เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา“นางจับตัวท่านแม่ของข้า ไม่สมควรถูกฆ่างั้นหรือ?”อาซือหลานถามด้วยความตกใจ “เรื่องนี้... เป็นความจริงหรือ?”“เหตุใดเจ้าสำนักฉุยต้องทำท่าทีเสแสร้งด้วยเล่า เรื่องราวเกิดขึ้นในสำนักเซียวเหยา ข้าไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้เรื่อง”ปลายดาบของเย่จิ่งอวี้ขยับไปด้านหน้าอีกหนึ่งคืบ และห่างจากปลายจมูกของอาซือหลานไม่ถึงสามคืบอาซือหลานถอนหายใจพูดว่า “ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ข้ารู้ว่าชื่อเสียงของสำนักเซียวเหยาไม่ดีมากนัก ความจริงข้ารู้ว่าไม่สมควรโต้แย้ง แต่ข้ากล้าสาบานต่อฟ้าดินว่า ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ”เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “วันนั้นหญิงสาวสกุลจูมาที่นี่พร้อมกับของแทนใจท่านอาจารย์ของนาง และข้อร้องให้ข้าช่วยฟื้นฟูวรยุทธ์ของนาง ข้าช่วยนางก็เป็นเพราะชำระบุญคุณที่เคยติดค้างกับท่านอาจารย์ของนาง”อาซือหลานมีสีหน้าจริงใจ ถึงขนาดชูมือขึ้นสาบานต่อฟ้าดินเย่จิ่งอวี้ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เพราะเขาพบคนที่สำนักเซียวเหยา ฉุยอวี้มีฐานะเป็นเจ้าสำนัก เขาจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้หวนไท่เฟยยังคงหมดสติอยู่ จึงไม่มีประโยชน์อะไ
ณ หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เจ้าสำนักเซี่ยวและผู้คุมตราเซี่ยวถูกยกเข้ามาในเรือน เย่จิ่งหลานใช้เครื่องมือเพื่อตรวจร่างกายทั้งสองคน คนหนึ่งมีอาการบาดเจ็บภายในและอีกคนหนึ่งมีอาการบาดเจ็บที่ผิวหนังภายนอก ทักษะทางการแพทย์ของเขามีประโยชน์เพียงเล็กน้อยอินชิงเสวียนกลับรู้สึกโล่งใจ การไม่ต้องผ่าตัดถือจะจัดการได้ง่ายขึ้นจึงรีบนำน้ำพุวิญญาณสองขวดออกมาจากมิติ และป้อนให้ดื่มคนละขวด จากนั้นก็นำน้ำพุวิญญาณออกมาอีกสองถัง และให้ลูกศิษย์ชายหญิงนำทั้งสองไปแช่น้ำเซี่ยวอิ๋นหวนได้สติและฟื้นขึ้นมาอย่างว่องไว เมื่อรู้ว่าตัวเองกลับมายังหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว นางก็รีบคว้ามือของอินชิงเสวียน“อวี้เอ๋อร์เล่า?”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ท่านแม่วางใจได้เจ้าค่ะ อาอวี้ออกไปทำธุระ อีกสักครู่ก็จะกลับมา”เมื่อพูดจบ เสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก“ท่านแม่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”อินชิงเสวียนได้ยินเสียงของเขาก็รีบพูดว่า “ท่านแม่ฟื้นแล้วเพคะ กำลังแช่น้ำอยู่ อาอวี้ไม่ต้องเป็นกังวล”เย่จิ่งอวี้สบายใจขึ้นเล็กน้อย เขารู้สรรพคุณของน้ำพุวิญญาณเป็นอย่างดี มีเสวียนเอ๋อร์อยู่ ท่านแม่ของ
เซี่ยวอิ๋นหวนตอบรับ สายตามองลูกชายและลูกสะใภ้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมากโดยเฉพาะอินชิงเสวียน นางเกิดมามีหน้าตางดงาม และรู้เหตุรู้ผลเป็นอย่างมาก อาอวี้สามารถพบผู้หญิงแบบนี้ นางก็รู้สึกสบายใจแต่เมื่อนึกได้ว่าเรื่องที่เป่ยไห่ยังไม่ได้แก้ไข เซี่ยวอิ๋นหวนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้หากว่าตัวเองสามารถควบคุมพิณการเวกได้ อินชิงเสวียนและอาอวี้ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้วพวกเขาควรใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวัง ตอนนี้กลับต้องมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสงคราม นับเป็นภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ“พวกเจ้าออกมานานขนาดนี้ ทางด้านราชสำนักจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เย่จิ่งอวี้พูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ เสด็จอาสิบสามรักษาการณ์อยู่ในราชสำนัก จะต้องเรียบร้อยดีทุกอย่างเจ้าค่ะ”เซี่ยวอิ๋นหวนพยักหน้ารับ “ไม่ว่าเป็นด้านวรยุทธ์หรือการวางแผน ท่านอ๋องสิบสามสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน”ในใจกลับเป็นห่วงว่า เมื่อคนได้รับอำนาจเป็นเวลานานเกินไป จะเกิดความคิดอื่นขึ้นมาหรือไม่แต่ทว่า ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้นไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะชื่นชมอำนาจบารมี เย่จั้นในตอนนี
เป่าเล่อเอ่อร์รู้สึกเขินอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงระเรื่อ นางก้มศีรษะลง และจ้องมองที่ด้านหลังเท้าซูหมิงหลานเหลือบมองเหล่าลูกชายและลูกสาวคนเล็ก มุมปากก็เผยรอยยิ้มแห่งความรักใคร่ออกมาหลังงานแต่งของสิงอวิ๋น ปู้อวี่และจื่อลั่วก็คงอีกไม่นานนักตอนนี้ถือว่าตระกูลอินได้ปัดเป่าความขมขื่นและต้อนรับความหอมหวานเข้ามา อีกไม่นานก็จะมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองทุกสิ่งเป็นเพราะคุณงามความดีของเสวียนเอ๋อร์ หากนางไม่พยายามคิดหาทางตอนอยู่ในวัง ตระกูลอินก็คงไม่สามารถกลับจากเมืองซุ่ยหานได้รวดเร็วเช่นนี้ ความจริงควรได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในงานมงคล ฝ่าบาทกลับส่งนางไปจัดการปัญหาเรื่องน้ำที่ต่างเมือง ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้เมื่อใดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูหมิงหลานก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้อินจื่อลั่วจึงถามขึ้นว่า “ท่านแม่คิดถึงท่านพี่อีกแล้วใช่หรือไม่?”ซูหมิงหลานพยักหน้า“การเดินทางครั้งนี้ยาวไกลยิ่งนัก ไม่รู้ว่าท่านพี่ของเจ้าปลอดภัยดีหรือไม่ ตอนนี้ก็ไปได้เดือนกว่าแล้ว แต่ยังไม่มีจดหมายส่งมา แม่เป็นกังวลมากจริงๆ”อินจ้งพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “มีองครักษ์ของราชวงศ์ไปด้วย จะต้องคุ้มครองความป
นิ้วมือของเย่จั้นสั่นไหวเล็กน้อย และหันหน้ากลับมาในทันทีสายตาของอินสิงอวิ๋นจ้องมองเขาอย่างมั่นคงทั้งสองสบตากันอยู่นาน เย่จั้นจึงโบกมือให้เหล่าองครักษ์ถอยออกไป พร้อมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”อินสิงอวิ๋นน้อมตัวและพูดว่า “แม้ว่ากระหม่อมจะไปมาหาสู่ท่านอ๋องและฝ่าบาทไม่บ่อยนัก แต่ยังสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ กระหม่อมได้ยินมาตลอดว่าจิ้งอ๋องเลื่อมใสในการต่อสู้ และรักท่านนายพลเป็นอย่างมาก หากฝ่าบาทมาที่นี่ เขาไม่มีทางเป็นห่วงอัคราจารย์ได้มากเช่นนี้”“อีกอย่าง จิ้งอ๋องกลับเมืองซุ่ยหานอย่างกะทันหัน และน้องใหญ่ก็ออกจากเมืองหลวงด้วยความร้อนใจ หากกระหม่อมเดาไม่ผิด เกรงว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับฝ่าบาท”ในสายตาของเย่จั้นแสดงความชื่นชมเล็กน้อยออกมาในทันที คิดไม่ถึงว่าอินสิงอวิ๋นจะมีความคิดที่รอบคอบเช่นนี้ ตระกูลอินพร้อมด้วยผู้ที่มีความสามารถ ล้วนเป็นเสาหลักทั้งนั้นการคาดเดาของเขาอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงแต่ทว่า เย่จั้นกลับไม่สามารถยอมรับได้เมื่อข่าวรั่วไหลออกไป จะต้องทำให้ประเทศชาติสั่นคลอนแน่นอนเขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว เดิมทีจิ้งอ
“กรี๊ด!”เสียงฟางรั่วกรีดร้อง กวนเซี่ยววิ่งรุดไปทันที“เกิดอะไรขึ้น”ครั้นก้มลงมอง ก็รู้สึกคลื่นเหียนอยากอาเจียน ตรงหน้าคือศพผู้หญิงที่ถูกนกแร้งจิกกัดจนจำสภาพเดิมไม่ได้ มือที่โผล่ออกมากลายเป็นกระดูกสีขาว แม้จะเป็นช่วงกลางวันแสกๆ ที่ท้องฟ้าสดใส ก็ยังน่ากลัวอย่างยิ่ง“รีบไปกันเถอะ”กวนเซี่ยวฝืนระงับอาการคลื่นไส้ กระตุกแขนเสื้อของฟางรั่วฟางรั่วกลับหยุดชะงัก บนแขนของคนผู้นั้นมีรอยตรารูปงูอยู่ ซึ่งนี่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ฝึกฝนกู่พิษ หรือว่า...ฟางรั่วผลักกวนเซี่ยวออกไป ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง ใช้กิ่งไม้ยกแขนของศพขึ้น ตรวจดูอย่างละเอียด ครั้นแล้วก็ต้องตกใจนี่คือจูอวี้เหยียน!นางไม่มีทางจำผิดแน่นอน!คิดไม่ถึงว่านางก็มาถึงชายฝั่งทะเลเป่ยไห่เหมือนกัน แถมยังมาตายกลางป่ากลางเขาอีกใครเป็นคนฆ่านางกันนะ เกิดอะไรขึ้นกับนางบนชายฝั่งทะเลเป่ยไห่“มีอะไรรึ”กวนเซี่ยวถามขณะบีบจมูกฟางรั่วทิ้งกิ่งไม้ แล้วพูดเบาๆ “คนผู้นี้คงจะเป็นจูอวี้เหยียน”กวนเซี่ยวก้าวถอยหลังด้วยความประหลาดใจ“อะไรนะ นาง...ทำไมถึงอยู่ที่นี่”“ข้าก็ไม่รู้ ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น รีบไปกันเถอะ จำไว้ เมื่อถึงเป่ยไห่แล้ว จ
ในเป่ยไห่ท้องฟ้าสว่างเร็วกว่าปกติมาก หลังจากที่แม่ลูกคุยกันสักพัก ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มส่องแสงสีเงินยวงแล้วอินชิงเสวียนขยิบตาให้เย่จิ่งอวี้ทันที“อาอวี้ นี่ก็สายแล้ว ให้ท่านแม่รีบพักผ่อนเถอะ!”เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นทันที ในเวลานี้ ประตูก็เปิดออก และเจ้าสำนักเซี่ยวได้ก้าวเข้ามาจากด้านนอกหลังจากอาบน้ำในน้ำพุวิญญาณ เจ้าสำนักเซี่ยวแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง“หวนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”เซี่ยวอิ๋นหวนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว“พ่อบุญธรรมไม่ต้องเป็นห่วง หวนเอ๋อร์เรียบร้อยดีทุกอย่างเจ้าค่ะ”บาดแผลบริเวณผิวหนังของหวนไท่เฟยตกสะเก็ดแล้ว จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก ท่าทางมีชีวิตชีวายิ่งนักเจ้าสำนักเซี่ยวพยักหน้า และมองไปที่อินชิงเสวียน“น้ำที่ข้าใช้อาบน้ำแช่ตัว เจ้าก็นำมาจากเมืองหลวงกระนั้นหรือ”อินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ ยังมีเหลืออยู่บ้าง”จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “เหตุใดเจ้าสำนักเซี่ยวจึงหมดสติอยู่ข้างถนน เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”เซี่ยวอิ๋นหวนรีบถามทันควัน “พ่อบุญธรรม หรือว่าท่านก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน?”เจ้าสำนั
เย่จิ่งอวี้ทำความสะอาดกระบี่ยาวเสร็จแล้ว เก็บเข้าฝัก เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เช่นนั้นเสวียนเอ๋อร์คิดว่าควรทำอย่างไร”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้าต้องการจัดการกับสำนักเซียวเหยา มีหลายวิธีจะตายไป เราสามารถจับจุดสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางอื่นได้ เช่น...ความผิดฐานสมคบคิดกับศัตรู”เย่จิ่งอวี้เข้าใจทันที ในฐานะที่เขาเป็นฮ่องเต้ การต่อสู้กันในสถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดแล้วเรียวตาหงส์หรี่แคบลงเล็กน้อย มุมปากบางโค้งเป็นรอยยิ้ม“เช่นนี้แล้ว สำนักเซียวเหยาจะกลายเป็นศัตรูสาธารณะของทุกสำนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จะไม่ลงมือ แต่ทุกสำนักก็จะโจมตีร่วมกัน”อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อย“เป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้เกรงว่าจะยังทำไม่ได้ ต้องจับคนตงหลิวตัวจริงให้ได้ก่อน จึงจะสามารถกระทำการใดๆ ได้”เย่จิ่งอวี้งอนิ้วกลางแนบนิ้วหัวแม่มือ แล้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของอินชิงเสวียนเบาๆ“ไยต้องยุ่งยากขนาดนั้น คนก็มีพร้อมแล้วไม่ใช่หรือ”“ฮะ?”อินชิงเสวียนมองเขาด้วยความสับสนเย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “หวังซุ่นก็ได้ เขาเป็นคนตงหลิวอยู่แล้ว และจิ่งหลา
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี