รถม้ามาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่เมืองหลวงที่คุ้นเคย อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยแต่เสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมาก เขายื่นหัวเล็กๆ ออกไปนอกหน้าต่าง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นที่ปกป้องเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ซ้ายขวา ก็ใช้โอกาสนี้ในการชมทิวทัศน์ภายนอกเย่จิ่งหลานยกมือขึ้นกอดไหล่ตัวเอง นั่งไขว้ห้างมองอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนก็มองออกไปนอกรถเช่นกัน ไม่สามารถบอกได้ว่านางรู้สึกอย่างไรการได้ไปตาหาเย่จิ่งอวี้ย่อมมีความสุขอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงการออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาหลายเดือน นางก็รู้สึกไม่สบายใจบางทีนางอาจจะถือว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองแล้วจริงๆเมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนยังคงเงียบ เย่จิ่งหลานก็ยกข้อศอกแตะนางอย่างอดไม่ได้“นี่ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”“อืม”อินชิงเสวียนพยักหน้า หันกลับมาแล้วถามว่า “หวังซุ่นก็อยู่ในมิติด้วยหรือ”เย่จิ่งอวี้ยักไหล่ พูดด้วยสีหน้าสบายๆ “อืม กลัวว่าความอัปลักษณ์ของเขา จะทำให้แม่นางทั้งสองกลัวน่ะ”อวิ๋นฉ่ายถามด้วยสีหน้าพิศวงงุนงงทันที “มิติคืออะไรหรือ”ถึงอย่างไรก็ต้องบอกพวกนางไม่ช้าก็เร็ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถปล่
อินสิงอวิ๋นพยักหน้า“ขอบพระคุณท่านพ่อ”อินจ้งตอบรับ และพูดต่อว่า “การสมรสครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การแต่งงานของพวกเจ้าสองคน แต่ยังเป็นงานใหญ่ของประเทศชาติ หวังว่าพวกเจ้าสองคนจะสามารถเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างต้าโจวและเจียงวู ทำเพื่อประชาชนของสองอาณาจักร กำจัดความทุกข์ยากของสงคราม”เป่าเล่อเอ่อร์เดินลงมาจากเก้าอี้ในทันที และกล่าวอวยพรแก่อินจ้ง“ใต้เท้าอินวางใจได้เจ้าค่ะ เป่าเล่อเอ่อร์ได้เขียนจดหมายให้แก่พี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่ไม่เคยสนับสนุนการทำสงคราม หากสองกองทัพระงับการใช้อาวุธต่อกันได้ พี่ใหญ่จะต้องดีใจอย่างมากเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี”อินจ้งหลือบมองผ้าปูที่อยู่บนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถะ ข้าไปห้องหนังสือก่อนล่ะ”ในขณะเดียวกันนั้นเอง เย่จั้นที่สวมชุดคลุมมังกรก็มาถึงตำหนักจินหวูเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนไปแล้ว เขาทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจทั้งเฝ้ารอให้อินชิงเสวียนสามารถสืบรู้ข่าวคราวของเย่จิ่งอวี้โดยเร็ว แต่ก็กลัวว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่ดียิ่งไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกหรือผิดกันแน่ หากเกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดต่ออินชิงเสวียน เช่นนั้นควรทำอย่างไร? แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
สีหน้าของซูถูก็ดูแย่เล็กน้อย“เจ้าสำนักเซี่ยวจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ หากชาวตงหลิวเข้าน่านน้ำทะเลมาเป็นจำนวนมาก ท่านและข้าจะต้องรับมือไม่ทันแน่นอน ควรระมัดระวังไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเรียบว่า “ริมชายฝั่งของเป่ยไห่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งสำนักนิกายเดียว ผู้อาวุโสซูพูดออกมาเช่นนี้ หมายความว่านอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ของข้า ก็ไร้ผู้ที่สามารถสกัดกั้นตงหลิวได้อีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าขอตัวก่อน!”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดจบก็ใช้วิชาตัวเบา และออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไปคนเหล่านี้ไม่อาจแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการแย่งชิงไปให้ได้ ก็ไม่สามารถหาเจอว่าพิณอยู่ที่ใด ตอนนี้จำเป็นต้องไปพบหมอเทวดาหนิงอีกครั้ง เพื่อดูว่านอกจากเย่จิ่งอวี้แล้ว ยังสามารถหาทางออกอื่นในการรักษาเซี่ยวอิ๋นหวนได้อีกหรือไม่ซูถูและคนอื่นๆ ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่กลางลานบ้านครู่หนึ่ง และก็จากไปเช่นกันในเวลาเช่นนี้ หากพวกเขาลงมือก็จะกลายเป็นเป้าที่ประชาชนทั่วไปโจมตีอย่างแน่นอนแต่จะต้องเอาพิณการเวกตัวนี้มาให้ได้ หากอาวุธทำลายล้างขนาดใหญ่เช่นนี้ยังคงอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป
อินชิงเสวียนออกจากเมืองหลวงแล้ว เวลาเพียงครึ่งเช้าก็ออกมาได้เกือบร้อยลี้แล้วเมื่อมองทิวทัศน์ที่แปลกตาไปตลอดทาง อินชิงเสวียนก็ร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หวังเพียงให้ถึงเป่ยไห่โดยไวนางหยิบแผนที่ออกมา และเทียบดูอย่างละเอียด เพียงแค่เกลียดที่ยุคสมัยนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต แม้นางจะมีโทรศัพท์มือถือ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปิดระบบนำทางได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องเปลืองแรงเช่นนี้เย่จิ่งหลานกลับไม่ได้รีบร้อน เขาอยู่ในเมืองหลวงมานานมากพอแล้ว อยากออกมาดูโลกภายนอกบ้าง การออกมาวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ความรู้สึกดีใจยังไม่มลายหายไปเมื่อเห็นอินชิงเสวียนมองอย่างตั้งใจ เขาก็รีบเข้าไปประสมโรง“เจ้าสิ่งนี้แม่นยำหรือไม่?”สำหรับแผนที่ของยุคโบราณ เย่จิ่งหลานกลับไม่ได้คาดหวังมากนักอินชิงเสวียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “เย่จั้นได้หาคนมาทดสอบหลายคนแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา”“นี่ก็ดูจากตำแหน่งขึ้นเหลือลงใต้เหมือนกันใช่หรือไม่?”มือของเย่จิ่งหลานทำท่าทางบนม้วนหนังแกะ“ถูกต้อง ตอนนี้พวกเรากำลังไปเส้นทางนี้อยู่ ตามเส้นทางนี้ไปด้านหน้า ก็จะไปถึงเป่ยไห่”อินชิงเสวียนชี้เส้นทางให้เย่จิ่งหลานดู“ต้องใช้เวลาประมาณไหน?”เย่จิ
ทุกคนตามหาร้านอาหาร และสั่งอาหารแกล้มเหล้ามาสองสามอย่าง อินชิงเสวียนเป็นกังวลมาตลอดว่าไป๋เสวี่ยจะไม่เชื่อฟัง แต่จนถึงตอนนี้ คนที่ไม่เชื่อฟังกลับเป็นเสี่ยวหนานเฟิงของนางเจ้าหนูนี่เพิ่งออกจากวังเป็นครั้งแรก มองเห็นอะไรก็แปลกตาไปหมด มือเล็กที่อ้วนท้วนพยายามชี้ออกไปด้านนอกประตู ไม่ว่าอย่างไรก็จะออกไปให้ได้เย่จิ่งหลานที่อยู่อีกด้านก็กระตุกมุมปาก และพูดในใจว่า เจ้าหนูนี่ช่วยเขาได้เยอะทีเดียวการได้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย เย่จิ่งหลานอยากเห็นสภาพความเป็นอยู่ของต้าโจวอย่างมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าอินชิงเสวียนใจร้อนดั่งไฟ ตอนนี้ถือว่าเป็นไปตามความต้องการของเขาแล้วเมื่อเหลือบมองอินชิงเสวียน รอยยิ้มของเย่จิ่งหลานก็ล้ำลึกมากขึ้นอีกอินชิงเสวียนร้อนใจจนถอนหายใจไม่หยุด แต่ก็ทนทำผิดกับเด็กไม่ได้ จึงต้องพาเขาไปเดินเล่นบนถนนร้านค้ายังไม่เก็บแผง บนถนนยังคงคึกคักอยู่มาก การจับจ่ายใช้สอยเรื่องกินดื่มล้วนมีครบทั้งสิ้นเสี่ยวหนานเฟิงมองเห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปเสียหมด ศีรษะน้อยๆ หมุนไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง สักพักมือน้อยๆ ก็ชี้ไปทางนั้นที สักพักก็ชี้มาทางนี้ที มองดูด้วยความสนุกสนานอย่างมากเย่จิ่งหลานก็มองซ้าย
อินชิงเสวียนจึงจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือ นางก็เป็นผู้ช่วยผ่าตัดให้เย่จิ่งหลานมาหลายครั้งแล้ว ขั้นตอนทั้งหมดแทบจำได้ขึ้นใจทั้งหมดผู้ชายกลับงุนงงโดยสิ้นเชิง เขาคิดไม่ออกเลยว่าเมื่อครู่เพิ่งขึ้นรถม้า แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ที่แปลกตาเมื่อเห็นทั้งสองคนสวมชุดปลอดเชื้อสีเขียว และสวมถุงมือไว้บนมือ ในใจก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย“พวกท่าน พวกท่านกำลังจะทำอะไร?”อินชิงเสวียนไม่อยากเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับเขา นางแลกพลังของมิติ และสับมือลงบนต้นคอของผู้ชาย ผู้ชายจึงล้มลงบนเตียงผ่าตัดในทันทีเย่จิ่งหลานยกนิ้วโป้งให้นาง“สุดยอด”“เอาล่ะ อย่ามัวพูดไร้สาระ รีบจัดการเถอะ”อินชิงเสวียนช่วยจับตัวผู้ชายให้อยู่กับที่ ทางด้านของเย่จิ่งหลานก็ทำการตรวจให้ผู้ชายอย่างละเอียด ปรากฏว่ามีเนื้องอกขนาดใหญ่ที่ตับของเขาเขาใช้เทคนิควินิจฉัยพยาธิวิทยาโดยไร้บาดแผล ผลการตรวจออกมาอย่างรวดเร็ว และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเย่จิ่งหลานโล่งใจ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับสิ่งนี้แล้วเตียงผ่าตัดได้ทำการชั่งน้ำหนักให้แก่ผู้ชายแล้ว เย่จิ่งหลานก็ไม่มัวเสียเวลา เขารีบผสมยาชาอย่างว่องไว และฉีดเข้า
เจ้าสำนักเซี่ยวไม่รู้ว่าเรื่องรักของตัวเองหมดลมหายใจไปแล้ว เมื่อออกมาจากบ้านของหมอเทวดาหนิง ก็ตรงไปที่ถิ่นอาศัยชั่วคราวอย่างหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มกันชีพจรของเซี่ยวอิ๋นหวน หมอเทวดาหนิงให้เขาส่งกำลังภายในหนึ่งถึงสองครั้ง วิธีนี้อาจจะสามารถช่วยต่อชีวิตให้นานยิ่งขึ้นเจ้าสำนักเซี่ยวเชื่อมั่นในตัวของเพื่อนรักอย่างมาก เมื่อออกนอกประตูก็ใช้วิชาตัวเบาเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็พบฉินเอ๋อร์วิ่งออกมาจากด้านใน มุมปากยังคงมีรอยเลือดติดอยู่“เจ้าสำนัก”เมื่อเห็นเจ้าสำนักเซี่ยว ฉินเอ๋อร์ก็ขาอ่อนแรงลง และคุกเข่าลงบนพื้น“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”เจ้าสำนักเซี่ยวเดินเข้าไปอย่างว่องไว และพยุงฉินเอ๋อร์ขึ้นมาฉินเอ๋อร์พูดสะอึกสะอื้นว่า “เจ้าสำนักเพิ่งไปได้ไม่นาน หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกโจมตีเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวถามอย่างโมโหว่า “หวนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ผู้ที่ลงมือคือใคร”ฉินเอ๋อร์รีบพูดว่า “ผู้คุมตราเซี่ยวไม่เป็นอะไร เซ่อเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวโล่งใจ และถามอีกว่า “บาดแผลของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เห็นหน้าตาของโจรหรือไม่?”“ไม่เจ้าค่ะ คนคนนี้มีเคล็ดวิชาว่องไวมาก เมื่
สำนักเซียวเหยา? เย่จิ่งอวี้จำได้ว่าเมื่อก่อนท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า สำนักเซียวเหยาเป็นสำนักนอกรีต ไม่ปรากฏตัวตามที่สาธารณะ อีกทั้งชายและหญิงในสำนักต่างก็เชี่ยวชาญวิชาการดูดพลังงาน ปรับความสมดุลของหยินหยาง คนมากมายในเส้นทางยุทธจักรเดียวกัน ต่างก็ต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเขาตอนนั้นเย่จิ่งอวี้ยังเด็ก ไม่เข้าใจว่าการดูดพลังงานคืออะไร ตอนนี้เขามีภรรยาและลูกแล้ว เมื่อได้ยินชื่อนี้ก็รู้สึกเกลียดชังในทันทีที่มีล้วนเป็นสามลัทธิและเก้าสาขาอาชีพ ซึ่งอยู่ในทุกหนทุกแห่งในระหว่างที่ครุ่นคิด เจ้าสำนักเซียวเหยาก็เดินเข้ามาในบ้านเมื่อทุกคนเห็นร่างชุดคลุมสีดำที่ยาวไปถึงเท้า ก็รู้ว่าคนผู้นี้พูดแต่ความจริงเท่านั้นในขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยในใจว่า เจ้าสำนักเซียวเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงปรากฏตัวได้? เมื่อเห็นว่าเขามีลมหายใจที่ทอดยาว ฝ่าเท้าที่มั่นคง ซึ่งไม่เหมือนท่าทางของผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือว่าข่าวลือเป็นเรื่องโกหก? เจ้าสำนักเซียวเหยาเดินเข้ามาถึงห้องโถง เขาหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “ข้าทำให้ผู้ร่วมยุทธจักรทุกท่านต้องเป็นห่วง ข้าเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเหล่
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล