ณ เมืองหลวงอินชิงเสวียนพาหลี่ชีกับฉินเทียนกลับไปถึงวังหลวงแล้วทันทีที่มาถึงห้องหนังสือ ก็เห็นเย่ไห่ถัง“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านกลับมาแล้วทำไมไม่บอกข้าบ้าง ข้าคิดถึงท่านจะแย่”เย่ไห่ถังถือกระโปรงวิ่งเข้ามา ขอบตาแดงก่ำ สีหน้าน้อยอกน้อยใจเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของเย่ไห่ถัง อินชิงเสวียนก็รู้สึกผิดในช่วงสองวันที่กลับมา นางก็ยุ่งอยู่ตลอด ถึงได้ลืมเรื่องยัยหนูคนนี้ไปนางตบหลังเย่ไห่ถัง แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ข้ามีธุระต้องทำ ยังไม่มีเวลาว่างเลย เดิมทีคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาของที่ซื้อจากชาวบ้านไปฝากเจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะมาก่อน”เมื่อได้ยินว่าอินชิงเสวียนมีของจะให้ตัวเอง ดวงตาคู่โตที่มีน้ำตาคลอเบ้าของเย่ไห่ถังก็กะพริบปริบๆ ถามว่า “เสด็จพี่สะใภ้นำอะไรมาหรือ มีอะไรน่าสนใจไหม”“แน่นอน ข้าจะพาเจ้าไปดูเดี๋ยวนี้แหละ”เมื่ออินชิงเสวียนจับมือของเย่ไห่ถัง สาวน้อยก็ยิ้มออกมา“ขอบคุณเสด็จพี่สะใภ้”“เราคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจแล้ว”อินชิงเสวียนน้ำเสียงอ่อนโยน ท่วงท่าสง่างาม ให้ความอารมณ์เหมือนมารดาแห่งแผ่นดินอยู่กลายๆเย่ไห่ถังลอบมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ดูเหมือนเสด็จพี่สะใภ้จะสวยขึ
“ไร้สาระ เป็นถึงองค์หญิง วันๆ คิดแต่จะออกจากวัง ไม่เหมาะไม่ควร”เย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้ คิ้วทั้งคู่ขมวดมุ่น เรียวตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจเกรงว่าเด็กสาวคนนี้คงจะมีความรัก ถึงคิดแต่จะวิ่งโร่ออกไปข้างนอกแบบนี้หากใครรู้ว่าองค์หญิงบ้าไปแล้วเช่นนี้ จะเป็นการไม่เหมาะไม่ควร ดูเหมือนว่าจะต้องหาสามีให้นางแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่เหมาะสม“น้องต้องการไปเยี่ยมชมโรงเรียนสอนการต่อสู้ น้องเคยไปสำนักศึกษาหลวงกับเสด็จพี่สะใภ้แล้ว ยังไม่เคยเห็นที่อื่นเลย หากไม่ได้เห็นความสำเร็จของเสด็จพี่สะใภ้ด้วยตาตัวเอง คงจะน่าเสียดายแย่ เสด็จพี่เพคะ ท่านยอมรับปากข้าครั้งนี้ด้วยนะ!”เย่ไห่ถังก้าวไปข้างหน้า จับแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ แล้วเขย่าไปมาอย่างออดอ้อน ในขณะที่ใบหน้าเล็กๆ ก็หันไปหาอินชิงเสวียน สายตาขอร้องอ้อนวอน เมื่อได้ยินว่านางอยากไปโรงเรียนสอนการต่อสู้ อินชิงเสวียนก็เดาได้แล้วว่าเย่ไห่ถังกำลังคิดอะไรอยู่ นางอาจจะตกหลุมรักพี่รองของนางจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าอินปู้อวี่คิดเช่นเดียวกันหรือไม่อินชิงเสวียนรู้ว่าการแต่งงานในราชวงศ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภูมิหลังและรูปลักษณ์ของตระกูลเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด
“กระหม่อมมีฎีการายงานพ่ะย่ะค่ะ!”หานสือก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยสีหน้ายินดี “คืนวานกระหม่อมได้รับข่าวว่า ราษฎรทุกเมืองและทุกมณฑลได้กลับไปทำการเกษตรที่บ้านเกิด มีการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืชไปยังหลายเมืองเพื่อทดลองปลูก ผลลัพธ์เป็นไปในทิศทางที่ดี นับเป็นข่าวที่ดีจริงๆ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม“นี่เป็นข่าวดีจริงๆ”ฉินไห่ฉิวกล่าวต่อไปว่า “คูน้ำส่วนใหญ่ถูกขุดขึ้นมาแล้ว ประกอบกับบ่อน้ำหลายพันแห่ง ปัญหาเรื่องน้ำดื่มของราษฎรได้รับการแก้ไขโดยพื้นฐานแล้ว ถึงจะมีภัยแล้งรุนแรงอีกครั้ง ก็จะไม่เกิดสถานการณ์อย่างเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว ราษฎรต่างยกย่องฝ่าบาทว่าทรงประปรีชาสามารถ บางคนถึงกับตั้งรูปปั้นทองคำถวายฝ่าบาท และสักการะทุกวัน ซึ่งแสดงความชื่นชมยินดีของพวกเขา”“นั่นไม่จำเป็นแล้ว คนที่บริจาคเมล็ดพันธุ์คือกุ้ยเฟยของข้า ผู้เสนอการผันน้ำจากใต้สู่เหนือก็เป็นนาง เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ข้าบอกว่านางคือหลิวเสวียน แต่คิดว่าทุกท่านคงรู้ตัวตนของนางแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้คมกริบราวกับสายฟ้า กวาดมองใบหน้าของขุนนางทุกคน พูดเบาๆ “ตอนที่ข้าเป็นรัชทายาทได้แต่งงา
“ทำเสียงดังรบกวนเจ้าหรือเปล่า”เย่จิ่งอวี้นั่งลงข้างๆ กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน“เปล่า มีข่าวดีอะไรหรือ”อินชิงเสวียนเลิกคิ้วถาม“ข้าได้แก้ไขสถานะของเสวียนเอ๋อร์ให้ถูกต้องแล้ว เมื่อโหราจารย์หาฤกษ์งามยามดีได้แล้ว ข้าจะจัดพิธีสถาปนาฮองเฮาให้เสวียนเอ๋อร์อย่างยิ่งใหญ่”เย่จิ่งอวี้จับมือเล็กนุ่มนิ่มของอินชิงเสวียน สีหน้าแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอินชิงเสวียนมองไปยังเรียวตาหงส์ที่ลูกตาดำตัดกับตาขาวชัดเจนคู่นั้น แล้วพูดด้วยสายตาอ่อนโยน “ขอบคุณอาอวี้ ความจริงจะชื่ออะไรล้วนไม่สำคัญ จะเป็นฮองเฮาหรือไม่ข้าก็ไม่สนใจ ข้าแค่หวังว่าจะได้อยู่ครองคู่กับอาอวี้ไปตลอดชีวิต ไม่ทอดทิ้งกัน!”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างอบอุ่น “ข้ารู้ ข้าแค่ทำสิ่งที่ข้าควรทำ”เขาหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมา แล้วพลิกดูหน้าสองหน้า“นี่คืออะไร”อินชิงเสวียนยักไหล่“เย่จิ่งหลานให้ข้าไว้ ภาพวาดบนนั้นคือสิ่งที่หวังซุ่นเห็นในถ้ำบนเกาะตงหลิว ก็ดูน่าสนใจดี”“โอ้? มีสิ่งที่น่าสนใจแบบนี้ด้วย?”เย่จิ่งอวี้หยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างละเอียดอินชิงเสวียนเท้าคางแล้วพูดว่า “มีหลายสิ่งที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า”“ลัทธิเต๋า? เสวียนเอ๋อร์คิด
