“หา?”ฮั่วเทียนเฉิงแปลกใจเล็กน้อย“สิ่งที่ได้เห็นตามทาง สำนักต่างๆ ถอยออกไปหมด ประชาชนก็กลับมายังตงไห่แล้ว เหตุใดจึงยังไม่จบลงอีก?”เย่จิ่งหลานลุกขึ้นยืนและถอนหายใจพูดว่า “สงครามครั้งนี้ฆ่าผีแคระตงหลิวตายไปจำนวนไม่น้อย แต่ก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ข้ามทะเลหนีกลับไปได้”เขามองไปยังด้านหน้า แสดงสีหน้ารำพึงฟ้าเวทนาคนออกมา“เคยได้ยินหรือไม่ว่า ไฟป่าเผาผลาญแต่ไม่สูญสิ้น ลมวสันต์จะพัดโบกปลุกชีวิตฟื้น! เกรงว่าไม่ถึงยี่สิบปี ก็จะมีชาวตงหลิวอีกกลุ่มที่ขึ้นบกมาล้างแค้น พวกข้าอยู่ที่เป่ยไห่ก็เพื่อทำลายล้างตงหลิวให้สิ้นซาก และกำจัดหายนะที่จะเกิดขึ้นในภายหลังกับประชาชนเป่ยไห่”ฮั่วเทียนเฉิงพยักหน้า“เช่นนี้นี่เอง”เขาเหลือบมองลูกศิษย์แต่ละสำนักที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ที่ริมชายฝั่ง เขาเข้าใจแล้วว่าคนเหล่านี้อาจถูกเลือกจากสำนักต่างๆ เพื่อตามเก็บงานในภายหลัง หากไม่ใช่เพราะเขามีธุระติดตัว คงยินดีที่จะร่วมออกทะเลไปกับเย่จิ่งหลาน และทำสิ่งดีๆ ให้แก่ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้น่าเสียดายที่ตำหนักเทพหอทองคำและเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงจะประลองยุทธ์กันในไม่ช้า ฮั่วเทียนเฉิงจึงไม่มีเวลาว่างมาเล่นสนุกนั
“ท่ามกลางสำนักทั้งหลาย มีเพียงเจ้าสักนักเฮ่ออวิ๋นทงแห่งสำนักกระบี่สังหารที่เชี่ยวชาญค่ายกล แต่ก็รู้เพียงค่ายกลที่ง่ายดาย เล่ากันว่าค่ายกลแปดทิศสร้างตามตำหนักทั้งเก้า ด้านในมียังมีการยับยั้งและการสร้างในความสัมพันธ์ของปัญจธาตุ การฝังตัวของแผนภูมิสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มดาวและอื่นๆ หากไม่ใช่ยอดฝีมือก็ทำลายได้ยาก แม้เป่ยไห่จะชนะสงครามครั้งนี้ แต่ก็บาดเจ็บล้มตายสาหัส สาเหตุที่แต่ละสำนักรีบเดินทางไป ก็เพราะบาดเจ็บสาหัสค่อนข้างมาก จึงรีบกลับสำนักไปรักษาตัว เหตุผลที่ข้าอยากไปตงหลิวก็เพื่อแก้แค้นให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้”เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เสียงของเย่จิ่งหลานก็สั่นเทา รอบดวงตาแดงก่ำ น้ำตาที่พร่างพราวไหลออกมาจากดวงตาของเขา ดูเหมือนว่าเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความเศร้าเอาไว้ฮั่วเทียนเฉิงได้ยินก็ต้องสับสนมึนงง เพื่อเปิดประตูแห่งวิถีแห่งสวรรค์ เขาก็เคยศึกษาค่ายกลมาบ้าง กลับไม่เคยได้ยินค่ายกลที่ซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน ไม่แปลกที่จะมีคนตายมากมายเช่นนี้... เพียงแต่ หากอินชิงเสวียนตายแล้วจริงๆ เขาจะไปหาพลังวิญญาณได้จากที่ใดอีก? ระหว่างที่ครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร ต่งจื่อ
ฮั่วเทียนเฉิงวางชามลง พูดกับโจวหนิงและต้วนจื่อฉู่ที่ตามอยู่ด้านหลังมาตลอดว่า “ไป พวกเราไปดูกันเถอะ”เย่จิ่งหลานพูดขึ้นด้านหลังว่า “ท่านฮั่ว ท่านคงไม่ไปขุดสุสานหรอกใช่ไหม สิ่งที่ฝังอยู่ในสุสานแห่งนี้ล้วนแต่เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่เสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อประชาชน ท่านฮั่วไม่กลัวว่าจะเป็นการทำผิดศีลธรรมงั้นหรือ?”ฮั่วเทียนเฉิงชะงักฝีเท้า ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยเย่คิดมากแล้ว ข้าและพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เคยรู้จักกัน ข้าเพียงไปสักการะพวกเขาเท่านั้น”เย่จิ่งหลานพยักหน้ารับ“เช่นนั้นก็ตามสบายเลย หากเป็นไปได้ ข้ายังคงหวังให้ท่านฮั่วออกทะเลไปพร้อมกับพวกข้า กวาดล้างชาวตงหลิวให้สิ้น”“เรื่องนี้คงต้องพูดกันคราวหลัง ข้าก็มีเรื่องที่อยากเจรจากับคุณชายน้อยเย่เช่นกัน”ฮั่วเทียนเฉิงโบกมือ นำโจวหนิงและต้วนจื่อฉู่เดินตรงไปยังด้านตะวันออกของภูเขาใหญ่ฮวาเชียนยืนอยู่แต่ไกลมาตลอด เมื่อเห็นพวกเขาเดินจากไปไกลแล้ว นางจึงเดินเข้ามาทันที“พวกเขามาทำอะไรที่นี่?”ความทรงจำที่นางมีต่อฮั่วเทียนเฉิงไม่นับว่าแย่ แต่ก็ไม่ใช่ความทรงจำที่ดี เพราะว่าไม่ได้คุ้นเคยกัน จึงไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เย่จิ่งหลา
เย่จิ่งหลานเพิ่งกินข้าวต้มทะเลเสร็จ ฮั่วเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ก็กลับมายังริมชายฝั่งอารมณ์ของทั้งสามคนดูไม่มีความสุขนัก สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก“คุณชายน้อยเย่ ออกไปคุยกันหน่อยได้หรือไม่”ฮั่วเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มออกมา ราวกับผู้อาวุโสที่จิตใจอ่อนโยน“ได้สิ”เย่จิ่งหลานหยิบผ้าเช็ดมือเล็กๆ ออกมาหนึ่งผืน เขาเช็ดมืออย่างสง่างามครู่หนึ่ง และตามฮั่วเทียนเฉิงมายังริมหินประหลาดก้อนหนึ่งเขารักษาระยะห่างจากฮั่วเทียนเฉิงห้าก้าวอยู่เสมอ เพื่อสะดวกที่จะหนีเข้าไปในมิติอินชิงเสวียนเคยบอกว่า เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นสูง มิติจะถูกพลังอำนาจปิดกั้นไว้ ซึ่งเข้าไปได้ยาก เย่จิ่งหลานจดจำอยู่เสมอ ตอนนี้เรือใกล้สร้างเสร็จแล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้มีปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีกเช่นกัน“ท่านฮั่วมีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”ฮั่วเทียนเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นแม่นางคนหนึ่ง คงเป็นสาวรับใช้คุ้มกันของผู้คุมตราเซี่ยวสินะ มีนางอยู่ด้วยก็คงไม่ยากที่จะเข้าสู่เกาะตงหลิว”เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ดังนั้น ข้าอยากเชิญคุณชายน้อยเย่ไปกับข้าสักครั้ง”“ท่านฮั่วจะพาข้าไปที่ใดกันแน่ และเหตุใดต้อง
ความเร็วของฮั่วเทียนเฉิงว่องไวมาก เรียกขานว่าสายฟ้าก็ไม่เกินจริงเวลาเพียงชั่วพริบตา ความคิดนานาประการผุดขึ้นมาในหัวของเย่จิ่งหลานกำบังกาย? ยิงปืน? เลื่อนตัวหนีไป? แต่ล้วนเป็นไปไม่ได้ดังนั้น... ฮั่วเทียนเฉิงไม่คิดว่าตัวเองจะพลาดท่า เขาจับตัวเย่จิ่งหลานได้แล้วจริงๆ แต่กลับเกิดเรื่องที่ทำให้เขาคาดคิดไม่ถึง ทัศนียภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจู่ๆ ริมทะเลเป่ยไห่ก็เปลี่ยนเป็นห้องสีขาวรอบด้าน ด้านในมีสามเตียง และผ้าห่มก็เป็นสีขาวสะอาดสะอ้าน หัวและปลายเตียงทำจากโลหะหายากเขามองสำรวจทัศนียภาพรอบด้านด้วยใบหน้าที่ตื่นตกใจ โจวหนิงและต้วนจื่อฉู่ที่อยู่ด้านหลังก็มีสีหน้ามึนงงเช่นกันสรุปว่าคือความฝัน หรือตาลายกันแน่? โจวหนิงยื่นมือออกมาหยิกที่ต้นขาของตัวเอง ต้วนจื่อฉู่ก็ออกแรงขยี้ตา เมื่อพวกเขาได้สติกลับมา ภาพตรงหน้ายังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนเมื่อครู่“ที่นี่คือที่ใดกัน?”ฮั่วเทียนเฉิงปล่อยมือลงโดยไม่รู้ตัวครั้งนี้ เย่จิ่งหลานไม่ได้ถอยหลังออกไปสามวันก่อนหน้านี้ เขารักษาชาวบ้านคนหนึ่งที่มีเนื้องอกในสมองจนหายดี และได้รับคะแนนการผ่าตัดระดับสุดยอด มิติจึงได้รับการแจ้งเตื
ฮวาเชียนยืนไม่ห่างอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นเย่จิ่งหลานปรากฏตัวใต้หินประหลาด จึงรีบวิ่งเข้ามาทันที“คุณชายน้อยเย่ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”“ไม่เป็นไร ฮั่วเทียนเฉิงและศิษย์ถูกข้าขังไว้ในมิติ ออกทะเลได้เมื่อไร ค่อยปล่อยพวกเขาออกมา เป็นการยากที่จะแยกแยะทิศทางของทะเล และไม่ว่าวิทยายุทธ์สูงส่งแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้มันได้ สงครามครั้งนี้พวกเราต้องชนะ!”เมื่อมองใบหน้าเล็กที่มีจิตใจฮึกเหิมของเย่จิ่งหลาน ดวงตาของฮวาเชียนก็เคลิบเคลิ้มตามไปด้วย ราวกับว่ามองเห็นเย่จิ่งอวี้ที่อยู่ในวัยเด็ก สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน ช่างเหมือนกันจริงๆ“เช่นนั้นก็ดี ข้าขอตัวก่อน”เย่จิ่งหลานโน้มตัวเล็กน้อย“ท่านอาฮวากลับดีๆ ขอรับ”... ณ พระราชวังอินชิงเสวียนมาถึงหอฉยงหวาแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าด้านในเรือนมีพัสดุขนาดใหญ่วางอยู่หลายสิบชิ้น ดูท่าทางซูฉ่ายเวยจะเก็บสะสมสมบัติไว้ไม่นอนในครึ่งปีนี้ขณะนั้น นายบ่าวสองคนยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ในเรือนก่อนที่อินชิงเสวียนจะจากไป ซูฉ่ายเวยก็พอมองออกแล้วว่า พระราชโองการเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นสักวัน นางก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจอะไรชื่อของนางถูกจารึกไว้ในวัง
“ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป จนชั่วฟ้าดินสลาย!”เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นข้างหู ลึกซึ้งและมั่นคงราวกับเข็มเทพใต้ทะเล ตกอยู่กลางใจของอินชิงเสวียนอย่างหนักแน่นนางสูดจมูก และเผยรอยยิ้มที่สดใสเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง“ข้าจะเสียใจได้อย่างไรกัน นี่คือชีวิตที่ข้าต้องการมาตลอด อาอวี้พูดถูก ในวังยังมีนางสนมนางกำนัลอีกมาก เมื่อมีเวลาว่างข้าจะไปเรียนงานเย็บปักถักร้อยและพูดคุยกับพวกนาง ยังมีไห่ถังและเสี่ยวหนานเฟิง ข้าไม่มีทางเหงาแน่นอน”เมื่อเห็นรอยยิ้มงดงามราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปากอย่างอดไม่ได้เขาเหยียดนิ้วชี้อันเรียวยาวของเขาออก และเกาที่สันจมูกของอินชิงเสวียนด้วยความรักใคร่“ถูกต้องแล้ว เสวียนเอ๋อร์ของข้าจะเหงาได้อย่างไรกัน เสวียนเอ๋อร์เป็นคนที่มีนิสัยอยู่นิ่งไม่ได้ วันนี้ออกจากวังไปไหนมางั้นหรือ?”“ไปโรงเรียนสอนการต่อสู้เพคะ การเปลี่ยนแปลงของกวนเซี่ยวถือว่ามากเลยทีเดียว นิสัยสุขุมขึ้นมาก เพียงแต่ชีวิตของฟางรั่วเกรงว่าคงไม่ง่ายนัก”อินชิงเสวียนกอดแขนของเขา ทั้งสองเผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน มุ่งหน้าเดินไปยังตำหนักจินหวู“จอมพลเฒ่าก
“อาอวี้คิดสิ่งใดงั้นหรือ?”หน้าประตูตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนหยุดฝีเท้าลง มองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยยิ้มแสนหวานเย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างงดงาม“ไม่มีอะไร”“เด็จพ่อ~”เสียงนุ่มนิ่มของเสี่ยวหนานเฟิงดังขึ้นมาจากด้านหน้า อินชิงเสวียนหันหน้ามาก็เห็นร่างเล็กที่ผุดผ่องในทันทีเย่จิ่งอวี้รีบเดินอยู่หลายก้าว และอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา“คิดถึงเสด็จพ่อแล้วใช่ไหม?”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กออกมา ออกแรงกอดคอของเย่จิ่งอวี้ ใบหน้าเล็กที่เรียบเนียนถูกับแก้มของเขา พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มว่า “คิดคิด~”เย่จิ่งอวี้หอมใบหน้าที่นุ่มนวลเหมือนราวกับผ้าแพร“เสด็จพ่อก็คิดถึงจ้าวเอ๋อร์แล้ว สองวันนี้จ้าวเอ๋อร์เป็นเด็กดีหรือไม่?”เสี่ยวหนานเฟิงยืดหน้าอกเล็กๆ ของเขาขึ้นในทันทีและพยักหน้าเล็กๆ ราวกับไก่จิกข้าวสาร“จ้าวเอ๋อร์เด็กดี!”“ลูกรัก”เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกชายเข้ามาในตำหนัก ทันใดนั้นก็พบว่าบนเบาะนุ่มมีการ์ดใบเล็กๆ วางไว้มากมาย ด้านบนเขียนบทกวีรื่นหู เข้าใจง่าย และยังมีภาพประกอบที่เกี่ยวข้องกันด้วย เหมาะสำหรับจุดประกายสติปัญญาการ์ดใบเล็กที่สวยงามเช่นนี้ ต้องเป็นอินชิงเสวียนที่เอามาจากในมิติ