อินชิงเสวียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ“หรือว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งข้า?”เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดกระเซ้า “แล้วเจ้าชอบผู้ดูแลฝ่ายใน หรือผู้ตรวจการสำนักซ่างหลินมากกว่าล่ะ?”อินชิงเสวียนถ่มน้ำลาย แล้วพูดอย่างงอนๆ “ตอนนี้ข้าไม่ใช่ขันทีสักหน่อย จะอยากได้ตำแหน่งบ้าๆ พวกนั้นไปทำไม”เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทตอนนี้มีแค่พวกเขาสองคน ซึ่งไม่ต่างจากคู่รักหนุ่มสาวทั่วไป จะมีการหยอกล้อสัพยอก กระเซ้าเย้าแหย่กันบ้างก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทนักเย่จิ่งอวี้จับมืออันอ่อนนุ่มขาวเนียนของนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ข้าต้องการแต่งตั้งตำแหน่งดีๆ ให้เสวียนเอ๋อร์ เช่น สี่ฮุ่ยฮองเฮา ต่วนเสียนฮองเฮา ซุ่นหว่านฮองเฮา ข้าคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเสวียนเอ๋อร์ชอบชื่อไหน”อินชิงเสวียนรู้มานานแล้วว่าตัวเองจะถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา แต่ไม่คาดคิดว่าจะเร็วขนาดนี้ นี่เพิ่งกลับถึงวังเอง เย่จิ่งอวี้ก็แทบรอไม่ไหวแล้ว“เอ่อ...ไม่ต้องรออีกหน่อยหรือ”เย่จิ่งอวี้จากไปนาน คงมีเรื่องให้สะสางมากมายกระมัง!“ไม่จำเป็น ข้าตั้งตารอวันนี้มานานแล้ว ข้าแจ้งให้โหราจารย์หาฤกษ์มงคลเร็วๆ นี
ณ หอฉงฮวาซูฉ่ายเวยทราบข่าวการกลับมาของอินชิงเสวียนแล้ว คิดว่านางเดินทางไกลยากลำบาก จะต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่สักหลายๆ วัน เดิมทีคิดว่าอีกสองวันค่อยไปขอเข้าพบ ไม่นึกว่าอินชิงเสวียนจะเป็นคนมาเสียเอง “ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ!”เมื่อเห็นอินชิงเสวียนอีกครั้ง ซูฉ่ายเวยก็รู้สึกประหลาดใจระคนยินดีชั่วพริบตาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ของที่อินชิงเสวียนให้นางก็ถูกขายไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ได้พบเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง จะไม่มีความสุขได้อย่างไร“เราต่างเป็นพี่น้องกัน เจ้ากับข้าไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปช่วยพยุงซูฉ่ายเวยขึ้น และนั่งบนเก้าอี้นวมยาวกับนางซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้ทำตามใจซึ่งกันและกัน ปล่อยวางเรื่องคดเคี้ยวเลี้ยวลดเหล่านั้น ซูฉ่ายเวยในตอนนี้ยิ่งสง่าผ่าเผยบุคลิกดีมากขึ้น อินชิงเสวียนพูดจากใจจริง “ในช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่นี้ หลิงเฟยได้ทำงานหนักแทนข้า ช่วยจัดการวังหลัง ลำบากแล้วจริงๆ”ซูฉ่ายเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “กุ้ยเฟยยกย่องเกินไปแล้ว ข้าแค่ทำหน้าที่ของข้า ตอนนี้พวกนางเล็กๆ เหล่านั้นทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นมาก คิดว่าคงยอมแพ้แล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล”อินชิงเสวียนพยักหน้า พูดด้วยน้ำเ
“กุ้ยเฟยทรงเกรงใจมากเกินไปแล้ว”ซูฉ่ายเวยมองสิ่งเหล่านั้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย“คิดเสียว่านี่คือน้ำใจของข้าที่มีต่อเจ้า รับไว้เถอะ สิ่งเหล่านี้ข้าเหลือไม่มากแล้ว เกรงว่าต่อไปถึงอยากเอาออกมาให้เจ้าก็ไม่สามารถเอาออกมาได้อีก อย่าได้เกรงใจเลย”คะแนนสะสมเกือบทั้งหมดในมือของอินชิงเสวียนถูกเย่จิ่งหลานใช้คนเกลี้ยง เหลืออีกไม่มากจริงๆ ในมิติไม่ได้รับรางวัลใหญ่เลย แถมนางยังไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดขึ้นอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแจ้งเตือนใดๆ เกรงว่าอนาคตตัวเองต้องกลับไปสู่ช่วงคำนวณคะแนนที่ยากลำบากแล้วโชคดีที่ตอนนี้นางไม่อยู่ในวังเย็นอีก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้ซูฉ่ายเวยลังเลแล้วพูดว่า “งั้น...งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”ทันใดนั้นก็เปิดหีบเล็กข้างๆ ออก แล้วหยิบตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง“นี่คือเงินส่วนแบ่งของสินค้าที่ขายได้ กุ้ยเฟยโปรดรับไว้ด้วย”อินชิงเสวียนผลักกลับ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ข้าไม่ต้องการเงินแล้ว พ่อของเจ้าจากไปเร็ว เจ้ายังมีแม่และน้องชายที่ต้องดูแล การแต่งงานของน้องชายในอนาคตและเงินสินเดิมของตัวเอง ยังต้องใช้เงินอีก เก็บไว้ให้ตัวเองเถอะ พูดจริงๆ แล้ว เป็นข้ากับอาอวี้ท
อินชิงเสวียนก้าวไปรับลูกชาย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทสะสางงานราชกิจเสร็จแล้วหรือ”“เสด็จอาไม่เหลือฎีกาไว้ให้ข้ามากนัก ข้าแค่ไปพอเป็นพิธีเท่านั้น”เย่จิ่งอวี้นั่งลงที่โต๊ะ แล้วจิบชาเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงแค่ครู่เดียว ก็ทำให้เขาเหงื่อออกแล้ว เรียกว่าเหนื่อยยิ่งกว่าการฆ่าคนในสนามรบเสียอีก“ได้ยินจากอวิ๋นฉ่ายว่า เสวียนเอ๋อร์ไปที่หอฉงฮวามา ซูฉ่ายเวยคงจะรู้เรื่องนี้แล้ว?”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง แล้วถามด้วยรอยยิ้มอินชิงเสวียนพยักหน้าตอบว่า “อื้ม นางก็ถือว่าช่วยข้าได้มาก ข้าคิดว่าจำเป็นต้องบอกนางหน่อย หากส่งนางออกไปด้วยราชโองการหนึ่งฉบับ เกรงว่าจะใจร้ายเกินไป”เย่จิ่งอวี้ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้“จากนี้ไปเสวียนเอ๋อร์จะเป็นเจ้าของวังหลังแห่งนี้ เรื่องในวังหลัง เสวียนเอ๋อร์สามารถตัดสินใจได้ทุกอย่าง ต่อไปถึงแม้จะไม่มีสนมหรือนายหญิง แต่ก็ยังมีไท่เฟยที่ยังมีชีวิตอยู่อีกมาก ถ้าเสวียนเอ๋อร์รู้สึกเบื่อ ก็สามารถเดินเล่นไปเยี่ยมเยียนพวกนางได้”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ ว่า “มีจ้าวเอ๋อร์อยู่ด้วย ข้ายังจะเบื่ออีกงั้นหรือ”“เจ้าเด็กนี่ นับวันยิ่งซนมากขึ้นเรื่อยๆ”เย่จิ่งอวี้มองดูลูกชายด้วยสีหน้ารักใคร
เมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้กำลังนั่งสมาธิข้างน้ำพุวิญญาณเขาสวมกางเกงขายาวตัวในสีขาว เปลือยอกท่อนบน กระดูกไหปลาร้าและกล้ามเนื้อหน้าท้องปรากฏให้เห็นรางๆ ให้ความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์แห่งบุรุษเพศอินชิงเสวียนค่อยๆ เดินไปอย่างเงียบๆ เย่จิ่งอวี้ก็หันกลับมา“ตื่นแล้ว?”น้ำเสียงของเขาแจ่มชัด ดวงตาสุกใสราวกับกระจก คนทั้งคนให้ความรู้สึกชัดเจนอย่างอธิบายไม่ได้อินชิงเสวียนยิ้ม คุกเข่าลงข้างๆ เขา เหลือบมองแล้วถามว่า “อาอวี้ได้อะไรบ้างไหม”“ไม่ได้ แค่รู้สึกสมองปลอดโปร่ง หูตาแจ่มชัด รู้สึกดีมากจริงๆ”เขาเอื้อมมือออกมา แล้วเกาสันจมูกของอินชิงเสวียนเบาๆ “หรือว่าเสวียนเอ๋อร์ยังกังวลเรื่องฝังโลหิตอยู่”อินชิงเสวียนพยักหน้า“อาอวี้สูญเสียการควบคุมเพราะช่วยข้า ข้าย่อมกังวลอยู่แล้ว ท่านตาได้กำชับเป็นพิเศษ ว่าให้สังเกตสภาพจิตใจของท่านตลอดเวลา เมื่อใดที่ถูกการฝังโลหิตควบคุมโดยสิ้นเชิง เกรงว่าอาอวี้จะจำข้ากับจ้าวเอ๋อร์ไม่ได้อีกแล้ว”“ข้ารู้แล้ว”เย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ที่นี่คือเมืองหลวง ข้าคงไม่นำทัพทหารไปต่อสู้แน่ ย่อมไม่เห็นการนองเลือดมาก ฝังโลหิต
เนื่องจากเรื่องของอาซือหลานและจูอวี้เหยียน ทำให้เย่จิ่งอวี้ระแวดระวังฟางรั่วมาโดยตลอด“ไม่ว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ต้องลองถึงจะรู้”อินชิงเสวียนกอดแขนของเย่จิ่งอวี้ทำท่าทางออดอ้อน“ตกลงว่าฝ่าบาทเห็นด้วยหรือไม่เพคะ”“ได้ ข้าอนุญาต”เมื่อเห็นสาวน้อยทำปากจู๋ เย่จิ่งอวี้ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้แม้จะบอกว่าสตรีเข้าร่วมค่ายทหารเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องมีก้าวแรก ตอนที่อยู่ในเป่ยไห่ หลักการเรื่องชายหญิงของอินชิงเสวียน ถูกจดจำไว้ในใจของเย่จิ่งอวี้แล้วนอกจากนี้ นับตั้งแต่สมัยโบราณก็มีสตรีที่มีความสามารถมากมาย หากความรู้ความสามารถเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการสร้างบ้านเมืองได้ นี่ถึงจะเรียกว่าเรียนรู้อย่างมีประโยชน์อย่างแท้จริง เย่จิ่งอวี้เป็นผู้ที่นิยมชมชอบผู้มีความรู้ความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะรวยหรือจน ชายหรือหญิง ล้วนไม่สำคัญซึ่งอินชิงเสวียนก็เข้าใจเขาในเรื่องนี้อย่างชัดเจน จึงกล้าพูดอย่างกล้าหาญเช่นนี้ในเวลาเดียวกันนางก็โชคดีมาก ที่ได้พบกับฮ่องเต้ในยุคโบราณที่มีความคิดก้าวหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น แล้วเป็นฝ่ายจูบแก้มเย่จิ่งอวี้ก่อน“ขอบคุณนะ อาอวี้
เมื่อใต้เท้าหลายคนหันกลับมาเห็นอินชิงเสวียน ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“อาจารย์อิน ทำไมเจ้าถึงเพิ่งกลับมา?”“ใช่ๆ ไปทีก็ไปเกือบครึ่งปีแหนะ”“เฮ้อ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว มีหลายอย่างเลยที่เราไม่เข้าใจ”ใต้เท้าเฒ่าต่างกระหายความรู้ ไม่ได้ถามอินชิงเสวียนว่านางเหนื่อยหรือไม่ พอคว้าตัวนางได้ก็ให้อธิบายโจทย์อินชิงเสวียนก็ไม่ได้รำคาญ และเข้าสู่บทบาทครูทันทีฟางรั่วยืนเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ในใจรู้สึกชื่นชมมากขึ้นอีกนางแตกต่างจากจูอวี้เหยียนจริงๆ แม้ว่าอินชิงเสวียนจะเป็นกุ้ยเฟย แต่ก็ไม่ได้วางมาดอะไรนัก สามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทุกสิ่งที่นางทำล้วนทำเพื่อราษฎร นี่คือความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างนางกับจูอวี้เหยียนพริบตาเดียวก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว ใต้เท้าเฒ่าหลายคนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องถามอินชิงเสวียนว่ากลับมาที่เมืองหลวงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อรู้ว่าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ ต่างรู้สึกผิดอย่างอดไม่ได้“อาจารย์อินเดินทางไกลยากลำบาก ไปทำธุระให้ฝ่าบาท คงเหนื่อยมากแน่ๆ เช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนสักหลายๆ วันก่อนดีกว่า พวกเราสามารถเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่รีบ ไม่รีบ”
อินชิงเสวียนกระซิบ “พูดยากเหมือนกัน แต่ว่า เป็นเรื่องเท็จเจ็ดในสิบส่วน”ฟางรั่วพยักหน้า“ข้าน้อยก็คิดแบบเดียวกัน”ฉินเทียนกับหลี่ชีต่างก็เอียงหูฟัง ท่าทางใฝ่หามากไม่ว่าจะเป็นสุดยอดวรยุทธ์ หรือเงินทองที่ใช้จ่ายไม่หมดจนชั่วชีวิต ล้วนเป็นสิ่งที่บุรุษใฝ่ฝัน ไม่ว่าใครๆ ต่างก็รู้สึกว่าน่าสนใจอินชิงเสวียนเหลือบมองพวกเขา แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อแต่ในใจกลับคิดว่าทำไมข่าวนี้ถึงดูบังเอิญจัง?สงครามในเป่ยไห่เพิ่งสิ้นสุดลง เรื่องของหนังสือสวรรค์ไร้อักษรก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว หากมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้จริงๆ ผู้ที่รู้ข่าวจะต้องไปตามหาด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้รู้กันถ้วนทั่วเช่นนี้ดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อเกิดเรื่องผิดปกติ จะต้องมีบางอย่างแปลกๆ แน่นอน ต้องมีใครบางคนจงใจวางแผนให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไรแต่พอนึกดูอีกที ตัวเองก็ออกมาจากยุทธภพแล้ว คิดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะเสียเวลาเปล่าเท่านั้นอินชิงเสวียนยิ้มเยาะตัวเอง แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อระหว่างทางไปโรงเรียนสอนการต่อสู้ ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะถาม “ระหว่างทางที่พระสนมเดินทางไปจัดการน้