เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ผ่านไปสองวันแล้วมีน้ำพุวิญญาณช่วยรักษา อินชิงเสวียนไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเลยเมื่อรู้ว่าร่างของชาวตงหลิวทั้งหมดกองถมกันอยู่ริมทะเล เตรียมทำการเผาในเวลาพระอาทิตย์ตก อินชิงเสวียนจึงอยากไปดูด้วยทุกคนมายังริมทะเล ปรากฏว่าเห็นกองศพสูงตระหง่านอยู่ไกลๆ โดยมีมากถึงพันกว่าคนแต่น่าเสียดายมากที่ท่ามกลางศพเหล่านี้ ไม่มีร่างของโมริตะคาวาสึบาเมะเมื่อนึกถึงดวงตาคู่นั้นที่สามารถทำให้คนเห็นภาพหลอนได้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกขนลุกอย่างอดไม่ได้ และยังมีค่ายกลที่เขาพูดถึงเป็นสิ่งสุดท้าย คล้ายว่าจะมีอำนาจอย่างมาก โชคดีที่ตัวเองหลบมาได้เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นตัวเองหมดสติไป จึงจำชื่อได้ไม่ชัดเจนมากแล้วอินชิงเสวียนกลัวว่าไอ้เด็กเปรตคนนี้จะเหมือนกับอาซือหลาน ซ่อนตัวอยู่ในมุมของเงามืด และเตรียมหาโอกาสแก้แค้นเย่จิ่งอวี้เข้าใจความคิดของเด็กสาว จึงพูดปลอบใจอยู่ข้างๆ ว่า “อีกไม่นานพวกเราก็กลับเมืองหลวงแล้ว เรื่องในยุทธภพย่อมมีผู้คนยุทธภพมาจัดการด้วยตนเอง เสวียนเอ๋อร์อย่าได้คิดฟุ้งซ่านเลยนะ”อินชิงเสวียนคิดดูแล้วก็เห็นด้วย นางและเย่จิ่งอวี้มายังเป่ยไห่ เป็
เก่อหงยวนพูดอย่างไม่แยแสว่า “เพียงแค่กลิ่นขนหมูไหม้เท่านั้น ไม่มีอะไรสักหน่อย”ผู้อาวุโสสวีส่ายหน้าด้วยความจนใจ“เด็กน้อยอย่างเจ้านี่นะ มีเรื่องอะไรก็คิดจะมาป่วนอยู่เรื่อยเลย”ระหว่างที่พูด ได้มีลูกศิษย์สาดน้ำมันไปยังซากศพและโยนคบเพลิงเข้าไป ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังกระหึ่มทันทีกลิ่นฉุนพวยพุ่งออกมาจากกองศพ ตามมาด้วยควันดำหนา ซึ่งทำให้คนสำลักกันอย่างรุนแรงอินชิงเสวียนอุดจมูกและไอออกมาสองครั้งคิ้วของเย่จิ่งอวี้ขมวดขึ้นเล็กน้อย“ที่นี่ไม่มีอะไรน่าดูหรอก เสวียนเอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะนะ!”อินชิงเสวียนพยักหน้าแต่โดยดีเวลากินเนื้อย่างตามปกติก็จะมีกลิ่นควันติดตัวมากมาย ไม่ต้องพูดถึงการเผาคนจำนวนมากขนาดนี้เลย“น้องหงยวน พวกเรากลับก่อนนะ”เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนทนกับกลิ่นไม่ได้ สายตาของเก่อหงยวนมีความภูมิใจมากยิ่งขึ้น ย่อมมีสักเรื่องที่อินชิงเสวียนเทียบนางไม่ได้จึงโบกมือด้วยรอยยิ้มในทันที“ได้สิ พรุ่งนี้ข้าจะไปเล่นกับท่านใหม่นะ”“ได้เลย”อินชิงเสวียนไม่อยากอยู่ต่อจริงๆ จึงหันหน้าเดินจากไปหลังจากเดินไปประมาณร้อยเมตร ก็เห็นนายบ่าวคู่หนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นพ
หยวนเป่าหดลำคอถามอีกว่า “คุณชาย พวกเราไม่ต้องตามหาเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วหรือขอรับ?” เฮ่อฉางเฟิงทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วพูดว่า “หากข้าคาดเดาไม่ผิด เขาคงถูกฮั่วเทียนเฉิงนำตัวกลับไปที่ตำหนักเทพหอทองคำแล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่ข้าต้องรีบกลับไป เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าเป็นผู้ตัดสินใจแล้วล่ะ”เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“คำพูดของคุณชายมีเหตุผลมากทีเดียว”จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยว่า “สองวันนี้ทุกคนต่างกำลังตามหาชายชุดดำผู้นั้นที่ช่วยทำลายค่ายกล คุณชายจะเป็นวีรบุรุษไร้นามจริงหรือขอรับ?” “การปิดทองหลังพระไม่ดีตรงไหนกัน การเป็นคนต้องถ่อมตน”เฮ่อฉางเฟิงหัวเราะร่า พร้อมเดินไปที่ริมทะเลด้วยความสบายใจจากนั้นครู่หนึ่งก็สำลักจนน้ำตาไหล จึงใช้แขนเสื้อเช็ดจมูกทันที และพาเสี่ยวหยวนเป่าวิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลยไม่เพียงแค่เฮ่อฉางเฟิงเท่านั้น คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้เลย การเผาร่างของชาวตงหลิว นับว่าเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ซึ่งผู้คนเห็นด้วยในยุทธภพ หลังเสร็จสิ้นสงครามทุกครั้ง จะนำร่างของชาวตงหลิวเผาเป็นเถ้าถ่านการเผาร่างคนในต้าโจวเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง นี่นับว
เย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ “ยังไม่สาย พวกเราก็เพิ่งมาถึง”เฮ่อฉางเฟิงยกเสื้อคลุมแล้วนั่งลงตรงข้ามกับทั้งสองคน พูดด้วยสีหน้าละอายใจ “เด็กรับใช้ยืนกรานจะนำไข่มุกจากเป่ยไห่กลับไป จึงต้องตามเขาไปเดินตลาด ทำให้พลาดเวลาโดยไม่ได้ตั้งใจ อาหารมื้อนี้ข้าน้อยจะเลี้ยงเอง เพื่อเป็นการไถ่โทษ”“คุณชายเฮ่อเกรงใจเกินไปแล้ว วันนี้เป็นเราสองสามีภรรยาที่ต้องเลี้ยงอำลาคุณชายต่างหาก คุณชายอย่าได้แย้งเลย”อินชิงเสวียนยืนขึ้น ส่งน้ำชาให้กับเฮ่อฉางเฟิงด้วยตัวเอง“ขอบคุณแม่นางอิน”เฮ่อฉางเฟิงรับถ้วยด้วยมือทั้งสองข้าง กิริยามารยาทไม่ขาดตกบกพร่องทั้งหมดคุยกันสักพัก จากนั้นอาหารและเครื่องดื่มก็ถูกยกออกมาจนครบกลิ่นไหม้ข้างนอกทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกคลื่นไส้ นางกินไม่กี่คำแค่พอเป็นพิธี ซึ่งเย่จิ่งอวี้และเฮ่อฉางเฟิงก็เช่นเดียวกัน“ไม่ทราบว่าบ้านของพี่เฮ่ออยู่ที่ไหน มีหลักประกันความปลอดภัยการเดินทางหรือไม่ หากต้องการ ข้าสามารถขอยืมศิษย์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าสำนัก เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของพี่เฮ่อได้”เย่จิ่งอวี้นิยมชมชอบผู้มีความรู้ความสามารถมาโดยตลอด ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่มีทางอดทนกับเสี่ยวเสวียนจื่อผู
ทั้งสองผลัดถ้วยแลกจอกร่ำสุรากัน จากนั้นไม่นาน สุราไหนั้นก็หมดถึงก้นไหแม้ว่าสุราในสมัยโบราณจะมีดีกรีไม่สูงมาก แต่ทุกคนต่างยังเมามายอยู่บ้างหยวนเป่าอดไม่ได้ที่จะเตือนด้วยเสียงแผ่วต่ำ “คุณชาย ท่านดื่มน้อยๆ เถอะขอรับ!”ดวงตาของเฮ่อฉางเฟิงหรี่ลง“ยุ่งน่า”แววตาในตอนนี้ ทำให้อินชิงเสวียนอึ้งไปเล็กน้อยพลังอันเฉียบคมนิ่งขึงขนาดนี้ ไม่เหมือนแววตาที่คนเรียนหนังสือพึงมีหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฮ่อฉางเฟิงก็กลับมามีใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแก้มของเขาเริ่มแดงแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าก็ดื่มกันไปไม่น้อยแล้ว วันนี้พอเท่านี้เถอะ ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ถ้ามีชะตาต้องกัน สักวันคงได้พบกันอย่างแน่นอน”เฮ่อฉางเฟิงยังอารมณ์ค้างอยู่ แต่ก็ยังพยักหน้า“เอาเถิด ถึงเราจะนั่งดื่มที่นี่ทั้งคืน อย่างไรก็ต้องแยกจากกันอยู่วันยังค่ำ มิสู้ทิ้งไว้ให้หลงเหลือความคิดถึง เฝ้ารอวันที่จะได้พบกันใหม่”ทันใดนั้นความโศกเศร้าพลันท่วมท้นหัวใจการกลับเพียวเมี่ยวอิ๋นเฉิง ก็เหมือนกับการเข้าคุก เขากับพวกเขา...เกรงว่าจะไม่มีวันได้พบกันอีก...พวกเขาทั้งสามแยกกันที่หน้าประตูเหลาสุรา เมื่
เมื่อเห็นทั้งสองไม่อาจพรากจากกันได้ อินชิงเสวียนก็ค่อนข้างรู้สึกเสียใจเย่จิ่งอวี้เล่าเรื่องในเด็กของเขาให้นางฟังน้อยมาก แต่อินชิงเสวียนยังพอสืบความได้อยู่บ้างแต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายในวังมักจะได้ดีเพราะมารดา หากตระกูลมารดามีความสามารถน้อย องค์ชายก็จะเป็นที่โปรดปรานได้ยากแม้ว่าหวนไท่เฟยจะเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ แต่ไม่มีรากเหง้าในวัง ต่อมาก็แกล้งตายจากไป ทิ้งเย่จิ่งอวี้ไว้เพียงลำพัง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าชีวิตนั้นคงยากลำบากอย่างไรอินชิงเสวียนถึงขั้นสามารถจินตนาการว่าเขาถูกองค์ชายคนอื่นเยาะเย้ยอย่างไร ไม่ได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้วอย่างไรในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าโชคดีมาก ที่เย่จิ่งอวี้ไม่ยอมแพ้ต่อตัวเอง หากแต่พึ่งพาความสามารถของเขาเองในการครองบัลลังก์ไม่ว่าจะก่อกบฏก็ดี หรือวางแผนแย่งชิงบัลลังก์ก็ช่าง อินชิงเสวียนไม่คิดว่ามีเย่จิ่งอวี้จะผิดอะไร ยิ่งไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เขาด้วยมุมมองของเทพสตรีถ้าตัวเองเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น คงจะใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อเหยียบย่ำคนที่รังแกนางและทำให้นางอับอายแน่นอนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เย่จิ่งอวี้ที่มีความคิดก
“สำนักทั้งหมดจะไปจากเป่ยไห่ อาศัยแค่เจ้ากับหวังซุ่น จะทำลายตงหลิวได้อย่างไร”อินชิงเสวียนถามพลางขมวดคิ้วนางสามารถเข้าใจความรู้สึกของเย่จิ่งหลานได้ นางเองก็เป็นเยาวชนผู้เคียดแค้นเช่นกัน เพียงแต่มีบุคลากรไม่เพียงพอ แล้วนางจะวางใจได้อย่างไรเย่จิ่งหลานพูดช้าๆ “ด้วยค่าตอบแทนสูงๆ ต้องมีผู้กล้าหาญแน่นอน จอมยุทธ์ในเป่ยไห่ทุกคนใช่ว่าจะเป็นยอดฝีมือในสำนักต่างๆ เสียหมด ยังมีจอมยุทธ์พเนจรอีก คนเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่ข้าจะรับสมัคร”“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนถามอีกครั้งเย่จิ่งหลานพยักหน้าอย่างมั่นคง“แน่นอน ข้าสาบานกับตัวเองแล้ว หากทำลายตงหลิวไม่ได้ จะไม่กลับเมืองหลวงอีก!”เมื่อเห็นความดื้อรั้นในดวงตาของเขา อินชิงเสวียนก็รู้ว่านางไม่สามารถโน้มน้าวใจเขาได้“ถ้าเจ้าตัดสินใจจริงๆ ข้าจะให้ความช่วยเหลือกับเจ้าอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่จำเป็นสำหรับการต่อเรือ อาหารที่จำเป็นสำหรับการเดินทางไกล หรืออาวุธเหล็ก ข้าก็สามารถให้เจ้าได้ แต่ว่า เจ้าต้องสัญญากับข้าเรื่องหนึ่ง”เย่จิ่งหลานมองไปด้านข้างแล้วถามว่า “เรื่องใด”อินชิงเสวียนเอื้อมมือออกมา แล้วกดไหล่ของเขาอย่างแรงพูดเน
อินชิงเสวียนแสดงสีหน้ายินดีทันที“ขอบคุณท่านตา!”เย่จิ่งอวี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าชายชราจะส่งศิษย์สำนักออกมาด้วยหากมีคนจากสำนักอื่นติดตามมาด้วย ต้องเป็นเพราะได้รับการชักชวนจากชายชราแน่จึงพูดอย่างจริงใจ “ท่านตาคิดรอบคอบเสมอ”“ชาวเป่ยไห่ต้องทนทุกข์ทรมานจากตงหลิวมานาน ทุกครั้งมีแต่รักษาปลายเหตุแต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ มีเพียงกำจัดพวกเขาถึงต้นตอเท่านั้น จึงเป็นวิธีการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง เรื่องนี้เจ้าสำนักหลายสำนักก็เห็นด้วยเช่นกัน”เจ้าสำนักเซี่ยวหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เพียงแต่จิ่งหลานยังเด็ก อาจไม่สามารถโน้มน้าวใจสาธารณชนได้ ฉะนั้นคราวนี้ ข้าจะให้ฮวาเชียนติดตามไปด้วย ในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน ฮวาเชียนพอมีบารมีอยู่บ้าง” สำหรับการจัดแจงของชายชรา สองสามีภรรยาย่อมพอใจมากอู่แล้ว อินชิงเสวียนจึงปล่อยวางความกังวลใจได้ในที่สุด“เช่นนี้แล้ว การเดินทางคราวนี้จะประสบความสำเร็จในเร็ววัน!”เจ้าสำนักเซี่ยวกล่าวว่า “ข้าก็หวังเช่นนั้น เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ที่เสียชีวิตในตงหลิว คนที่ยังมีชีวิตอยู่น่าจะยังเหลือไม่มาก คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ ก็เหลือเพียงจักรพรรดิและทหารองครักษ์จำนวนเ