“กรี๊ด!”เสียงฟางรั่วกรีดร้อง กวนเซี่ยววิ่งรุดไปทันที“เกิดอะไรขึ้น”ครั้นก้มลงมอง ก็รู้สึกคลื่นเหียนอยากอาเจียน ตรงหน้าคือศพผู้หญิงที่ถูกนกแร้งจิกกัดจนจำสภาพเดิมไม่ได้ มือที่โผล่ออกมากลายเป็นกระดูกสีขาว แม้จะเป็นช่วงกลางวันแสกๆ ที่ท้องฟ้าสดใส ก็ยังน่ากลัวอย่างยิ่ง“รีบไปกันเถอะ”กวนเซี่ยวฝืนระงับอาการคลื่นไส้ กระตุกแขนเสื้อของฟางรั่วฟางรั่วกลับหยุดชะงัก บนแขนของคนผู้นั้นมีรอยตรารูปงูอยู่ ซึ่งนี่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ฝึกฝนกู่พิษ หรือว่า...ฟางรั่วผลักกวนเซี่ยวออกไป ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง ใช้กิ่งไม้ยกแขนของศพขึ้น ตรวจดูอย่างละเอียด ครั้นแล้วก็ต้องตกใจนี่คือจูอวี้เหยียน!นางไม่มีทางจำผิดแน่นอน!คิดไม่ถึงว่านางก็มาถึงชายฝั่งทะเลเป่ยไห่เหมือนกัน แถมยังมาตายกลางป่ากลางเขาอีกใครเป็นคนฆ่านางกันนะ เกิดอะไรขึ้นกับนางบนชายฝั่งทะเลเป่ยไห่“มีอะไรรึ”กวนเซี่ยวถามขณะบีบจมูกฟางรั่วทิ้งกิ่งไม้ แล้วพูดเบาๆ “คนผู้นี้คงจะเป็นจูอวี้เหยียน”กวนเซี่ยวก้าวถอยหลังด้วยความประหลาดใจ“อะไรนะ นาง...ทำไมถึงอยู่ที่นี่”“ข้าก็ไม่รู้ ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น รีบไปกันเถอะ จำไว้ เมื่อถึงเป่ยไห่แล้ว จ
ในเป่ยไห่ท้องฟ้าสว่างเร็วกว่าปกติมาก หลังจากที่แม่ลูกคุยกันสักพัก ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มส่องแสงสีเงินยวงแล้วอินชิงเสวียนขยิบตาให้เย่จิ่งอวี้ทันที“อาอวี้ นี่ก็สายแล้ว ให้ท่านแม่รีบพักผ่อนเถอะ!”เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นทันที ในเวลานี้ ประตูก็เปิดออก และเจ้าสำนักเซี่ยวได้ก้าวเข้ามาจากด้านนอกหลังจากอาบน้ำในน้ำพุวิญญาณ เจ้าสำนักเซี่ยวแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง“หวนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”เซี่ยวอิ๋นหวนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว“พ่อบุญธรรมไม่ต้องเป็นห่วง หวนเอ๋อร์เรียบร้อยดีทุกอย่างเจ้าค่ะ”บาดแผลบริเวณผิวหนังของหวนไท่เฟยตกสะเก็ดแล้ว จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก ท่าทางมีชีวิตชีวายิ่งนักเจ้าสำนักเซี่ยวพยักหน้า และมองไปที่อินชิงเสวียน“น้ำที่ข้าใช้อาบน้ำแช่ตัว เจ้าก็นำมาจากเมืองหลวงกระนั้นหรือ”อินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ ยังมีเหลืออยู่บ้าง”จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “เหตุใดเจ้าสำนักเซี่ยวจึงหมดสติอยู่ข้างถนน เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”เซี่ยวอิ๋นหวนรีบถามทันควัน “พ่อบุญธรรม หรือว่าท่านก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน?”เจ้าสำนั
เย่จิ่งอวี้ทำความสะอาดกระบี่ยาวเสร็จแล้ว เก็บเข้าฝัก เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เช่นนั้นเสวียนเอ๋อร์คิดว่าควรทำอย่างไร”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้าต้องการจัดการกับสำนักเซียวเหยา มีหลายวิธีจะตายไป เราสามารถจับจุดสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางอื่นได้ เช่น...ความผิดฐานสมคบคิดกับศัตรู”เย่จิ่งอวี้เข้าใจทันที ในฐานะที่เขาเป็นฮ่องเต้ การต่อสู้กันในสถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดแล้วเรียวตาหงส์หรี่แคบลงเล็กน้อย มุมปากบางโค้งเป็นรอยยิ้ม“เช่นนี้แล้ว สำนักเซียวเหยาจะกลายเป็นศัตรูสาธารณะของทุกสำนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จะไม่ลงมือ แต่ทุกสำนักก็จะโจมตีร่วมกัน”อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อย“เป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้เกรงว่าจะยังทำไม่ได้ ต้องจับคนตงหลิวตัวจริงให้ได้ก่อน จึงจะสามารถกระทำการใดๆ ได้”เย่จิ่งอวี้งอนิ้วกลางแนบนิ้วหัวแม่มือ แล้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของอินชิงเสวียนเบาๆ“ไยต้องยุ่งยากขนาดนั้น คนก็มีพร้อมแล้วไม่ใช่หรือ”“ฮะ?”อินชิงเสวียนมองเขาด้วยความสับสนเย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “หวังซุ่นก็ได้ เขาเป็นคนตงหลิวอยู่แล้ว และจิ่งหลา
อินชิงเสวียนแหวเบาๆ “ไม่เอาหรอก ท่านรีบไปอาบเถอะ”เย่จิ่งอวี้กางแขนออก โอบอินชิงเสวียนไว้ในอ้อมแขน“วันนี้ ต้องทำตามข้า”เพียงออกแรงส่งที่ปลายเท้า คนก็ตกลงไปในน้ำอินชิงเสวียนอุทาน ต่อต้านเย่จิ่งอวี้พลัน ทำให้กระโปรงคาดอกเปียกทันที“คนบ้า”เย่จิ่งอวี้จับเอวบางของนางแน่น ริมฝีปากอันอบอุ่นประทับบนลำคอของอินชิงเสวียน“นี่คือคำพูดจากใจของเสวียนเอ๋อร์งั้นหรือ”เสียงพึมพำดังข้างหู อินชิงเสวียนรู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกไฟฟ้าช็อต จั๊กจี้ไร้เรี่ยวแรง รีบหดคอทันที“อาอวี้ เลิกกวนได้แล้ว”ทว่าเย่จิ่งอวี้ไปปิดริมฝีปากของนางแล้ว“เสวียนเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้า”ลมหายใจอบอุ่นห่อหุ้มอินชิงเสวียนทันที เสียงแสกสากของแพรฝ้ายพลันดังก้องในมิติอันเงียบสงบ เสื้อผ้าของทั้งสองถูกทำลายเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วนด้วยกำลังภายในของเย่จิ่งอวี้การต่อต้านของอินชิงเสวียนกลายเป็นเสียงครางกระเส่าในไม่ช้า...วันถัดมาอินชิงเสวียนลืมตาขึ้น เห็นเย่จิ่งอวี้กำลังนั่งสมาธิข้างบ่อน้ำพุวิญญาณ เนื่องจากเสื้อผ้าขาดเป็นชิ้นๆ ร่างทั้งร่างของเขาจึงเปลือยเปล่าโดยสิ้นเชิงเมื่อมองไปที่อกผายไหล่ผึ่งนั้น อินชิงเสวียนหน้าแดงทันที รีบ
เด็กน้อยตกใจเล็กน้อยคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ย?นี่มันสำนักอะไรกันมีหลายคำด้วย ฟังดูท่าทางร้ายกาจจริงๆเมื่อเห็นเย่จิ่งหลานการแต่งกายดูดี โมริตะคาวาสึบาเมะก็อดสนใจไม่ได้เขาเดินทางออกจากเกาะทั้งคืน สิ้นเปลืองกำลังคนไปมาก ในที่สุดก็มาถึงเมืองเติงหลง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกไล่ล่า เขาได้ปีนลงจากภูเขา ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดทาง ก็เพื่อปะปนเข้ามาในเป่ยไห่ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะอายุไล่เลี่ยกับเข้า ดังนั้นจึงเหมาะที่จะตีสนิทเมื่อนึกถึงตรงนี้ โมริตะคาวาสึบาเมะก็กระตุกมุมปากขึ้น ประกบมือคารวะตามแบบฉบับคนจงหยวนและพูดว่า “ที่แท้ก็คือศิษย์ของคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ย ขออภัยที่เสียมารยาท”เย่จิ่งหลานหัวเราะ ก่นด่าในใจว่าเสียมารยาทโคตรพ่อเจ้าน่ะสิ เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้แสร้งทำเป็นเข้าใจ เย่จิ่งหลานก็รู้สึกอารมณ์เสียต้องเป็นคุณชายจากตระกูลใดสักตระกูลมาที่นี่เพื่อฝึกฝน เมื่อกลับสำนัก บันทึกการมีส่วนร่วมในการต่อสู้สักสนาม ก็เท่ากับเคลือบชั้นทองคำให้ตัวเองแล้วถุย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ก็ขาดทายาทรุ่นสองแบบนี้ไม่ได้เย่จิ่งหลานมาจากครอบครัวที่ยากจน ทนกับคนประเภทนี้ไม่ได้มากที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะอยากแกล้
โมริตะคาวาสึบาเมะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าใบหน้ากลับแสดงสีหน้าชื่นชม“คิดไม่ถึงว่าคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ยจะมีศิษย์มากมายขนาดนี้ แต่พูดตามตรง สำนักนี้ของคุณชาย เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยได้ยิน”เย่จิ่งหลานเชิดหน้าขึ้นพูดว่า “คนหูตาคับแคบเช่นเจ้า จะไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลก”ทันใดนั้นสีหน้าของโมริตะคาวาสึบาเมะก็เริ่มบิดเบี้ยวเหยเกเจ้าเด็กเปรตนี่ กล้าฉีกหน้าเขาแบบนี้ ถ้าเขาไม่ต้องการตีสนิทเขา คงจะส่งเขาไปพบยมบาลด้วยฝ่ามือเดียวแล้วแน่ๆเย่จิ่งหลานถามอย่างไม่อินังขังขอบ “ไม่ทราบว่าน้องชายคนนี้เป็นศิษย์ของสำนักอะไร”โมริตะคาวาสึบาเมะประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยมาจากสำนักอวิ๋นชวนเยี่ยนหาง ได้ยินเรื่องการต่อสู้ในเป่ยไห่ จึงอยากจะมาช่วยอีกแรงโดยเฉพาะ เพียงแต่เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คนและสถานที่ หวังว่าคุณชายน้อยจะช่วยดูแลด้วย”เย่จิ่งหลานก็ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักของเขา แต่น้ำเสียงคำพูดของเขา ฟังดูไม่เหมือนเด็กอายุไม่กี่ขวบอย่างแน่นอนเขายิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอน”โมริตะคาวาสึบาเมะดีใจ ในความเห็นของเขา เย่จิ่งหลานเป็นเพียงเด็กอายุไม่กี่ขวบ ย่อมถูกหลอกได้ง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ชาวตงหลิวบูชาพระอาทิตย์ ดังนั้นหวังซุ่นจึงดีใจมากที่ได้ยินเย่จิ่งหลานเปรียบเทียบตัวเองกับดวงอาทิตย์“ได้ ข้าเชื่อท่านอ๋อง”เย่จิ่งหลานกล่าวเสริมว่า “เรื่องนี้ห้ามบอกกับเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนเช่นกัน”หวังซุ่นตอบรับว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง ข้ารับรองถึงตีให้ตายก็ไม่พูด”ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ทั้งหมดก็มาถึงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว อินชิงเสวียนกำลังอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงและพูดคุยกับเซี่ยวอิ๋นหวน เมื่อเห็นเย่จิ่งหลาน ก็ถามทันทีว่า “เจ้าไปไหนมารึ”หวังซุ่นพยักหน้าโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยกับท่านอ๋องไปทะเลมา นี่ยังจับได้ปูตัวใหญ่มาเยอะขนาดนี้ คืนนี้เราจะได้กินกัน”อินชิงเสวียนจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้ารู้จักแต่กิน ไม่กลัวที่จะเจอคนไม่ดีหรือ”เย่จิ่งหลานหัวเราะแหะๆ และพูดว่า “อากาศแจ่มใสแบบนี้ จะมีคนเลวที่ไหนเยอะแยะ ยังมียอดฝีมือติดตามไปด้วยสองคน ไม่เป็นไรหรอก”หลังจากพูดจบก็มองไปที่หวนไท่เฟย ครั้นเห็นสีหน้าของนางดูดี ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับประสิทธิภาพของน้ำพุวิญญาณมีของเช่นนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหมอเทวดาหนิง ผู้อาวุโสสวีก็ต้องหลีกทางให้ น่าเสียดายที่ตัวเองดื่มมานาน ทั้งอาบทั้
“มาแล้ว”หวังซุ่นขานตอบ แล้ววิ่งกระดิกหางเข้ามา“ท่านอ๋องน้อยเรียกข้าน้อยมามีอะไรหรือ”หวังซุ่นได้ยิ้มประจบประแจงอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเย่จิ่งหลานปิดประตู ดึงเขาเข้าไปในห้องด้านใน“ข้ามีภารกิจมอบหมายให้เจ้าทำ ถ้าเจ้าทำได้ดี ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยบุหรี่ชั้นดีสิบกล่องเลย”ในช่วงเวลานี้ หวังซุ่นถูกเย่จิ่งหลานสอนจนติดบุหรี่แล้ว ทุกครั้งที่เย่จิ่งหลานสูบบุหรี่ เขาจะนั่งยองๆ รออยู่ข้างหลังถ้าเย่จิ่งหลานอารมณ์ดีก็จะให้เขาสักมวนหนึ่ง แต่ถ้าอารมณ์ไม่ได้ก็จะให้แค่ก้นบุหรี่ แต่เจ้านี่กลับไม่รังเกียจ แค่ได้สูบก็พอใจแล้ว แต่กระนั้นก็สูบไม่หนำใจ พอได้เย่จิ่งหลานบอกว่าจะให้บุหรี่เขาได้มากมาย เขาก็ฉีกยิ้มกว้างจนใบหู“ไม่มีปัญหา ท่านอ๋องน้อยเชิญสั่งมาได้เลย ตราบใดที่ข้าน้อยทำได้ รับรองว่าต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่น”เย่จิ่งหลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าสวมหน้ากากไปพบกับฉุยอวี้ จากนั้นเราจะหาจังหวะไปจับคนสมคบคิดกับศัตรู ยังสามารถใช้โอกาสนี้พาเจ้าเข้าไปในมิติ สร้างภาพลวงตาว่าเจ้ากำลังใช้ทักษะการหลบหนี จากนั้นเจ้าก็สามารถถอดหน้ากาก แล้วกลับมาเป็นตัวเองเหมือน
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี