นักพรตเต๋าหนุ่มมองดูเม็ดฝนบนมือ แล้วตกตะลึงงันนักพรตเต๋าที่อยู่ข้างๆ กระทุ้งศอกใส่เขา“ศิษย์น้องชิงฮุย เจ้าเป็นอะไรไปรึ”ชิงฮุยตื่นจากภวังค์ทันที“ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าเพิ่งแดดออกอยู่หยกๆ แต่จู่ๆ ฝนก็ตก รู้สึกว่ากะทันหันไปหน่อย”คนที่นั่งฟังเทศน์อยู่ในศาลาก็มองดูท้องฟ้าเช่นกันฝนตกลงมากระทบหลังคาศาลา สาดใส่เสื้อผ้าของทุกคน ไม่รู้สึกเย็นเยือกแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกอบอุ่น ทำให้รู้สึกสบายตัวมากนักพรตเต๋าที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เรียกว่าธรรมชาติมิอาจคาดเดาฟ้าฝน ชีวิตคนมิอาจคาดเดาความแปรผัน เมื่อไร้ซึ่งความกังวล จึงจะสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ บริสุทธิ์สงบใจเอย!”ชิงฮุยโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่กล่าวถูกแล้ว ชิงฮุยได้รับคำชี้แนะแล้ว”ที่นั่งถัดจากพวกเขาสองคนคือนักพรตเต๋าคิ้วขาว หลังจากได้ยินการสนทนาของพวกเขา นักพรตเต๋าก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วสั่งสอนทุกคนต่อไปราษฎรชาวเมืองหลวงไม่ทราบถึงประสิทธิผลของฝนนี้ บางคนที่ป่วยด้วยอาการปวดศีรษะ เมื่อบังเอิญโดนฝน ก็หายเป็นปกติทันที ยังคิดไปเองว่าตัวเองร่างกายแข็งแรง ไม่งั้นก็เป็นเพราะได้รับพรจากสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสิ
“ได้จริงๆ หรือ”เย่ไห่ถังต้องการออกจากวังโดยเร็วที่สุด แต่ก็กลัวว่าอินชิงเสวียนจะหิว จะถูกเสด็จพี่ตำหนิเอาได้“ไม่มีปัญหา ข้ายังไม่หิวเท่าไหร่”อินชิงเสวียนกำชับอะไรสองสามคำ แล้วพาเย่ไห่ถังออกจากวังเมื่อมาถึงประตูจิ้งอาน ก็เห็นหลี่เต๋อฝูเดินนำนายหญิงยี่สิบคนเข้าแถวเพื่อออกไปข้างนอก ทุกคนร้องไห้โศกเศร้าเหมือนไปงานไว้ทุกข์เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หลี่เต๋อฝูก็หันกลับมาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “กระหม่อมถวายพระพรกุ้ยเฟย ถวายพระพรองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”เย่ไห่ถังโบกมืออย่างอารมณ์ดี“ตามสบาย พวกนางจะออกจากวังแล้วหรือ”หลี่เต๋อฝูตอบว่า “ถูกต้อง ฝ่าบาทมีราชโองการลงมาแล้ว ให้กระหม่อมไปส่งเหล่านายหญิงออกจากวังวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อพูดตรงนี้ หลี่เต๋อฝูก็เหลือบมองอินชิงเสวียนฝ่าบาทสามารถทำเช่นนี้เพื่อกุ้ยเฟยได้ เรียกได้ว่าเสี่ยงต่อการไม่ยอมรับจากใต้หล้าจริงๆ หากพระสนมมีลูกชายหญิงหลายคนก็แล้วไปเถิด แต่ตอนนี้มีวังหลังมีองค์ชายน้อยเพียงคนเดียว เด็กน้อยเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ได้ยาก หากเกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทมิต้องไร้ผู้สืบทอดบัลลังก์งั้นหรือถุยๆ!นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ โหราจารย์บอกว่าองค์ชายน้อยเป
อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อยนางเพิ่งคุยกับเย่จิ่งอวี้เรื่องของนักพรตเต๋าเสร็จ ก็ได้พบนักพรตเต๋าจำนวนมากมายพอดี คาดว่ามีประมาณสิบกว่าคนเมื่อมองดูเสื้อผ้าที่ซอมซ่อและเรียบง่ายของพวกเขา แต่ละคนมีรูปร่างผอมซูบ ดูเหมือนผ่านความยากลำบากมามาก แต่กลับมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เผยให้เห็นความสดใสและเงียบสงบนี่เป็นครั้งแรกที่อินชิงเสวียนได้พบนักพรตเต๋าพเนจรแบบนี้ ซึ่งแตกต่างจากนักบวชเหล่านั้นในวัดยุคปัจจุบันคนเหล่านี้เป็นนักพรตเซียนเต๋าที่สง่างามทุกคน สีหน้าและแววตาจริงจัง ทำให้คนเกิดความเคารพและยำเกรงโดยไม่รู้สาเหตุพวกเขาเดินผ่านอินชิงเสวียนไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้หยุดลงและยังคงเดินต่อไปด้านหน้า สายตาแน่วแน่และนิ่งสงบจนกระทั่งถึงนักพรตเต๋าน้อยผู้นั้นที่หน้าตาสะอาดและหล่อเหลา เมื่อเดินผ่านอินชิงเสวียนไปก็หันกลับมาเหลือบมองนางเมื่อสบสายตากัน อินชิงเสวียนก็ใจสั่นเล็กน้อยดวงตาคู่นั้นพิเศษอย่างแท้จริง สดใสราวกับกระจก ไม่แปดเปื้อนโคลนตม ใสสะอาดจนทำให้คนรู้สึกต่ำต้อยนักพรตเต๋าน้อยผู้นี้สูงส่งงดงาม เขายิ้มให้อินชิงเสวียนอย่างเป็นมิตร และเดินตามรอยเท้าของท่านอาจารย์ไปอิ
รองผู้อำนวยการเหลือบมองอินชิงเสวียน พูดและหัวเราะชอบใจว่า “คุณชายรองอินกำลังฝึกการต่อสู้ให้นักเรียนใหม่พร้อมกับคุณชายกวน ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านหลัง กระหม่อมจะพาเหนียงเหนียงและองค์หญิงเสด็จไปเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง พวกข้าไปกันเองก็ได้”นับตั้งแต่อินชิงเสวียนไปจากเมืองหลวง เย่ไห่ถังก็ไม่ได้ออกจากวังอีกเลย ความคิดถึงทำให้นางลืมการวางตัว อย่างไรอินชิงเสวียนก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของอินปู้อวี่ ถูกนางหัวเราะเยาะก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนางรีบเดินไปยังเรือนด้านหลัง และได้พบกับอินปู้อวี่ที่ยืนอยู่บนแท่นฝึกการต่อสู้เขาเปลือยกายท่อนบน กำลังนำนักเรียนใหม่ฝึกซ้อมหมัดมวย เส้นกล้ามเนื้อที่แผ่นหลังยาวต่อเนื่องไม่สะดุด ผิวสีน้ำตาลแก่เปล่งประกายเป็นแสงสีทองจางๆ ภายใต้แสงแดดเย่ไห่ถังเพียงเหลือบมองก็รู้สึกว้าวุ่นหัวใจ จึงกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นโดยไม่รู้ตัวกวนเซี่ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง กำลังพักผ่อนอยู่ เขาสวมเสื้อคลุมสั้นสีเทาและเปิดหน้าอกอยู่ คิดว่าคงเหนื่อยจึงนั่งตากลมเมื่อเห็นอินชิงเสวียนและเย่ไห่ถัง กวนเซี่ยวก็ตกใจในทันที รีบหยิบเสื้อมาปิดไว้และกระโดดลงมาจากแท่นฝึกซ้อม น้อมตัวพูดว
กวนเซี่ยวมองแววตาออก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเดินออกไป จึงเดินตามไปทันทีเดินมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้องพักของพวกเขา อินชิงเสวียนจึงหยุดลงกวนเซี่ยวน้อมตัวพูดว่า “ท่านปู่บอกว่าเขามีอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย และปวดท้ายทอยมาก อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่ดี หากว่าหวงกุ้ยเฟยยังมียาครั้งก่อนอยู่อีก กวนเซี่ยวอยากขอสักหน่อย เหนียงเหนียงได้โปรดประทานให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”กวนเซี่ยวสะบัดชุดคลุมเตรียมจะคุกเข่าลง อินชิงเสวียนเอื้อมมือมาดึงเขาไว้“ข้ายังมียาอยู่ แต่ยาเหล่านั้นรักษาตามอาการ ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ อีกสักครู่ข้าจะไปเยี่ยมที่จวน ดูว่าอัคราจารย์ยังมีอาการอื่นอีกหรือไม่”“อาการอื่น?”กวนเซี่ยวเงยศีรษะขึ้นด้วยความตื่นตกใจอินชิงเสวียนพูดปลอบใจว่า “เจ้าอย่าคิดฟุ้งซ่านไป อัคราจารย์เป็นผู้ฝึกการต่อสู้มายาวนาน ร่างกายของเขาไม่มีปัญหาอะไรหรอก บางทีเขาอาจโกรธข้าอยู่ ข้าควรจะไปแสดงความขอโทษด้วยตัวเอง”กวนเซี่ยวเข้าใจในสิ่งที่อินชิงเสวียนพูด ซึ่งก็คือเรื่องที่ฟางรั่วเข้ามาในโรงเรียนสอนการต่อสู้ ท่านผู้เฒ่าไม่พอใจต่อเรื่องนี้อย่างมาก“ความจริง เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของหวงกุ้ยเฟยเลย ท่า
เย่ไห่ถังวิ่งไม่เร็วมากนัก ในใจหวังว่าอินปู้อวี่จะยื้อตัวเองไว้ แต่นางก็ต้องผิดหวังเมื่อหันกลับไปแอบมอง อินปู้อวี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างงุนงง“ช่างซื่อบื้อเสียจริง!”เย่ไห่ถังเตะหินบนพื้นด้วยความโกรธ จึงวิ่งไปที่ลานด้านหน้าโดยไม่หันกลับมาอีกเลยอินชิงเสวียนกำลังพูดคุยอยู่กับกวนเซี่ยว เมื่อเห็นเย่ไห่ถังวิ่งออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ จึงเกิดความสงสัยอย่างอดไม่ได้ หรือพี่รองแสนซื่อบื้อของนางเปิดหูเปิดตาแล้ว และมีเรื่องบางอย่างที่ใกล้ชิดกันเกิดขึ้นกับเย่ไห่ถัง? “เสด็จพี่สะใภ้ พวกเรากลับกันเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรน่าดูหรอกเพคะ”เย่ไห่ถังดึงมืออินชิงเสวียนเดินออกไปด้านนอกทันที อินชิงเสวียนทำได้เพียงพูดกับกวนเซี่ยวว่า “ฝากบอกฟางรั่วแทนข้าด้วย วันหลังข้าจะมาเยี่ยมนางใหม่”กวนเซี่ยวรีบโน้มตัวแสดงความเคารพ“พ่ะย่ะค่ะ กวนเซี่ยวเชิญเสด็จหวงกุ้ยเฟย เชิญเสด็จองค์หญิงไห่ถัง”เมื่อออกจากประตูของโรงเรียนสอนการต่อสู้ อินชิงเสวียนก็ถามด้วยความแปลกใจ“ทำไมหรือ หรือว่าพี่รองของข้าล่วงเกินท่าน?”เย่ไห่ถังหน้าแดงเล็กน้อย นางเบ้ปากเล็กสีแดงสดแล้วพูดว่า “ล่วงเกินอะไรกันเล่า เขาเหมือนกับก้อน
กวนฮั่นหลินยื่นแขนออกมาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อินชิงเสวียนเปิดกล่องออกมาอย่างเป็นระเบียบ นำสายคาดรัดไว้ที่แขนของกวนฮั่นหลินเมื่อกดปุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สายรัดจะสูบลมเข้ามาทันทีและจะนูนขึ้นอย่างรวดเร็วเย่ไห่ถังรู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้เสด็จพี่สะใภ้เป็นเทพลงมาจุติหรือไม่ เหตุใดจึงมีของแปลกประหลาดเยอะแยะไปหมดกวนฮั่นหลินกลับรู้สึกตื่นตกใจเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าของสิ่งนั้นจะบีบแขนของเขาออกเป็นสองท่อน หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าอินชิงเสวียนไม่มีทางทำร้ายตัวเอง เขาคงใช้ฝ่ามือสับของสิ่งนี้ออกเป็นสองท่อนไปนานแล้วโชคดีที่ความรู้สึกบีบอัดนั้นมีอยู่ไม่นาน เพียงไม่กี่อึดใจก็ค่อยๆ หดตัวกลับไป ค่าที่เกี่ยวข้องก็ปรากฏขึ้นบนเครื่องวัดความดันโลหิตด้วยค่าต่ำ70 ค่าสูง170 ค่าความดันนี้ทำให้น่าตกใจอย่างมาก โดยเฉพาะความดันที่มีค่าต่างกันมากเป็นพิเศษ จำได้ว่าหมอที่โรงพยาบาลบอกว่า ผู้สูงอายุที่มีความดันต่างกันมาก ส่วนใหญ่จะมีภาวะสมองตาย ท่านผู้เฒ่ากวนอายุมากขนาดนี้แล้วจึงไม่อาจเลี่ยงได้แต่ว่า หากไม่ได้ใช้เครื่องวัดค่าอย่างละเอียดก่อน อินชิงเสวียนก็ไม่กล้าจ่ายยาให้เขามั่วซั่ว จึงหยิบยาลดควา
ณ ริมชายฝั่งการก่อสร้างเรือขนาดยักษ์ได้เข้าสู่ตอนท้ายแล้วนับตั้งแต่วันนั้นที่เย่จิ่งหลานได้แสดงอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนก็เลื่อมใสศรัทธาเขามากขึ้นไม่แปลกใจที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์รับเขาเป็นศิษย์ และยังส่งฮวาเชียนมาเป็นผู้ช่วย อีกทั้งหนังสือล้ำค่ามากมายที่ได้เห็นในมิติวันนั้น ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าตัวตนของคุณชายน้อยเย่ผู้นี้ไม่ธรรมดาสามัญยิ่งไม่ต้องพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่มีในทุกวันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งเย่จิ่งหลานยังรักษาอาการป่วยได้ ประชาชนจำนวนมากที่กลับมาเป่ยไห่ก็ได้รับการรักษาจากเขา ชาวบ้านที่ได้รับความเมตตาจากเขาก็มาช่วยเหลือด้วยตัวเองเช่นกันเมื่อเห็นว่ากองกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เย่จิ่งหลานก็พึงพอใจอย่างมากความจริงแล้ว ความตั้งใจเดิมของเขาไม่ได้สูงส่งขนาดนั้น เขารักษาโรคให้ประชาชนก็เพียงเพื่อให้ได้คะแนนมากขึ้น และให้หลักประกันที่มากขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อเขาเห็นชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้ช่วยสร้างเรือตลอดวันและคืน ในใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้งมากขึ้นบางทีอินชิงเสวียนอาจพูดถูก เพราะเขาใช้ชีวิตของตัวเองแบ่งแยกมากเกินไป ขอเพียงยินดีที่จะให้ จ