ความเร็วของฮั่วเทียนเฉิงว่องไวมาก เรียกขานว่าสายฟ้าก็ไม่เกินจริงเวลาเพียงชั่วพริบตา ความคิดนานาประการผุดขึ้นมาในหัวของเย่จิ่งหลานกำบังกาย? ยิงปืน? เลื่อนตัวหนีไป? แต่ล้วนเป็นไปไม่ได้ดังนั้น... ฮั่วเทียนเฉิงไม่คิดว่าตัวเองจะพลาดท่า เขาจับตัวเย่จิ่งหลานได้แล้วจริงๆ แต่กลับเกิดเรื่องที่ทำให้เขาคาดคิดไม่ถึง ทัศนียภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจู่ๆ ริมทะเลเป่ยไห่ก็เปลี่ยนเป็นห้องสีขาวรอบด้าน ด้านในมีสามเตียง และผ้าห่มก็เป็นสีขาวสะอาดสะอ้าน หัวและปลายเตียงทำจากโลหะหายากเขามองสำรวจทัศนียภาพรอบด้านด้วยใบหน้าที่ตื่นตกใจ โจวหนิงและต้วนจื่อฉู่ที่อยู่ด้านหลังก็มีสีหน้ามึนงงเช่นกันสรุปว่าคือความฝัน หรือตาลายกันแน่? โจวหนิงยื่นมือออกมาหยิกที่ต้นขาของตัวเอง ต้วนจื่อฉู่ก็ออกแรงขยี้ตา เมื่อพวกเขาได้สติกลับมา ภาพตรงหน้ายังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนเมื่อครู่“ที่นี่คือที่ใดกัน?”ฮั่วเทียนเฉิงปล่อยมือลงโดยไม่รู้ตัวครั้งนี้ เย่จิ่งหลานไม่ได้ถอยหลังออกไปสามวันก่อนหน้านี้ เขารักษาชาวบ้านคนหนึ่งที่มีเนื้องอกในสมองจนหายดี และได้รับคะแนนการผ่าตัดระดับสุดยอด มิติจึงได้รับการแจ้งเตื
ฮวาเชียนยืนไม่ห่างอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นเย่จิ่งหลานปรากฏตัวใต้หินประหลาด จึงรีบวิ่งเข้ามาทันที“คุณชายน้อยเย่ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”“ไม่เป็นไร ฮั่วเทียนเฉิงและศิษย์ถูกข้าขังไว้ในมิติ ออกทะเลได้เมื่อไร ค่อยปล่อยพวกเขาออกมา เป็นการยากที่จะแยกแยะทิศทางของทะเล และไม่ว่าวิทยายุทธ์สูงส่งแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้มันได้ สงครามครั้งนี้พวกเราต้องชนะ!”เมื่อมองใบหน้าเล็กที่มีจิตใจฮึกเหิมของเย่จิ่งหลาน ดวงตาของฮวาเชียนก็เคลิบเคลิ้มตามไปด้วย ราวกับว่ามองเห็นเย่จิ่งอวี้ที่อยู่ในวัยเด็ก สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน ช่างเหมือนกันจริงๆ“เช่นนั้นก็ดี ข้าขอตัวก่อน”เย่จิ่งหลานโน้มตัวเล็กน้อย“ท่านอาฮวากลับดีๆ ขอรับ”... ณ พระราชวังอินชิงเสวียนมาถึงหอฉยงหวาแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าด้านในเรือนมีพัสดุขนาดใหญ่วางอยู่หลายสิบชิ้น ดูท่าทางซูฉ่ายเวยจะเก็บสะสมสมบัติไว้ไม่นอนในครึ่งปีนี้ขณะนั้น นายบ่าวสองคนยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ในเรือนก่อนที่อินชิงเสวียนจะจากไป ซูฉ่ายเวยก็พอมองออกแล้วว่า พระราชโองการเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นสักวัน นางก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจอะไรชื่อของนางถูกจารึกไว้ในวัง
“ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป จนชั่วฟ้าดินสลาย!”เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นข้างหู ลึกซึ้งและมั่นคงราวกับเข็มเทพใต้ทะเล ตกอยู่กลางใจของอินชิงเสวียนอย่างหนักแน่นนางสูดจมูก และเผยรอยยิ้มที่สดใสเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง“ข้าจะเสียใจได้อย่างไรกัน นี่คือชีวิตที่ข้าต้องการมาตลอด อาอวี้พูดถูก ในวังยังมีนางสนมนางกำนัลอีกมาก เมื่อมีเวลาว่างข้าจะไปเรียนงานเย็บปักถักร้อยและพูดคุยกับพวกนาง ยังมีไห่ถังและเสี่ยวหนานเฟิง ข้าไม่มีทางเหงาแน่นอน”เมื่อเห็นรอยยิ้มงดงามราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปากอย่างอดไม่ได้เขาเหยียดนิ้วชี้อันเรียวยาวของเขาออก และเกาที่สันจมูกของอินชิงเสวียนด้วยความรักใคร่“ถูกต้องแล้ว เสวียนเอ๋อร์ของข้าจะเหงาได้อย่างไรกัน เสวียนเอ๋อร์เป็นคนที่มีนิสัยอยู่นิ่งไม่ได้ วันนี้ออกจากวังไปไหนมางั้นหรือ?”“ไปโรงเรียนสอนการต่อสู้เพคะ การเปลี่ยนแปลงของกวนเซี่ยวถือว่ามากเลยทีเดียว นิสัยสุขุมขึ้นมาก เพียงแต่ชีวิตของฟางรั่วเกรงว่าคงไม่ง่ายนัก”อินชิงเสวียนกอดแขนของเขา ทั้งสองเผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน มุ่งหน้าเดินไปยังตำหนักจินหวู“จอมพลเฒ่าก
“อาอวี้คิดสิ่งใดงั้นหรือ?”หน้าประตูตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนหยุดฝีเท้าลง มองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยยิ้มแสนหวานเย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างงดงาม“ไม่มีอะไร”“เด็จพ่อ~”เสียงนุ่มนิ่มของเสี่ยวหนานเฟิงดังขึ้นมาจากด้านหน้า อินชิงเสวียนหันหน้ามาก็เห็นร่างเล็กที่ผุดผ่องในทันทีเย่จิ่งอวี้รีบเดินอยู่หลายก้าว และอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา“คิดถึงเสด็จพ่อแล้วใช่ไหม?”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กออกมา ออกแรงกอดคอของเย่จิ่งอวี้ ใบหน้าเล็กที่เรียบเนียนถูกับแก้มของเขา พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มว่า “คิดคิด~”เย่จิ่งอวี้หอมใบหน้าที่นุ่มนวลเหมือนราวกับผ้าแพร“เสด็จพ่อก็คิดถึงจ้าวเอ๋อร์แล้ว สองวันนี้จ้าวเอ๋อร์เป็นเด็กดีหรือไม่?”เสี่ยวหนานเฟิงยืดหน้าอกเล็กๆ ของเขาขึ้นในทันทีและพยักหน้าเล็กๆ ราวกับไก่จิกข้าวสาร“จ้าวเอ๋อร์เด็กดี!”“ลูกรัก”เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกชายเข้ามาในตำหนัก ทันใดนั้นก็พบว่าบนเบาะนุ่มมีการ์ดใบเล็กๆ วางไว้มากมาย ด้านบนเขียนบทกวีรื่นหู เข้าใจง่าย และยังมีภาพประกอบที่เกี่ยวข้องกันด้วย เหมาะสำหรับจุดประกายสติปัญญาการ์ดใบเล็กที่สวยงามเช่นนี้ ต้องเป็นอินชิงเสวียนที่เอามาจากในมิติ
“เหนียงเหนียง เป็นอะไรเพคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่เพคะ?”ยายหลี่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ“ไม่เป็นไร คงเพราะเมื่อวานตากลมเย็นน่ะ”อินชิงเสวียนพูดออกไปจังอวี้จิ่นเหลือบมองอินชิงเสวียน ลังเลครู่หนึ่งและพูดเสียงเบาว่า “เหนียงเหนียง พระองค์... พระองค์คงไม่ได้... มีพระครรภ์ใช่ไหมเพคะ?”อวิ๋นฉ่ายเบิกดวงตาสองข้างในทันที และหันหน้าไปมองอินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พระสนม หรือว่าพวกเราจะมีงานมงคลถึงสองเรื่องเลยเพคะ?”เสี่ยวอานจื่อรีบพูดว่า “กระหม่อมจะไปตามหมอหลวงเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”“อย่าเพิ่งไป”อินชิงเสวียนรีบห้ามเขาไว้“อย่าพูดมั่วไป ข้ารู้ร่างกายของตัวเองดี ก็แค่ท้องไส้แปรปรวนธรรมดา อย่าพูดเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทได้ยินล่ะ”แม้อินชิงเสวียนจะปฏิเสธ แต่ก็มีความชั่งใจอยู่บ้างดูเหมือนว่าเดือนนี้นางยังไม่มีระดู หรือว่า... นางตั้งครรภ์ลูกของเย่จิ่งอวี้แล้วจริงๆ? การได้รู้เรื่องนี้ทำให้อินชิงเสวียนมีความสุขอยู่บ้าง แต่ไม่อยากหาหมอหลวงในตอนนี้ เพราะถ้าหากไม่มีจริงๆ จะไม่ใช่การดีใจเก้องั้นหรือ? ค่อยหาโอกาสไปตรวจกับหมอพื้นบ้านนอกวังดีกว่า หากเป็นจริง ค่อยกลับมาบอกเย
“เสวียนเอ๋อร์ในวันนี้ ช่างงดงามจริงๆ!”เย่จิ่งอวี้จับมือเล็กที่นุ่มนวลและอ่อนโยนของอินชิงเสวียน พร้อมกล่าวชื่นชมอย่างจริงใจอินชิงเสวียนชายตาที่สดใสมองด้วยความซุกซน“ฝ่าบาทก็เช่นกันนะเพคะ!”เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่ครึ่งหนึ่งถูกซ่อนไว้ใต้ลูกปัดโมรา อินชิงเสวียนก็ยิ้มหวานออกมา“นี่ถือว่ากำลังชมข้าหรือไม่?”เย่จิ่งอวี้ก้มหน้าถาม สายตาก็กวาดตามองไปทั่วใบหน้าเล็กที่งดงามอย่างอดไม่ได้อินชิงเสวียนในวันนี้ราวกับพระจันทร์อันสุกสว่างที่แขวนอยู่บนสุดของท้องฟ้า สุกใสเป็นประกาย มีกิริยาท่าทางที่เรียบร้อย งดงามจนผู้คนไม่อาจละสายตาได้อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้ม“แน่นอนเพคะ”“เช่นนั้นก็ขอบใจมาก”เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือมาอุ้มอินชิงเสวียน และก้าวเท้ายาวเดินออกไปนอกวังอินชิงเสวียนร้องด้วยความตกใจ จึงคว้าคอเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว“ระยะทางแค่นี้ หม่อมฉันเดินเองได้เพคะ”“ชุดพวกนี้หนักเกินไป ข้าทำใจไม่ได้หรอก”เย่จิ่งอวี้เดินตัวเบาราวกับสายลม และขึ้นไปบนพระที่นั่งจักรพรรดิอินชิงเสวียนนั่งพิงบนเบาะนุ่มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย นิ้วของนางพันกันโดยไม่รู้ตัว นางมีความกังวลเล็กน้อ
ฉางเฮิ่นเทียนก้มศีษะลง และพูดด้วยใบหน้าที่นอบน้อม “แม้เอาความกล้าทั้งสิบชาติของผู้เยาว์มารวมกัน ผู้เยาว์ก็ไม่อาจปิดบังผู้อาวุโสได้ขอรับ”ผู้อาวุโสหันทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดว่า “ฮั่วเทียนเฉิงไปยังเป่ยไห่และหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนี้ข้าจึงต้องมาเชิญอินชิงเสวียนด้วยตัวเอง”ฉางเฮิ่นเทียนถามลองเชิงว่า “ผู้อาวุโสไม่คิดจะพาเย่จิ่งอวี้ไปด้วยหรือขอรับ? ผู้อาวุโสของอิ๋นเฉิงเคยพูดว่า บางทีชายสกุลเย่อาจเป็นคนสำคัญในการเปิดวิถีแห่งสวรรค์”ผู้อาวุโสหันเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา“หากเจ้าและเขามีความแค้นต่อกัน เจ้าก็ไปจัดการด้วยตัวเอง หากมีคนในอิ๋นเฉิงรู้เรื่องนี้จริง ทำไมพวกเขาไม่ไปตามหาด้วยตัวเองเล่า ต่อไปอย่าได้พูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีก”ฉางเฮิ่นเทียนสั่นไปทั้งตัว“ผู้อาวุโส... ของพวกเราพูดเช่นนี้จริงๆ ขอรับ ส่วนเรื่องอื่นๆ... ผู้เยาว์ก็ไม่อาจทราบได้”เมื่อผู้อาวุโสหันจ้องหน้า ฉางเฮิ่นเทียนก็หุบปากในทันทีขณะเดียวกันนั้น ร่างที่สวมชุดสีดำกฌเดินขึ้นไปบนชั้นสองพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พนักงาน ข้าขอสั่งสุราหนึ่งไห”เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ผู้อาวุโสหันก็หันหน้ามาทันที ทัน
เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างก็มองออกไปนอกตำหนักโหราจารย์ใบหน้ายิ้มแย้ม มีรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อแต่งตั้งฮองเฮาแห่งต้าโจวแล้ว จึงจะเกิดความสมดุลปรองดองของยินหยางที่แท้จริง ส่วนเรื่องการโยกย้ายวังหลัง แม้ฝ่าบาทไม่มีพระราชโองการเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ทุกคนก็รู้แก่ใจดีแต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคิดเพ้อฝันอยู่ ในเมื่อฝ่าบาทไม่ได้ประกาศต่อประชาชนใต้หล้า ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้สิ้นซาก ไม่แน่ว่าเป็นการตัดสินใจเพียงชั่ววูบ ขอเพียงลูกสาวของตัวเองยังอยู่ที่นี่ ก็นับว่ายังมีโอกาสฉินไห่ฉิวและหานสือมองหน้ากันและพยักหน้าต้าโจวมีฮองเฮาที่ดีเช่นนี้ ฝ่าบาทจะต้องทุ่มกำลังสร้างสรรค์ประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ปกครองประเทศชาติเป็นอย่างดี ราวกับว่าทั้งสองคนเห็นว่าในอนาคตไม่ไกลนี้ ต้าโจวมีเกิดความเจริญรุ่งเรืองทุกคนต่างคิดเรื่องของตัวเอง อินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้าไปในตำหนักพวกเขาทั้งสองเดินไปจนถึงแท่นมังกรที่ฝังไว้ด้วยลูกปัดโค้งมังกรเก้าเม็ด จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับมาแล้วมองไปที่เหล่าขุนนางหลี่เต๋อฝูหยิบพระราชโองการมาทันที และคุกเข่าอ่านเสียงดัง“ฝ่าบาทมีวีถีธรรมสูง