นักพรตเต๋าหนุ่มมองดูเม็ดฝนบนมือ แล้วตกตะลึงงันนักพรตเต๋าที่อยู่ข้างๆ กระทุ้งศอกใส่เขา“ศิษย์น้องชิงฮุย เจ้าเป็นอะไรไปรึ”ชิงฮุยตื่นจากภวังค์ทันที“ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าเพิ่งแดดออกอยู่หยกๆ แต่จู่ๆ ฝนก็ตก รู้สึกว่ากะทันหันไปหน่อย”คนที่นั่งฟังเทศน์อยู่ในศาลาก็มองดูท้องฟ้าเช่นกันฝนตกลงมากระทบหลังคาศาลา สาดใส่เสื้อผ้าของทุกคน ไม่รู้สึกเย็นเยือกแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกอบอุ่น ทำให้รู้สึกสบายตัวมากนักพรตเต๋าที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เรียกว่าธรรมชาติมิอาจคาดเดาฟ้าฝน ชีวิตคนมิอาจคาดเดาความแปรผัน เมื่อไร้ซึ่งความกังวล จึงจะสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ บริสุทธิ์สงบใจเอย!”ชิงฮุยโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่กล่าวถูกแล้ว ชิงฮุยได้รับคำชี้แนะแล้ว”ที่นั่งถัดจากพวกเขาสองคนคือนักพรตเต๋าคิ้วขาว หลังจากได้ยินการสนทนาของพวกเขา นักพรตเต๋าก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วสั่งสอนทุกคนต่อไปราษฎรชาวเมืองหลวงไม่ทราบถึงประสิทธิผลของฝนนี้ บางคนที่ป่วยด้วยอาการปวดศีรษะ เมื่อบังเอิญโดนฝน ก็หายเป็นปกติทันที ยังคิดไปเองว่าตัวเองร่างกายแข็งแรง ไม่งั้นก็เป็นเพราะได้รับพรจากสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสิ
“ได้จริงๆ หรือ”เย่ไห่ถังต้องการออกจากวังโดยเร็วที่สุด แต่ก็กลัวว่าอินชิงเสวียนจะหิว จะถูกเสด็จพี่ตำหนิเอาได้“ไม่มีปัญหา ข้ายังไม่หิวเท่าไหร่”อินชิงเสวียนกำชับอะไรสองสามคำ แล้วพาเย่ไห่ถังออกจากวังเมื่อมาถึงประตูจิ้งอาน ก็เห็นหลี่เต๋อฝูเดินนำนายหญิงยี่สิบคนเข้าแถวเพื่อออกไปข้างนอก ทุกคนร้องไห้โศกเศร้าเหมือนไปงานไว้ทุกข์เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หลี่เต๋อฝูก็หันกลับมาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “กระหม่อมถวายพระพรกุ้ยเฟย ถวายพระพรองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”เย่ไห่ถังโบกมืออย่างอารมณ์ดี“ตามสบาย พวกนางจะออกจากวังแล้วหรือ”หลี่เต๋อฝูตอบว่า “ถูกต้อง ฝ่าบาทมีราชโองการลงมาแล้ว ให้กระหม่อมไปส่งเหล่านายหญิงออกจากวังวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อพูดตรงนี้ หลี่เต๋อฝูก็เหลือบมองอินชิงเสวียนฝ่าบาทสามารถทำเช่นนี้เพื่อกุ้ยเฟยได้ เรียกได้ว่าเสี่ยงต่อการไม่ยอมรับจากใต้หล้าจริงๆ หากพระสนมมีลูกชายหญิงหลายคนก็แล้วไปเถิด แต่ตอนนี้มีวังหลังมีองค์ชายน้อยเพียงคนเดียว เด็กน้อยเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ได้ยาก หากเกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทมิต้องไร้ผู้สืบทอดบัลลังก์งั้นหรือถุยๆ!นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ โหราจารย์บอกว่าองค์ชายน้อยเป
อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อยนางเพิ่งคุยกับเย่จิ่งอวี้เรื่องของนักพรตเต๋าเสร็จ ก็ได้พบนักพรตเต๋าจำนวนมากมายพอดี คาดว่ามีประมาณสิบกว่าคนเมื่อมองดูเสื้อผ้าที่ซอมซ่อและเรียบง่ายของพวกเขา แต่ละคนมีรูปร่างผอมซูบ ดูเหมือนผ่านความยากลำบากมามาก แต่กลับมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เผยให้เห็นความสดใสและเงียบสงบนี่เป็นครั้งแรกที่อินชิงเสวียนได้พบนักพรตเต๋าพเนจรแบบนี้ ซึ่งแตกต่างจากนักบวชเหล่านั้นในวัดยุคปัจจุบันคนเหล่านี้เป็นนักพรตเซียนเต๋าที่สง่างามทุกคน สีหน้าและแววตาจริงจัง ทำให้คนเกิดความเคารพและยำเกรงโดยไม่รู้สาเหตุพวกเขาเดินผ่านอินชิงเสวียนไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้หยุดลงและยังคงเดินต่อไปด้านหน้า สายตาแน่วแน่และนิ่งสงบจนกระทั่งถึงนักพรตเต๋าน้อยผู้นั้นที่หน้าตาสะอาดและหล่อเหลา เมื่อเดินผ่านอินชิงเสวียนไปก็หันกลับมาเหลือบมองนางเมื่อสบสายตากัน อินชิงเสวียนก็ใจสั่นเล็กน้อยดวงตาคู่นั้นพิเศษอย่างแท้จริง สดใสราวกับกระจก ไม่แปดเปื้อนโคลนตม ใสสะอาดจนทำให้คนรู้สึกต่ำต้อยนักพรตเต๋าน้อยผู้นี้สูงส่งงดงาม เขายิ้มให้อินชิงเสวียนอย่างเป็นมิตร และเดินตามรอยเท้าของท่านอาจารย์ไปอิ
รองผู้อำนวยการเหลือบมองอินชิงเสวียน พูดและหัวเราะชอบใจว่า “คุณชายรองอินกำลังฝึกการต่อสู้ให้นักเรียนใหม่พร้อมกับคุณชายกวน ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านหลัง กระหม่อมจะพาเหนียงเหนียงและองค์หญิงเสด็จไปเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง พวกข้าไปกันเองก็ได้”นับตั้งแต่อินชิงเสวียนไปจากเมืองหลวง เย่ไห่ถังก็ไม่ได้ออกจากวังอีกเลย ความคิดถึงทำให้นางลืมการวางตัว อย่างไรอินชิงเสวียนก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของอินปู้อวี่ ถูกนางหัวเราะเยาะก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนางรีบเดินไปยังเรือนด้านหลัง และได้พบกับอินปู้อวี่ที่ยืนอยู่บนแท่นฝึกการต่อสู้เขาเปลือยกายท่อนบน กำลังนำนักเรียนใหม่ฝึกซ้อมหมัดมวย เส้นกล้ามเนื้อที่แผ่นหลังยาวต่อเนื่องไม่สะดุด ผิวสีน้ำตาลแก่เปล่งประกายเป็นแสงสีทองจางๆ ภายใต้แสงแดดเย่ไห่ถังเพียงเหลือบมองก็รู้สึกว้าวุ่นหัวใจ จึงกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นโดยไม่รู้ตัวกวนเซี่ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง กำลังพักผ่อนอยู่ เขาสวมเสื้อคลุมสั้นสีเทาและเปิดหน้าอกอยู่ คิดว่าคงเหนื่อยจึงนั่งตากลมเมื่อเห็นอินชิงเสวียนและเย่ไห่ถัง กวนเซี่ยวก็ตกใจในทันที รีบหยิบเสื้อมาปิดไว้และกระโดดลงมาจากแท่นฝึกซ้อม น้อมตัวพูดว