ณ หอปี้สุ่ยฉู่หลิงอวี้กำลังเดินไปมาในเรือนเจ้าเด็กบ้านั่นไปนานเกือบชั่วยามแล้ว เหตุใดยังไม่กลับมาอีกกรือว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่นางกำลังจะส่งคนออกไปถาม อินชิงเสวียนก็เดินเข้าประตูมา“บ่าวน้อมคำนับนายหญิงฉู่”ฉู่หลิงอวี้รู้สึกดีใจทันที “ลุกขึ้นเร็วเข้า”จากนั้นก็หันไปบอกขันทีกับนางกำนัลว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง พวกเราไปคุยกันในห้อง”“ขอรับ”อินชิงเสวียนเดินตามเข้าไปในห้อง แล้วแสร้งถามขึ้น “ไม่ทราบว่านายหญิงต้องการหาบ่าวด้วยเรื่องอันใด”ฉู่หลิงอวี้กัดริมฝีปาก แล้วพูดด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย “ยกตัวนั้น...ไม่ทราบว่ากงกงยังมีอีกหรือไม่”เมื่อวานนี้ นางไปที่หอฉงฮวา สังเกตเห็นทันทีว่าซูฉ่ายเวยเชิดหน้าอกตรง ทรวงอกตั้งตรงตระหง่าน โดดเด่นสะดุดตายิ่งนักฉู่หลิงอวี้งุนงงไม่น้อย ปกติตรงส่วนนั้นของนางดูแบนมาก เหตุใดจู่ๆ ถึงได้อวบอิ่มได้รูปนางใช้เงินจำนวนหนึ่งถึงได้ทราบว่า ที่แท้ซูฉ่ายเวยซื้อของวิเศษที่เรียกว่ายกทรงจากเสี่ยวเสวียนจื่อแม้ว่าตัวเองจะมีหน้าอกมากกว่าซูฉ่ายเวยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ชัดเจนเท่ากับตอนที่นางสวมยกทรง แม้แต่ตัวเองที่เป็นหญิงยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองตรง
“องค์ชายน้อยหลับไปแล้วเพคะ หลายวันมานี้เขากินเยอะมาก สองวันกว่าๆ ก็ดื่มนมผงหมดไปถุงหนึ่งแล้ว”ยายหลี่เดินตามมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พอพูดถึงเจ้าหมาน้อยก็อดยิ้มมิได้“งั้นอีกประเดี๋ยวข้าจะไปขอนมผงจากท่านเซียนอาวุโส ช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งสักพัก อาจจะไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ อย่าให้ของกินขาด ถ้าพวกเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้า”เมื่อครู่ที่เข้าไปในมิติอินชิงเสวียนพบว่าพืชผลอีกชุดหนึ่งเก็บเกี่ยวได้แล้ว แต่เนื่องจากนางต้องรีบขายสินค้า จึงไม่มีเวลาเก็บเกี่ยว พอดีจะได้เข้าไปเก็บเกี่ยวเสียทีเดียวเลยยายหลี่รีบพูดว่า “ไม่มีอะไรขาดเพคะ พระสนมเป็นห่วงแค่องค์ชายน้อยก็พอ”ขณะที่พวกนางกำลังคุยกัน ทั้งสองก็เข้าไปในห้องแล้ว จึงพบว่าเจ้าหมาน้อยตื่นแล้ว ขาเล็กๆ จ่ำม่ำกำลังถีบอากาศ และดูดกำปั้นเล็กๆ ของตัวเองเมื่อเห็นอินชิงเสวียน เจ้าหมาน้อยก็ดีใจทันที มือไม้โบกไหวๆ ขอให้อุ้มยายหลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“เหตุใดองค์ชายน้อยถึงตื่นเร็วนัก เป็นเพราะรู้ว่าพระสนมกลับมาแน่เลย”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมา เจ้าหน฿น้อยเกาะติดกับร่างของนางทันที วันนี้ทำตัวเป็นเด็กดีมาก“คิดถึงแม่รึ”อินชิงเสวียนอุ้
“แน่อยู่แล้วขอรับ ขอบคุณหลี่กงกง เช่นนั้นข้าขอตัวไปนอนแล้ว”อินชิงเสวียนอารมณ์ดีมากวันนี้ไม่เพียงแต่ได้สั่งสอนเย่จิ่งเย่า แต่ยังขายของได้ถึง 5,000 ตำลึง สิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุดคือ ได้รับอีก 100 คะแนนในมิติ และเก็บเกี่ยวธัญพืชได้อีกชุดหนึ่งหลี่เต๋อฝูโบกมือ“กลับไปเถอะ”อินชิงเสวียนสามารถแข่งขันกับซ่งเฉียวอันได้ในครั้งนี้ ก็ทำให้หลี่เต๋อฝูได้หน้าได้ตามากอย่าเห็นว่าต่อหน้าเขาขุนนางเหล่านั้นดูสุภาพ แต่ลับหลังกลับเรียกว่า ขันทีพิการ ขันทีบ้าเจี๋ยนสั้น ขันทีบ้าเจี๊ยนยาว ทุกครั้งที่หลี่เต๋อฝูได้ยินก็อยากจะด่าพ่อล่อแม่พวกนั้นให้เข็ด หากไม่ถูกบีบให้อับจนหนทาง ผู้ใดจะยอมเป็นคนประเภทไม่หญิงไม่ชายเมื่อได้ยินฮ๋องเต้พูดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หากเสี่ยวเสวียนจื่อสามารถเอาชนะได้ ขันทีเช่นพวกเขาก็จะเกิดความภาคภูมิใจไปด้วยในตำหนักเย่จิ่วอวี้ไม่รู้สึกง่วงนอนเลยเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวเหมือนหิมะ ยืนอยู่หน้าหน้าต่างดวงตาหงส์แลมองแสงจันทร์เหนือเศียร ขนงย่นเล็กน้อย ราวกับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มที่อธิบายไม่ได้ในใจถึงกับรู้สึกเสียใจภายหลังไม่ควรตกลงทำตามคำขอของซ่งเฉียวอ
อินชิงเสวียนทั้งสามสามคนมาถึงบริเวณสนามฝึกแล้วซ่งเฉียวอันและแม่ทัพผู้อื่นก็มาถึงนานแล้ว เพื่ออยากมาดูให้เห็นว่าว่าขันทีบ้าผู้นี้จะสามารถทำอะไรได้บ้างแม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพของต้าโจว แต่หัวใจของเขากลับลำเอียงเข้าข้างเย่จิ่งเย่าที่เป็นอันผิงอ๋องซ่งเฉียวอันมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เรื่องลูกสายตรงลูกอนุนั้นฝังแน่นลึกในจิตใจ แม้ว่าเย่จิ่งอวี้ได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นองค์ชายที่เกิดจากสนม ไม่สมควรที่จะสืบทอดบัลลังก์ นอกจากนี้ในราชสำนักยังมีขุนนางอีกมากมายที่คิดเช่นเดียวกับเขาที่กล่าวเช่นนั้นไปเมื่อวาน ก็เพราะอยากให้ฮ่องเต้เสียหน้า ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะเห็นด้วยจริงๆ เช้าวันนี้ ทุกคนมาที่นี่ตั้งแต่เช้าก็เพื่อมารอดูเรื่องตลกเมื่อเห็นอินชิงเสวียนทั้งสามคนมาถึงแล้ว ซ่งเฉียวอันก็ยืนเอามือไพล่หลัง เชิดหน้าชูคอพูดกับอินชิงเสวียนว่า “ทัพหน้ามีทหารทั้งหมดแปดพันนาย ตามความเห็นของข้า ไม่จำเป็นต้องทรมานพวกเขาทั้งหมด ให้เจ้ากับข้าคัดเลือกทหารคนละหนึ่งร้อยนายมาทำการฝึกซ้อม หลังจากนั้นอีกสิบห้าวันค่อยมาตัดสินว่าผู้ใดเหนือกว่ากัน ว่าอย่างไร”อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ด
เหตุคำพูดถึงได้ดูพิกลเช่นนี้ราวกับว่านางกำลังจะไปตายอย่างนั้นแหละ จู่ๆ ก็พูดไม่ออกนางเหลือบมองที่จังเถี่ยแล้วพูดว่า “ขุนพลจัง เจ้าจะต้องรับผิดชอบในการวิ่งรอบสนาม ถือโอกาออกกำลังกายในขณะที่อากาศยังเย็นอยู่ แล้วจึงฝึกทักษะการขี่ม้า”จังเถี่ยผู้เป็นเหมือนลาที่คล้อยตามยามถูกลูบขน เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนเรียกเขาว่าขุนพลจัง ในใจก็รู้สึกยินดีขึ้นทันที“กงกงน้อยไม่ต้องห่วง ข้าจะพาพวกเขาออกไปวิ่งเดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนพยักหน้า พาฉินเทียนออกจากบริเวณสนาม แล้วบังเอิญได้พบกับกวนเซี่ยวพอดีเมื่อวานนี้อินชิงเสวียนถามฉินเทียนแล้ว และได้ทราบว่าเขาเป็นหลานชายของจอมพลเฒ่ากวน จึงรีบเดินไปกล่าวทักทายทันทีและพูดว่า “ยินดีที่ได้พบคุณชายกวน”“กงกงน้อย”เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนมีใบหน้างดงาม ทั้งยังมีมารยาทที่ดี กวนเซี่ยวจึงรู้สึกประทับใจขึ้นหลายส่วนอินชิงเสวียนถามอีกครั้ง “จอมพลเฒ่าไม่มาหรือขอรับ”จุดประสงค์หลักที่นางมาฝึกทหารก็เพื่อพบกับกวนฮั่นหลินกวนเซี่ยวกล่าวว่า “เมื่อวานท่านปู่มีอาการปวดศีรษะมาก ตอนนี้จึงพักผ่อนที่บ้าน”“อ้อ ได้ไปหาหมอหรือยัง”จอมพลเฒ่ากวนเป็นคนตรงไปตรงมา อินชิงเสวียนรู้
ในขณะที่ทุกคนกำลังกินแตงโม อินชิงเสวียนก็มองไปที่ม้าข้างๆต้องบอกว่าเคล็ดลับการเลี้ยงม้าของต้าโจวนั้นค่อนข้างดีทีเดียว เมื่อเทียบกับทหารที่ผอมเป็นกุ้งแห้งเบื้องหน้าแล้วนั้น เจ้าม้าที่แข็งแรงสมบูรณ์กลับน่ามองกว่ามากหลังจากที่พวกเขากินเสร็จแล้ว อินชิงเสวียนถามอีกครั้ง “ในหมู่พวกเจ้ามีผู้ใดที่ทำอาหารได้หรือไม่”มีสองคนยืนขึ้นพูดว่า “พวกเราทำได้ขอรับ”“ข้าก็ทำได้เช่นกัน”“ข้าด้วย”“ดี อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าไปได้เรียนการทำแป้งสาลีกับข้า และในช่วงสิบห้าวันจากนี้ พวกเจ้าสี่คนจะต้องรับผิดชอบอาหารของกองทัพ ข้าจะไม่อยุติธรรมต่อพวกเจ้า ผักและผลไม้ที่อยู่ในกองทัพ ให้พวกเจ้ากินได้หมดเลย”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็หยิบองุ่นจำนวนหนึ่งมา แล้วโยนให้กับคนทั้งสี่พวกเขาไม่เคยเห็นและไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร หลังจากกัดเข้าไป ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายวาววับเปรี้ยวๆ หวานๆ ช่างอร่อยจริงๆผู้อื่นต่างรู้สึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้ ทุกคนมองดูองุ่นในมือของพวกเขาอินชิงเสวียนกล่าวว่า “ของพวกเจ้าก็มีเช่นกัน แต่เจ้าต้องฝึกฝนให้ดีก่อนจึงจะกินได้ หากผู้ใดคิดจะใช้กลยุทธ์กวนน้ำจับปลา ปลอมปนกับคนเก่ง ก็จะถูกต
กวนเซี่ยวพูดจาหว่านล้อมด้วยคำพูดดีๆ “ท่านปู่ ท่านลองดูก่อน ถ้าเกิดได้ผลล่ะ”นายท่านกวนแค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ของจากขันที ข้าไม่เอา”ทันทีที่เขาพูดจบ ก็เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งความปวดนี้รุนแรงจนทำให้จอมพลเฒ่าร้องโอดครวญเขาบีบขมับพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”กวนเซี่ยวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถอยออกไปนอกประตู แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจหลังจากคิดดูแล้ว จู่ๆ ก็ผุดความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาเรียกสาวใช้ให้ทำน้ำบ๊วยเปรี้ยวหนึ่งชาม ทุบยาแก้ปวดจนเป็นผง แล้วเติมลงในน้ำบ๊วยจากนั้นเขาก็หยิบชามเอามาให้จอมพลเฒ่ากวน“ท่านปู่ ดื่มน้ำดับกระหายก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน ถ้าคลายความร้อนได้ก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น”จอมพลเฒ่ากวนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก หยิบชามขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียว หลังจากนั้นก็ถามถึงค่ายทหาร แล้วเขาก็ค่อยๆ หายจากอาการปวดศีรษะเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย “หรือว่าข้าเป็นโรคลมแดดจริงๆ หลังจากดื่มเจ้านี่ไป ก็รู้สึกดีขึ้นมาก”เมื่อได้ยินเช่นนี้กวนเซี่ยวก็ดีใจมาก ไม่คิดว่ายาของขันทีน้อยจะใช้ได้ผลจริงๆขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ ยาที่ซื้อในร้านขายยามีทั้งแบบนำมาต้
ในขณะที่อินชิงเสวียนตกตะลึง เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มร่างของสวีจือย่วนออกไปแล้วเมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนเหมือนดาวที่รีบตก อินชิงเสวียนก็จิ๊ปากเบาๆหรือว่านี่เป็นรักแรกพบตามตำนานที่กล่าวไว้เพียงแต่นางไม่รู้ว่าสำนักหมอหลวงอยู่ที่ใดเย่จิ่วอวี้คนสารเลวคนนี้ คิดว่านางรู้ไปหมดทุกอย่างจริงๆ หรือ!อินชิงเสวียนเดินสุ่มไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอ แต่ไม่รู้ว่านางเดินอย่างไรถึงได้มาอยู่ที่ตำหนักชิงฮว๋าของเย่ไห่ถังเสียได้เย่ไห่ถังกำลังเล่นว่าวอยู่ข้างศาลาเล็กๆ นอกเรือน อวิ๋นเฟิงชี้ไปที่อินชิงเสวียน แล้วพูดว่า “องค์หญิง เสี่ยวเสวี่ยนจื่อกงกงเพคะ”เย่ไห่ถังยังคงคิดถึงขนมเปี๊ยะของอินชิงเสวียนอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบส่งสายว่าวให้กับนางกำนัลน้อยที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง!”อินชิงเสวียนจึงเห็นเย่ไห่ถัง จึงรีบวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรองค์หญิง ขอองค์หญิงช่วยชี้ทางให้กระหม่อม กระหม่อมต้องรีบไปหาหมอหลวงที่สำนักหมอหลวง”เย่ไห่ถังถามด้วยความประหลาดใจ “เสด็จพี่ใหญเป็นอะไรงั้นหรือ”อินชิงเสวียนรีบพูด “องค์หญิงไม่ต้องกังวล เป็นนายหญิงที่ตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ”เย่ไห่ถังถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดกับอวิ๋นเฟิงว่า
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี