบ“เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง”ที่นี่นางรู้จักแค่อินชิงเสวียน เมื่อเห็นนาง ย่อมรู้สึกสบายใจขึ้นมากอินชิงเสวียนเดินเข้าไปถาม “นายหญิงสวี ต้องการอะไรหรือไม่”สวีจือย่วนสั่นศีษระ พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่มี ขอบคุณกงกงน้อยมาก คงเป็นเจ้าที่ช่วยข้าไว้กระมัง”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่ขอรับ เป็นไป๋เสวี่ยของฝ่าบาทที่ช่วยท่าน ไม่ทราบว่านายหญิงกระโดดลงไปในน้ำเพราะเหตุใด”สวีจือย่วนกัดริมฝีปากพูดว่า “เป็นข้าที่ไม่ระวังลิ่มล้ม พลัดตกลงไปในน้ำ”ดูเหมือนว่านางมีความนัยที่ไม่สามารถอธิบายได้ ในเมื่อนางไม่ต้องการพูด อินชิงเสวียนจึงไม่ถามให้มากความแล้วจึงปลอบนาง “ทุกคนมีเพียงชีวิตเดียว ท่านอย่าทำเรื่องโง่ๆ อีก แม้ว่าจะไม่คิดถึงตัวเอง แต่ท่านก็ต้องคิดถึงพ่อแม่บ้าง”สวีจือย่วนก้มศีรษะลง แล้วไม่เอ่ยคำใดอีกอินชิงเสวียนกล่าวเสริมว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทพาท่านมาที
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”เมื่อเห็นอินชิงเสวียนซุกตัวอยู่หลังม้า ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็ไหวน้อยๆขันทีน้อยสารเลวคนนี้ไม่คิดว่าตัวเองเป็นบ่าวจริงๆ ถึงกลับออกจากวังเอาป่านนี้ เขาคงตามใจขันทีน้อยผู้นี้มากไปแล้วจริงๆแล้วก็ตระหนักได้อีกครั้ง ว่านี่เป็นคำอนุญาตจากตัวเอง จึงทำได้เพียงขบกรามกรอด แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสคำใด ขันทีที่ยกเกี้ยวก็ไม่กล้าหยุด แล้วขบวนคนกลุ่มใหญ่ก็เดินผ่านทั้งสามคนอย่างเอิกเกริก และตรงไปที่ตำหนักเฉิงเทียนฉินเทียนคิดว่าจะถูกดุสักคำ แต่ฮ่องเต้ไม่ตรัสคำใด เขาคงชอบเสี่ยวเสวียนจื่อมากจริงๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะมองสบตากับหลี่ฉีอินชิงเสวียนก็ถอนหายใจเช่นกัน ไม่ว่าเย่จิ่งอวี้จะคิดอย่างไรก็ช่าง แค่เขาแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นนางก็พอแล้ว“ไปกันเถอะ”อินชิงเสวียนขึ้นหลังม้า แล้วพาฉินหบี่ทั้งสองไปที่สนามต่อสู้ในตอนนี้เอง เย่จิ่วอวี้ก็มาถึงตำหนักเฉิงเทียนแล้วเขาเดินช้าๆ เข้าไปในห้องโถงด้านข้าง สวมชุดมังกรสีเหลืองอร่าม ใบหน้าคมสันดุดันราวกับดาบแสดงให้เห็นถึงความน่าครั่นคร้ามของฮ่องเต้สวีจือย่วนกำลังเดินไปมาในห้อง นางต้องการทูลลากลับ แต่นางกลัวว่าฮ่องเต้จะตำห