กวนเซี่ยวพูดจาหว่านล้อมด้วยคำพูดดีๆ “ท่านปู่ ท่านลองดูก่อน ถ้าเกิดได้ผลล่ะ”นายท่านกวนแค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ของจากขันที ข้าไม่เอา”ทันทีที่เขาพูดจบ ก็เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งความปวดนี้รุนแรงจนทำให้จอมพลเฒ่าร้องโอดครวญเขาบีบขมับพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”กวนเซี่ยวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถอยออกไปนอกประตู แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจหลังจากคิดดูแล้ว จู่ๆ ก็ผุดความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาเรียกสาวใช้ให้ทำน้ำบ๊วยเปรี้ยวหนึ่งชาม ทุบยาแก้ปวดจนเป็นผง แล้วเติมลงในน้ำบ๊วยจากนั้นเขาก็หยิบชามเอามาให้จอมพลเฒ่ากวน“ท่านปู่ ดื่มน้ำดับกระหายก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน ถ้าคลายความร้อนได้ก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น”จอมพลเฒ่ากวนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก หยิบชามขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียว หลังจากนั้นก็ถามถึงค่ายทหาร แล้วเขาก็ค่อยๆ หายจากอาการปวดศีรษะเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย “หรือว่าข้าเป็นโรคลมแดดจริงๆ หลังจากดื่มเจ้านี่ไป ก็รู้สึกดีขึ้นมาก”เมื่อได้ยินเช่นนี้กวนเซี่ยวก็ดีใจมาก ไม่คิดว่ายาของขันทีน้อยจะใช้ได้ผลจริงๆขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ ยาที่ซื้อในร้านขายยามีทั้งแบบนำมาต้
ในขณะที่อินชิงเสวียนตกตะลึง เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มร่างของสวีจือย่วนออกไปแล้วเมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนเหมือนดาวที่รีบตก อินชิงเสวียนก็จิ๊ปากเบาๆหรือว่านี่เป็นรักแรกพบตามตำนานที่กล่าวไว้เพียงแต่นางไม่รู้ว่าสำนักหมอหลวงอยู่ที่ใดเย่จิ่วอวี้คนสารเลวคนนี้ คิดว่านางรู้ไปหมดทุกอย่างจริงๆ หรือ!อินชิงเสวียนเดินสุ่มไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอ แต่ไม่รู้ว่านางเดินอย่างไรถึงได้มาอยู่ที่ตำหนักชิงฮว๋าของเย่ไห่ถังเสียได้เย่ไห่ถังกำลังเล่นว่าวอยู่ข้างศาลาเล็กๆ นอกเรือน อวิ๋นเฟิงชี้ไปที่อินชิงเสวียน แล้วพูดว่า “องค์หญิง เสี่ยวเสวี่ยนจื่อกงกงเพคะ”เย่ไห่ถังยังคงคิดถึงขนมเปี๊ยะของอินชิงเสวียนอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบส่งสายว่าวให้กับนางกำนัลน้อยที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง!”อินชิงเสวียนจึงเห็นเย่ไห่ถัง จึงรีบวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรองค์หญิง ขอองค์หญิงช่วยชี้ทางให้กระหม่อม กระหม่อมต้องรีบไปหาหมอหลวงที่สำนักหมอหลวง”เย่ไห่ถังถามด้วยความประหลาดใจ “เสด็จพี่ใหญเป็นอะไรงั้นหรือ”อินชิงเสวียนรีบพูด “องค์หญิงไม่ต้องกังวล เป็นนายหญิงที่ตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ”เย่ไห่ถังถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดกับอวิ๋นเฟิงว่า
อินชิงเสวียนไม่เข้าใจนี่หมายความว่าอะไรอย่างนางจะลวนลามสวีจือย่วนได้งั้นหรือถุย นางไม่ได้นิสัยเสียถึงเพียงนั้นนะอินชิงเสวียนกลอกตา เดินเข้าไปในห้องโถงด้านในสวีจือย่วนลุกขึ้นนั่งแล้วเมื่อเห็นอินชิงเสวียน แววตาของอินชิงเสวียนก็สว่างวาบ“เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง”ที่นี่นางรู้จักแค่อินชิงเสวียน เมื่อเห็นนาง ย่อมรู้สึกสบายใจขึ้นมากอินชิงเสวียนเดินเข้าไปถาม “นายหญิงสวี ต้องการอะไรหรือไม่”สวีจือย่วนสั่นศีษระ พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่มี ขอบคุณกงกงน้อยมาก คงเป็นเจ้าที่ช่วยข้าไว้กระมัง”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่ขอรับ เป็นไป๋เสวี่ยของฝ่าบาทที่ช่วยท่าน ไม่ทราบว่านายหญิงกระโดดลงไปในน้ำเพราะเหตุใด”สวีจือย่วนกัดริมฝีปากพูดว่า “เป็นข้าที่ไม่ระวังลิ่มล้ม พลัดตกลงไปในน้ำ”ดูเหมือนว่านางมีความนัยที่ไม่สามารถอธิบายได้ ในเมื่อนางไม่ต้องการพูด อินชิงเสวียนจึงไม่ถามให้มากความแล้วจึงปลอบนาง “ทุกคนมีเพียงชีวิตเดียว ท่านอย่าทำเรื่องโง่ๆ อีก แม้ว่าจะไม่คิดถึงตัวเอง แต่ท่านก็ต้องคิดถึงพ่อแม่บ้าง”สวีจือย่วนก้มศีรษะลง แล้วไม่เอ่ยคำใดอีกอินชิงเสวียนกล่าวเสริมว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทพาท่านมาที
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”เมื่อเห็นอินชิงเสวียนซุกตัวอยู่หลังม้า ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็ไหวน้อยๆขันทีน้อยสารเลวคนนี้ไม่คิดว่าตัวเองเป็นบ่าวจริงๆ ถึงกลับออกจากวังเอาป่านนี้ เขาคงตามใจขันทีน้อยผู้นี้มากไปแล้วจริงๆแล้วก็ตระหนักได้อีกครั้ง ว่านี่เป็นคำอนุญาตจากตัวเอง จึงทำได้เพียงขบกรามกรอด แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสคำใด ขันทีที่ยกเกี้ยวก็ไม่กล้าหยุด แล้วขบวนคนกลุ่มใหญ่ก็เดินผ่านทั้งสามคนอย่างเอิกเกริก และตรงไปที่ตำหนักเฉิงเทียนฉินเทียนคิดว่าจะถูกดุสักคำ แต่ฮ่องเต้ไม่ตรัสคำใด เขาคงชอบเสี่ยวเสวียนจื่อมากจริงๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะมองสบตากับหลี่ฉีอินชิงเสวียนก็ถอนหายใจเช่นกัน ไม่ว่าเย่จิ่งอวี้จะคิดอย่างไรก็ช่าง แค่เขาแสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นนางก็พอแล้ว“ไปกันเถอะ”อินชิงเสวียนขึ้นหลังม้า แล้วพาฉินหบี่ทั้งสองไปที่สนามต่อสู้ในตอนนี้เอง เย่จิ่วอวี้ก็มาถึงตำหนักเฉิงเทียนแล้วเขาเดินช้าๆ เข้าไปในห้องโถงด้านข้าง สวมชุดมังกรสีเหลืองอร่าม ใบหน้าคมสันดุดันราวกับดาบแสดงให้เห็นถึงความน่าครั่นคร้ามของฮ่องเต้สวีจือย่วนกำลังเดินไปมาในห้อง นางต้องการทูลลากลับ แต่นางกลัวว่าฮ่องเต้จะตำห
ณ สนามฝึกทหารของซ่งเฉียวอันได้รับการฝึกฝนอย่างหนักท่ามกลางแสงแดดที่สดใส ส่วนอินชิงเสวียนได้ให้ทหารได้พักผ่อนแล้วอุณหภูมิตอนเที่ยงสูงถึงสามสิบเจ็บสามสิบแปดองศาเซลเซียส ถ้าไม่ระวังจะเป็นโรคลมแดดซึ่งได้ไม่คุ้มเสียจริงๆนางมีคนเพียงเท่านี้ จำเป็นต้องรับรองว่าทุกคนต้องได้ลงต่อสู้ในสนามทุกคนนั่งบนพื้น กินองุ่น เพลิดเพลินกับความเย็น และรู้สึกสบายอย่างสุดจะพรรณนาทหารของซ่งเฉียวอันยังคงตะโกนลั่น พวกเขาก็ฝึกซ้อมอย่างกระฉับกระเฉงทหารคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ติดตามเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงดีกว่าจริงๆ ไม่ต้องฝึกกลางแดด”อีกคนคร่ำครวญ “ใช่ วันใดที่ฝึกกลางแดดต้องมีทหารล้มไปหลายคนเลย”“อากาศร้อนเช่นนี้ ยังต้องออกแรงอย่างหัก ถ้าไม่เป็นลมก็แปลกแล้ว กงกงน้อยไม่เพียงแต่ไม่ให้พวกเราตากแดดเท่านั้น แต่ยังให้ผลไม้แสนอร่อยเหล่านี้แก่เราอีกด้วย คงจะดีมากถ้ามีเขาเป็นแม่ทัพของเรา”จังเถี่ยยืนขึ้นจากพื้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนคิดว่าเจ้าเสี่ยวเสวียนจื่อดี เช่นนั้นก็จงทำกันให้เต็มที่ ถ้าพวกเราแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะกลับคายแล้วพวกเราก็จะถูกพวกเขาหัวเราะเยาะ”สวีเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง
เหงื่อหยดหนึ่งไหลออกมาบนหน้าผากของอินชิงเสวียนสิ่งสิ่งใดก็ได้เจอสิ่งนั้นจริงๆตามเย่จิ่วอวี้ไปจนถึงห้องทรมาน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชาที่หนังศีรษะขณะมองดูเครื่องมือทรมานต่างๆ ที่แขวนอยู่บนผนังเย่จิ่วอวี้สะบัดชายเสื้อ แล้วเดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กตรงกลางด้วยใบหน้าที่เย็นชาและน่ากลัว“เสี่ยวเสวียนจื่อ เราจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร”อินชิงเสวียนคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว“ฝ่าบาททีงดีต่อกระหม่อมร้อยเท่าพันทวี”“แล้วเจ้าปฏิบัติต่อเราอย่างไร”เย่จิ่วอวี้โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาหงส์ไหวระริกดั่งเปลวไฟ เมื่อประกอบกับน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เสียดแทงเข้ากระดูกดำ ช่างน่าพรั่นพรึงยิ่งนักอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น พูดอย่างกล้าหาญ “กระหม่อมได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับฝ่าบาท ฟ้าเป็นพยานได้ กระหม่อมภักดีต่อฝ่าบาทมิมีเจตนาแอบแฝง”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงเย็นชา เอื้อมมือไปบีบคางของอินชิงเสวียน“ เจ้ายังกล้าเถียงกับเราอีก สิ่งที่เจ้าบอกว่าหายาก หายากเช่นนี้หรือ”อินชิงเสวียนถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น เห็นได้ทันทีว่าสีของรูม่านตาของเย่จิ่งอวี้นั้นเข้มขึ้นเล็กน้อยซึ่งหมาย
น้ำเสียงของเย่จิ่วอวี้ราบเรียบและสงบ กระแสเสียงกลับก็ไม่เย็นชาแต่เสียงที่ราบเรียบราวกับน้ำนี้ เป็นเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่กระทบหัวใจของอินชิงเสวียน อย่างแรง ทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่แม้ว่าชายตรงหน้าจะอายุยังน้อย แต่เขาก็คือฮ่องเต้ที่แท้จริงเขามีอำนาจกุมความเป็นความตายของทุกคน!ตัวเองแค่อาศัยสองกลยุทธ์เพื่อรับความโปรดปรานชั่วคราว หากวันหนึ่งพูดผิดและทำให้ฮ่องเต้โกรธจริงๆ บางทีอาจจะซวยจริงก็ได้ ต่อไปห้ามพูดจาเหลวไหลอีก ต้องระมัดระวังให้เต็มที่...เมื่อเย่จิ่วอวี้ก้มมองดู เขาก็บังเอิญเห็นลำคอสีขาวราวกับหยกของขันทีน้อยเขารีบเบือนหน้าหนี พูดเบาๆ “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันนั้นจะไม่เกิดขึ้น”ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อและพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ไปเอาแตงโมลูกเขียวๆ ของเจ้ามาให้เราชิมหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนรู้สึกตัวทันที อุ้มแตงโมมาหั่นแบ่งหลายๆ ชิ้น แล้วส่งมอบอย่างระมัดระวังเย่จิ่วอวี้กัดเข้าไปแล้วก็รู้สึกถึงความหวานแผ่ซ่านเข้ามาในลำคอ ซึ่งทำให้อวัยวะภายในของเขาผ่อนคลาย“นี่คือสิ่งที่เจ้าปลูกในสวนอวิ๋นเซียงงั้นรึ”“พ่ะย่ะค่ะ” อินชิงเสวียนยืนเคียงข้างและพูดด้วยความเคารพ
อินชิงเสวียนยืนอยู่บนแท่นสูง และเฝ้าดูทุกคนแสดงฝีมือการต่อสู้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่นางจะได้พบจอมพลเฒ่า กวนฮั่นหลิน ตาเฒ่าผู้นี้แค่มองก็รู้ว่าเขาดื้อรั้นมา แต่กวนเซี่ยวก็เป็นคนซื่อสัตย์เช่นกัน หากเขาบอกความจริง เขาจะต้องเดือดร้อนแน่นอนปล่อยให้เขาโกหกปู่ของเขาไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยพูดถึงเรื่องหลังจากนี้อินชิงเสวียนถอนหายใจ รู้สึกหงุดหงิดขณะที่กำลังคิดอยู่ก็ได้ยินคนพูดว่า “ท่านอ๋องมาตรวจกองทัพ เปิดประตูเดี๋ยวนี้”ทันใดนั้นความคิดของอินชิงเสวียนก็หยุดลง พอนางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเย่จิ่งเย่าที่มีคิ้วสีดำหนาสองข้างเหมือนชินจังอินชิงเสวียนไม่สามารถกลั้นไว้ได้ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมานางกระแอมในลำคอแล้วเดินช้าๆ ไปที่ประตูเหล็กกลั้นยิ้มในลำคอแล้วถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ท่านอ๋องรักษาตัวอยู่ในตำหนักมิใช่หรือ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาทที่นี่ด้วยเรื่องใด”ซ่งเฉียวอันที่ติดตามเย่จิ่งเย่าตะโกนทันที “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาพูดกับท่านอ๋องเช่นนี้ เหตุใดไม่รีบเปิดประตู”เมื่อเห็นซ่งเฉียวอันเชิดหน้าชูคอ อินชิงเสวียนก็ยิ้มอย่างเหยียดหยาม“ข้าทำงานรับใช้ฮ่องเต้ เหตุใดข้าต้องฟังท่านอ๋
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี