เจ้าสำนักเซี่ยวไม่รู้ว่าเรื่องรักของตัวเองหมดลมหายใจไปแล้ว เมื่อออกมาจากบ้านของหมอเทวดาหนิง ก็ตรงไปที่ถิ่นอาศัยชั่วคราวอย่างหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มกันชีพจรของเซี่ยวอิ๋นหวน หมอเทวดาหนิงให้เขาส่งกำลังภายในหนึ่งถึงสองครั้ง วิธีนี้อาจจะสามารถช่วยต่อชีวิตให้นานยิ่งขึ้นเจ้าสำนักเซี่ยวเชื่อมั่นในตัวของเพื่อนรักอย่างมาก เมื่อออกนอกประตูก็ใช้วิชาตัวเบาเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็พบฉินเอ๋อร์วิ่งออกมาจากด้านใน มุมปากยังคงมีรอยเลือดติดอยู่“เจ้าสำนัก”เมื่อเห็นเจ้าสำนักเซี่ยว ฉินเอ๋อร์ก็ขาอ่อนแรงลง และคุกเข่าลงบนพื้น“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”เจ้าสำนักเซี่ยวเดินเข้าไปอย่างว่องไว และพยุงฉินเอ๋อร์ขึ้นมาฉินเอ๋อร์พูดสะอึกสะอื้นว่า “เจ้าสำนักเพิ่งไปได้ไม่นาน หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกโจมตีเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวถามอย่างโมโหว่า “หวนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ผู้ที่ลงมือคือใคร”ฉินเอ๋อร์รีบพูดว่า “ผู้คุมตราเซี่ยวไม่เป็นอะไร เซ่อเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวโล่งใจ และถามอีกว่า “บาดแผลของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เห็นหน้าตาของโจรหรือไม่?”“ไม่เจ้าค่ะ คนคนนี้มีเคล็ดวิชาว่องไวมาก เมื่
สำนักเซียวเหยา? เย่จิ่งอวี้จำได้ว่าเมื่อก่อนท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า สำนักเซียวเหยาเป็นสำนักนอกรีต ไม่ปรากฏตัวตามที่สาธารณะ อีกทั้งชายและหญิงในสำนักต่างก็เชี่ยวชาญวิชาการดูดพลังงาน ปรับความสมดุลของหยินหยาง คนมากมายในเส้นทางยุทธจักรเดียวกัน ต่างก็ต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเขาตอนนั้นเย่จิ่งอวี้ยังเด็ก ไม่เข้าใจว่าการดูดพลังงานคืออะไร ตอนนี้เขามีภรรยาและลูกแล้ว เมื่อได้ยินชื่อนี้ก็รู้สึกเกลียดชังในทันทีที่มีล้วนเป็นสามลัทธิและเก้าสาขาอาชีพ ซึ่งอยู่ในทุกหนทุกแห่งในระหว่างที่ครุ่นคิด เจ้าสำนักเซียวเหยาก็เดินเข้ามาในบ้านเมื่อทุกคนเห็นร่างชุดคลุมสีดำที่ยาวไปถึงเท้า ก็รู้ว่าคนผู้นี้พูดแต่ความจริงเท่านั้นในขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยในใจว่า เจ้าสำนักเซียวเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงปรากฏตัวได้? เมื่อเห็นว่าเขามีลมหายใจที่ทอดยาว ฝ่าเท้าที่มั่นคง ซึ่งไม่เหมือนท่าทางของผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือว่าข่าวลือเป็นเรื่องโกหก? เจ้าสำนักเซียวเหยาเดินเข้ามาถึงห้องโถง เขาหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “ข้าทำให้ผู้ร่วมยุทธจักรทุกท่านต้องเป็นห่วง ข้าเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเหล่
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เย่จิ่งอวี้ก็หรี่ตาเล็กน้อย ขณะเดียวกันนั้น เขาก็มองเห็นต่งจื่ออวี๋ด้วยเช่นกันเย่จิ่งอวี้และต่งจื่ออวี๋เคยพบปะกันหลายครั้ง เขารู้ดีว่าต่งจื่ออวี๋มีนิสัยซื่อๆ และไม่ใช่คนเลวในเมื่อท่านอาจารย์ของเขาสนับสนุนเจ้าสำนักเซี่ยว เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่แน่แต่ไม่ว่าอย่างไร ไอ้โจรแก่นี่จับตัวเองมาที่นี่เป็นเรื่องจริงทั้งเพ แม้ว่าเจ้าสำนักเซี่ยวไม่ใช่ผู้ที่สังหารหมอเทวดาหนิง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นพวกที่มีเมตตาเย่จิ่งอวี้ไตร่ตรองในใจ แต่เขาไม่อยากเข้าไปพัวพันกับความถูกผิดของที่นี่ เขาเพียงอยากกลับเมืองหลวงเพื่ออยู่กับภรรยาและลูกของเขาอีกครั้งในเมื่อได้จัดการกับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็ไม่พร้อมที่จะสร้างปัญหาให้กับคนสำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร คนเหล่านี้สามารถมาต่อต้านศัตรูถึงเป่ยไห่ ซึ่งสมควรได้รับความเคารพอย่างยิ่งขณะที่กำลังกลับโรงเตี๊ยม ก็เห็นเจ้าสำนักเซียวเหยาเดินออกมาจากด้านในเมื่อเห็นชายผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำ เย่จิ่งอวี้จึงรู้สึกแปลกใจมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ แต่ไม่นานนัก เขาก็ระงับความคิดที่จะสะกดรอยตามลงไปคนเหล่า
“พวกเจ้าพูดถึงใครกันแน่?”เฮ่ออวิ๋นทงฟังไม่เข้าใจต่งจื่ออวี๋พูดด้วยสีหน้าที่เคารพ “คือแม่นางผู้นั้นที่ข้ามอบกระพรวนทองให้”เฮ่ออวิ๋นทงลูบเคราแล้วพูดว่า “เช่นนี้นี่เอง ไม่คิดว่าแม่นางผู้นั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้”เจ้าสำนักเซี่ยวขมวดคิ้วอีกครั้ง“หากจื่ออวี๋และข้าพูดถึงคนเดียวกัน ตอนนี้แม่นางผู้นั้นต้องอยู่ในเมืองหลวงแน่นอน ข้าต้องมอบพลังให้แก่หวนเอ๋อร์ทุกวัน จึงไม่ออกจากไปได้ ฮวาเชียนก็ได้ออกเดินทางไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว คงทำได้เพียงหาคนไปตามหาแล้วล่ะ”เฮ่ออวิ๋นทงพยักหน้าพูดว่า “คงทำได้เพียงแค่นี้แหละ การเดิมพันในสงครามครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก พวกเราต้องชนะและห้ามแพ้ แม้ว่าตอนนี้แต่ละสำนักได้มารวมตัวกันแล้ว แต่กลับแฝงไว้ด้วยเจตนาที่มิดีมิร้าย ซึ่งไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีผู้ใดคิดการไม่ดี เจ้าและข้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ ข้ากลัวว่าจะมีคนสร้างเรื่องการตายของหมอเทวดาหนิง”เจ้าสำนักเซี่ยวทำเสียงฮึดฮัดด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “ข้าปฏิบัติตนอย่างซื่อตรงสุจริต จะต้องกลัวคำวิจารณ์ของผู้อื่นไปทำไมกัน”เฮ่ออวิ๋นทงพูดว่า “ไม่เคยได้ยินหรือว่าความคิดเห็นของประชาชนมีพลัง กลับดำเป็นขาวได้ ร
คำโบราณกล่าวว่า วรยุทธ์สูงส่งเพียงไหนก็ยังกลัวมีดทำอาหาร จึงไม่เชื่อว่ายอดฝีมือการต่อสู้เหล่านั้นจะไม่กลัวปืนพก แม่งเอ้ย ถึงตอนนั้นใครกล้าลองดีกับเขา ก็จะให้เขาได้ลิ้มรสกระสุนปืนเสียหน่อยแน่นอนว่า คนที่เขาอยากฆ่าที่สุดก็คือไอ้คนตงหลิวพวกนั้น แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ยังต้องทำการผ่าตัดอีกสองครั้ง จึงจะมีเงินไปแลกซื้อลูกกระสุนเพียงแต่น่าเสียดายที่อินชิงเสวียนมุ่งมั่นจะไปยังเป่ยไห่ จึงลงมือทำการได้ยาก หากลากยาวเกินไปก็กลัวว่าอินชิงเสวียนจะโมโหอีก ตอนนี้จึงทำได้เพียงเดินดูไปก่อนเย่จิ่งหลานกลับหวังว่าจะสามารถเดินช้าลงหน่อย หากเส้นทางนี้ไม่มีจุดหมายปลายทางก็คงดีเมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง เย่จิ่งหลานสอดปืนพกเอาไว้อย่างดี และเรียกหวังซุ่นเข้ามา ตัวเองก็ไปนอนพักผ่อนร่างกายของเขาที่เล็กเพียงแค่นี้ เมื่อทำการผ่าตัดเป็นเวลานานจึงค่อนข้างใช้แรงมาก เมื่อตื่นขึ้นมา ฟ้าก็ใกล้มืดลงแล้วเมื่อไปดูที่ห้องรักษาก็พบว่าเจ้าอ้วนนั่นได้กลับไปแล้ว เมื่อออกจากมิติจึงได้รู้ว่า อินชิงเสวียนสั่งให้คนขับรถม้าออกเดินทางแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนนั่งอยู่บนรถม้า“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่จิ่งหลานนั่งเบียดลงบนที่นั
จากที่ไกลๆ ชายชุดดำหลายคนกำลังรุมโจมตีผู้หญิงชุดม่วงคนนั้นคนหนึ่งเห็นเพื่อนล้มลงบนพื้น จึงร้องตะโกนออกมาเสียงดังและยาว“เจ้าสามตายแล้ว รีบเข้าไปช่วยเร็ว”ทันใดนั้น ชายชุดดำสองคนก็แยกตัวออกมา และโผบินมาทางรถม้าเย่จิ่งหลานยิงปืนอีกสองนัด น่าเสียดายที่คาดเดาคนเหล่านี้ไม่ได้ จึงยิงไม่โดนเย่จิ่งหลานรู้สึกลนลานในทันที จึงเหนี่ยวไกปืนอีกครั้ง เมื่อครู่ยิงโดนเพราะระยะทางค่อข้างใกล้ หากต้องการแม่นเหมือนตาเห็น เกรงว่ายังต้องฝึกฝนอีกสักระยะหนึ่งอินชิงเสวียนกระโดดลงจะรถม้า นางต้องการทดลองความสามารถของคนเหล่านี้ หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยเข้าในมิติความเร็วและพละกำลังถาโถมเข้าสู่ร่างกาย นางเบี่ยงหลบดาบยาวของคนคนนั้น ความว่องไวของนางราวกับปีศาจ ล้อมไปด้านหลังของคนคนนั้น และฟาดฝ่ามือลงใจกลางหลังของเขาชายชุดดำอีกคนถือดาบมาช่วยเพื่อนในทันที เมื่อเป็นเช่นนั้น หญิงสาวที่อยู่ไกลๆ ก็ลดแรงกดดันลงนางฉวยโอกาสในการเปิดการโจมตี เสียงทอดถอนใจดังขึ้นหลายครั้ง ชายชุดดำ ทันใดนั้นก็ล้มลงบนพื้นหญิงสาวมีบาดแผลเต็มตัว สองขาอ่อนแรงและร่วงลงบนพื้นในทันที บนหน้าอกมีรูเลือดขนาดใหญ่ นางมีเลือดไหลออกมามาก สีหน้าซีด
อินชิงเสวียนพูดอย่างสบายๆ ว่า “อาจจะเป็นคนไข้ของเจ้าก็ได้”เย่จิ่งหลานส่ายหัวแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ โดยพื้นฐานข้าทำการตรวจคนแก่เป็นส่วนมาก อีกทั้งมากสุดคือวันละสองคน และจำได้หมดแทบทุกคน”“เช่นนั้นเจ้ารู้จักนางที่ใด?”อินชิงเสวียนหาเรื่องมาถามแก้ขัดก่อนหน้านี้เย่จิ่งหลานอาศัยอยู่ที่ตำหนักฉู่เย่ว์มาตลอด เขารู้จักคนไม่มากนักเย่จิ่งหลานเองก็สงสัยเช่นกัน แต่เขายังคงรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ ต้องเคยพบเจอที่ไหนมาก่อนแน่เขาจ้องผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด อินชิงเสวียนจึงพูดเร่งรัดอย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว รีบทำการผ่าตัดก่อนเถอะ พวกเรายังต้องรีบเดินทางอีก ตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในวังเป็นอย่างไรบ้าง”เมื่อได้ยินคำว่า ‘ในวัง’ เย่จิ่งหลานก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าคิดออกแล้ว ผู้หญิงคนนี้เคนเป็นคนในวัง”อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อย“ข้าหลวงหญิงงั้นหรือ? แต่เหตุใดข้าหลวงหญิงจึงมีวิทยายุทธ์สูงส่งเช่นนี้ หรือว่าเป็นองครักษ์เงาของเย่จิ่งอวี้?”“เย่จิ่งอวี้?”ทันใดนั้นเย่จิ่งหลานก็ตบที่ศีรษะแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นหญิงรับใช้ของหวนไท่เฟ
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงลูกสะใภ้ของเซี่ยวอิ๋นหวน ฮวาเชียนก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้วนางหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ข้าคือคนขแงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ผู้คุมตราเซี่ยวที่ท่านพูดถึงก็คือเสด็จแม่ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์นี้ ไท่เฟยเซี่ยวอิ๋นหวน”อินชิงเสวียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เสด็จแม่ของฝ่าบาทคือคนในยุทธจักร อีกทั้งยังเป็นผู้คุมตราแห่งสำนัก นี่มันเกินจินตนาการมากไปแล้วฮวาเชียนฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าเป็นหญิงรับใช้ของผู้คุมตรา หลายปีก่อนข้าลงเขาไปอวยพรวันเกิดให้แก่เจ้าสำนักกระบี่สังหารกับผู้คุมตรา ระหว่างทางได้พบกับเสด็จพ่อของอวี้เอ๋อร์ ผู้คุมตราหลงใหลในคำหวานของเขาและตามเขาเข้าวัง แต่เรื่องดีมักไม่ยืนยาว ฝ่าบาทก็เปลี่ยนไปมีรักใหม่ ผู้คุมตราเศร้าหมองมาโดยตลอด เมื่อถูกเจ้าสำนักรู้เข้าจึงพยายามบังคับให้ผู้คุมตรากลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”เมื่อเล่าถึงตรงนี้ สายตาของฮวาเชียนก็มีความเกลียดชังแวบผ่านมา“สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ตระกูลราชวงศ์ที่ไร้หัวใจ”“เช่นนั้น... พระศพของหวนไท่เฟยคืออะไรกัน?”อินชิงเสวียนถามด้วยความไม่เข้าใจฮวาเชียนถอนหายใจแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาที
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล