เนื่องจากเรื่องของอาซือหลานและจูอวี้เหยียน ทำให้เย่จิ่งอวี้ระแวดระวังฟางรั่วมาโดยตลอด“ไม่ว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ต้องลองถึงจะรู้”อินชิงเสวียนกอดแขนของเย่จิ่งอวี้ทำท่าทางออดอ้อน“ตกลงว่าฝ่าบาทเห็นด้วยหรือไม่เพคะ”“ได้ ข้าอนุญาต”เมื่อเห็นสาวน้อยทำปากจู๋ เย่จิ่งอวี้ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้แม้จะบอกว่าสตรีเข้าร่วมค่ายทหารเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องมีก้าวแรก ตอนที่อยู่ในเป่ยไห่ หลักการเรื่องชายหญิงของอินชิงเสวียน ถูกจดจำไว้ในใจของเย่จิ่งอวี้แล้วนอกจากนี้ นับตั้งแต่สมัยโบราณก็มีสตรีที่มีความสามารถมากมาย หากความรู้ความสามารถเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการสร้างบ้านเมืองได้ นี่ถึงจะเรียกว่าเรียนรู้อย่างมีประโยชน์อย่างแท้จริง เย่จิ่งอวี้เป็นผู้ที่นิยมชมชอบผู้มีความรู้ความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะรวยหรือจน ชายหรือหญิง ล้วนไม่สำคัญซึ่งอินชิงเสวียนก็เข้าใจเขาในเรื่องนี้อย่างชัดเจน จึงกล้าพูดอย่างกล้าหาญเช่นนี้ในเวลาเดียวกันนางก็โชคดีมาก ที่ได้พบกับฮ่องเต้ในยุคโบราณที่มีความคิดก้าวหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น แล้วเป็นฝ่ายจูบแก้มเย่จิ่งอวี้ก่อน“ขอบคุณนะ อาอวี้
เมื่อใต้เท้าหลายคนหันกลับมาเห็นอินชิงเสวียน ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“อาจารย์อิน ทำไมเจ้าถึงเพิ่งกลับมา?”“ใช่ๆ ไปทีก็ไปเกือบครึ่งปีแหนะ”“เฮ้อ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว มีหลายอย่างเลยที่เราไม่เข้าใจ”ใต้เท้าเฒ่าต่างกระหายความรู้ ไม่ได้ถามอินชิงเสวียนว่านางเหนื่อยหรือไม่ พอคว้าตัวนางได้ก็ให้อธิบายโจทย์อินชิงเสวียนก็ไม่ได้รำคาญ และเข้าสู่บทบาทครูทันทีฟางรั่วยืนเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ในใจรู้สึกชื่นชมมากขึ้นอีกนางแตกต่างจากจูอวี้เหยียนจริงๆ แม้ว่าอินชิงเสวียนจะเป็นกุ้ยเฟย แต่ก็ไม่ได้วางมาดอะไรนัก สามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทุกสิ่งที่นางทำล้วนทำเพื่อราษฎร นี่คือความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างนางกับจูอวี้เหยียนพริบตาเดียวก็ถึงเวลาเที่ยงแล้ว ใต้เท้าเฒ่าหลายคนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องถามอินชิงเสวียนว่ากลับมาที่เมืองหลวงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อรู้ว่าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ ต่างรู้สึกผิดอย่างอดไม่ได้“อาจารย์อินเดินทางไกลยากลำบาก ไปทำธุระให้ฝ่าบาท คงเหนื่อยมากแน่ๆ เช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนสักหลายๆ วันก่อนดีกว่า พวกเราสามารถเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่รีบ ไม่รีบ”
อินชิงเสวียนกระซิบ “พูดยากเหมือนกัน แต่ว่า เป็นเรื่องเท็จเจ็ดในสิบส่วน”ฟางรั่วพยักหน้า“ข้าน้อยก็คิดแบบเดียวกัน”ฉินเทียนกับหลี่ชีต่างก็เอียงหูฟัง ท่าทางใฝ่หามากไม่ว่าจะเป็นสุดยอดวรยุทธ์ หรือเงินทองที่ใช้จ่ายไม่หมดจนชั่วชีวิต ล้วนเป็นสิ่งที่บุรุษใฝ่ฝัน ไม่ว่าใครๆ ต่างก็รู้สึกว่าน่าสนใจอินชิงเสวียนเหลือบมองพวกเขา แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อแต่ในใจกลับคิดว่าทำไมข่าวนี้ถึงดูบังเอิญจัง?สงครามในเป่ยไห่เพิ่งสิ้นสุดลง เรื่องของหนังสือสวรรค์ไร้อักษรก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว หากมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้จริงๆ ผู้ที่รู้ข่าวจะต้องไปตามหาด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้รู้กันถ้วนทั่วเช่นนี้ดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อเกิดเรื่องผิดปกติ จะต้องมีบางอย่างแปลกๆ แน่นอน ต้องมีใครบางคนจงใจวางแผนให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไรแต่พอนึกดูอีกที ตัวเองก็ออกมาจากยุทธภพแล้ว คิดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะเสียเวลาเปล่าเท่านั้นอินชิงเสวียนยิ้มเยาะตัวเอง แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อระหว่างทางไปโรงเรียนสอนการต่อสู้ ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะถาม “ระหว่างทางที่พระสนมเดินทางไปจัดการน้
กระแสเสียงของจอมพลเฒ่ากวนหนักแน่นมาก เรียกได้ว่าไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อยจริงๆ อินชิงเสวียนกลับไม่เดือดดาล แต่ยังพูดด้วยรอยยิ้ม “จอมพลเฒ่ากล่าวผิดไปแล้ว ในโรงเรียนสอนการต่อสู้มีอาคารมากมาย ชายหญิงไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในที่เดียวกัน จะกล่าวว่าขัดจารีตประเพณีไม่ได้ จอมพลเฒ่ามักบอกว่าสตรีไม่เป็นรองบุรุษ แล้วเหตุใดไม่ให้โอกาสฟางรั่วสักครั้งล่ะ หากนางทนความลำบากไม่ได้จริงๆ จอมพลเฒ่าค่อยให้นางออกไปก็ไม่สาย”จอมพลเฒ่ากวนเงยหน้าขึ้น สายตามองจับไปที่อินชิงเสวียนอย่างแน่วแน่“กุ้ยเฟยยืนกรานที่จะให้นางปีศาจผู้นี้อยู่ที่นี่งั้นหรือ”จู่ๆ ฟางรั่วที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “จอมพลเฒ่า ฟางรั่วเคยเป็นสายลับของแคว้นศัตรูก็จริง แต่ต้องขอบคุณพระสนมที่ไม่ทอดทิ้ง ให้รับใช้ใกล้ชิด บัดนี้ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับพระสนม พระสนมต้องการให้ข้ารั้งอยู่ที่นี่ ข้าก็จะไม่ทำให้พระสนมผิดหวังเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากเพียงใด ก็จะไม่ท้อถอยแม้เพียงก้าวเดียว หวังว่าจอมพลเฒ่าจะให้โอกาสฟางรั่วสักครั้ง”อินชิงเสวียนมองไปที่จอมพลเฒ่ากวนด้วยรอยยิ้ม“นี่ยังเป็นเจตนารมณ์ของฝ่าบาท ไ
กวนเซี่ยวโค้งคำนับกล่าวว่า “ขอน้อมรับคำสั่งของพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าให้ฟางรั่ว แล้วจึงจากไปพร้อมกับฉินเทียนและหลี่ชีเรื่องเส้นทาง นางได้เลือกไว้ให้ฟางรั่วแล้ว ส่วนจะเดินไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับตัวนางเองแล้วเหตุผลที่อินชิงเสวียนมองฟางรั่วแตกต่างออกไปมากนั้น ประการแรกก็เพราะอุปนิสัยของนางตรงกับนิสัยของอินชิงเสวียนในตัวฟางรั่วนั้น นางมักจะมองเห็นตัวเองในตอนที่เป็นเด็กอยู่ เพื่อที่จะบรรลุความปรารถนาที่จะออกจากหมู่บ้าน นางไม่ย่อท้อ ฝ่าฟันขวากหนามไปในทิศทางนั้นอย่างแน่วแน่อีกประการหนึ่งคือ ความรู้สึกละอายใจที่ยังคงอยู่เสมอถ้านางไม่ยุยงเสี้ยมสอนให้ฟางรั่วปลอมเป็นตัวเอง ฟางรั่วก็คงไม่ถูกลงโทษด้วยการจับนั่งม้าไม้...เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจเบาๆ “กลับวังกันเถอะ”ในเวลาเดียวกัน ที่ด้านล่างของยอดเขาบรรจบสวรรค์กำลังตกอยู่ในความสับสนอลหม่านชาวยุทธ์หลายคนค้นพบสถานที่แห่งนี้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะที่นี่มีค่ายกลแนวป้องกันเขา และคนจำนวนมากหลงทางในค่ายกลแปดทิศอย่างไรก็ตาม ใต้หล้าไม่เคยมีค่ายกลใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่กี่วันต่อมา ชาวยุทธ์ที่เ
ณ เมืองหลวงอินชิงเสวียนพาหลี่ชีกับฉินเทียนกลับไปถึงวังหลวงแล้วทันทีที่มาถึงห้องหนังสือ ก็เห็นเย่ไห่ถัง“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านกลับมาแล้วทำไมไม่บอกข้าบ้าง ข้าคิดถึงท่านจะแย่”เย่ไห่ถังถือกระโปรงวิ่งเข้ามา ขอบตาแดงก่ำ สีหน้าน้อยอกน้อยใจเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของเย่ไห่ถัง อินชิงเสวียนก็รู้สึกผิดในช่วงสองวันที่กลับมา นางก็ยุ่งอยู่ตลอด ถึงได้ลืมเรื่องยัยหนูคนนี้ไปนางตบหลังเย่ไห่ถัง แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ข้ามีธุระต้องทำ ยังไม่มีเวลาว่างเลย เดิมทีคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาของที่ซื้อจากชาวบ้านไปฝากเจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะมาก่อน”เมื่อได้ยินว่าอินชิงเสวียนมีของจะให้ตัวเอง ดวงตาคู่โตที่มีน้ำตาคลอเบ้าของเย่ไห่ถังก็กะพริบปริบๆ ถามว่า “เสด็จพี่สะใภ้นำอะไรมาหรือ มีอะไรน่าสนใจไหม”“แน่นอน ข้าจะพาเจ้าไปดูเดี๋ยวนี้แหละ”เมื่ออินชิงเสวียนจับมือของเย่ไห่ถัง สาวน้อยก็ยิ้มออกมา“ขอบคุณเสด็จพี่สะใภ้”“เราคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจแล้ว”อินชิงเสวียนน้ำเสียงอ่อนโยน ท่วงท่าสง่างาม ให้ความอารมณ์เหมือนมารดาแห่งแผ่นดินอยู่กลายๆเย่ไห่ถังลอบมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ดูเหมือนเสด็จพี่สะใภ้จะสวยขึ
“ไร้สาระ เป็นถึงองค์หญิง วันๆ คิดแต่จะออกจากวัง ไม่เหมาะไม่ควร”เย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้ คิ้วทั้งคู่ขมวดมุ่น เรียวตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจเกรงว่าเด็กสาวคนนี้คงจะมีความรัก ถึงคิดแต่จะวิ่งโร่ออกไปข้างนอกแบบนี้หากใครรู้ว่าองค์หญิงบ้าไปแล้วเช่นนี้ จะเป็นการไม่เหมาะไม่ควร ดูเหมือนว่าจะต้องหาสามีให้นางแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่เหมาะสม“น้องต้องการไปเยี่ยมชมโรงเรียนสอนการต่อสู้ น้องเคยไปสำนักศึกษาหลวงกับเสด็จพี่สะใภ้แล้ว ยังไม่เคยเห็นที่อื่นเลย หากไม่ได้เห็นความสำเร็จของเสด็จพี่สะใภ้ด้วยตาตัวเอง คงจะน่าเสียดายแย่ เสด็จพี่เพคะ ท่านยอมรับปากข้าครั้งนี้ด้วยนะ!”เย่ไห่ถังก้าวไปข้างหน้า จับแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ แล้วเขย่าไปมาอย่างออดอ้อน ในขณะที่ใบหน้าเล็กๆ ก็หันไปหาอินชิงเสวียน สายตาขอร้องอ้อนวอน เมื่อได้ยินว่านางอยากไปโรงเรียนสอนการต่อสู้ อินชิงเสวียนก็เดาได้แล้วว่าเย่ไห่ถังกำลังคิดอะไรอยู่ นางอาจจะตกหลุมรักพี่รองของนางจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าอินปู้อวี่คิดเช่นเดียวกันหรือไม่อินชิงเสวียนรู้ว่าการแต่งงานในราชวงศ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภูมิหลังและรูปลักษณ์ของตระกูลเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด
“กระหม่อมมีฎีการายงานพ่ะย่ะค่ะ!”หานสือก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยสีหน้ายินดี “คืนวานกระหม่อมได้รับข่าวว่า ราษฎรทุกเมืองและทุกมณฑลได้กลับไปทำการเกษตรที่บ้านเกิด มีการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืชไปยังหลายเมืองเพื่อทดลองปลูก ผลลัพธ์เป็นไปในทิศทางที่ดี นับเป็นข่าวที่ดีจริงๆ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม“นี่เป็นข่าวดีจริงๆ”ฉินไห่ฉิวกล่าวต่อไปว่า “คูน้ำส่วนใหญ่ถูกขุดขึ้นมาแล้ว ประกอบกับบ่อน้ำหลายพันแห่ง ปัญหาเรื่องน้ำดื่มของราษฎรได้รับการแก้ไขโดยพื้นฐานแล้ว ถึงจะมีภัยแล้งรุนแรงอีกครั้ง ก็จะไม่เกิดสถานการณ์อย่างเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว ราษฎรต่างยกย่องฝ่าบาทว่าทรงประปรีชาสามารถ บางคนถึงกับตั้งรูปปั้นทองคำถวายฝ่าบาท และสักการะทุกวัน ซึ่งแสดงความชื่นชมยินดีของพวกเขา”“นั่นไม่จำเป็นแล้ว คนที่บริจาคเมล็ดพันธุ์คือกุ้ยเฟยของข้า ผู้เสนอการผันน้ำจากใต้สู่เหนือก็เป็นนาง เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ข้าบอกว่านางคือหลิวเสวียน แต่คิดว่าทุกท่านคงรู้ตัวตนของนางแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้คมกริบราวกับสายฟ้า กวาดมองใบหน้าของขุนนางทุกคน พูดเบาๆ “ตอนที่ข้าเป็นรัชทายาทได้แต่งงา