เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เย่จิ่งอวี้ก็หรี่ตาเล็กน้อย ขณะเดียวกันนั้น เขาก็มองเห็นต่งจื่ออวี๋ด้วยเช่นกันเย่จิ่งอวี้และต่งจื่ออวี๋เคยพบปะกันหลายครั้ง เขารู้ดีว่าต่งจื่ออวี๋มีนิสัยซื่อๆ และไม่ใช่คนเลวในเมื่อท่านอาจารย์ของเขาสนับสนุนเจ้าสำนักเซี่ยว เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่แน่แต่ไม่ว่าอย่างไร ไอ้โจรแก่นี่จับตัวเองมาที่นี่เป็นเรื่องจริงทั้งเพ แม้ว่าเจ้าสำนักเซี่ยวไม่ใช่ผู้ที่สังหารหมอเทวดาหนิง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นพวกที่มีเมตตาเย่จิ่งอวี้ไตร่ตรองในใจ แต่เขาไม่อยากเข้าไปพัวพันกับความถูกผิดของที่นี่ เขาเพียงอยากกลับเมืองหลวงเพื่ออยู่กับภรรยาและลูกของเขาอีกครั้งในเมื่อได้จัดการกับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็ไม่พร้อมที่จะสร้างปัญหาให้กับคนสำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร คนเหล่านี้สามารถมาต่อต้านศัตรูถึงเป่ยไห่ ซึ่งสมควรได้รับความเคารพอย่างยิ่งขณะที่กำลังกลับโรงเตี๊ยม ก็เห็นเจ้าสำนักเซียวเหยาเดินออกมาจากด้านในเมื่อเห็นชายผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำ เย่จิ่งอวี้จึงรู้สึกแปลกใจมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ แต่ไม่นานนัก เขาก็ระงับความคิดที่จะสะกดรอยตามลงไปคนเหล่า
“พวกเจ้าพูดถึงใครกันแน่?”เฮ่ออวิ๋นทงฟังไม่เข้าใจต่งจื่ออวี๋พูดด้วยสีหน้าที่เคารพ “คือแม่นางผู้นั้นที่ข้ามอบกระพรวนทองให้”เฮ่ออวิ๋นทงลูบเคราแล้วพูดว่า “เช่นนี้นี่เอง ไม่คิดว่าแม่นางผู้นั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้”เจ้าสำนักเซี่ยวขมวดคิ้วอีกครั้ง“หากจื่ออวี๋และข้าพูดถึงคนเดียวกัน ตอนนี้แม่นางผู้นั้นต้องอยู่ในเมืองหลวงแน่นอน ข้าต้องมอบพลังให้แก่หวนเอ๋อร์ทุกวัน จึงไม่ออกจากไปได้ ฮวาเชียนก็ได้ออกเดินทางไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว คงทำได้เพียงหาคนไปตามหาแล้วล่ะ”เฮ่ออวิ๋นทงพยักหน้าพูดว่า “คงทำได้เพียงแค่นี้แหละ การเดิมพันในสงครามครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก พวกเราต้องชนะและห้ามแพ้ แม้ว่าตอนนี้แต่ละสำนักได้มารวมตัวกันแล้ว แต่กลับแฝงไว้ด้วยเจตนาที่มิดีมิร้าย ซึ่งไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีผู้ใดคิดการไม่ดี เจ้าและข้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ ข้ากลัวว่าจะมีคนสร้างเรื่องการตายของหมอเทวดาหนิง”เจ้าสำนักเซี่ยวทำเสียงฮึดฮัดด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “ข้าปฏิบัติตนอย่างซื่อตรงสุจริต จะต้องกลัวคำวิจารณ์ของผู้อื่นไปทำไมกัน”เฮ่ออวิ๋นทงพูดว่า “ไม่เคยได้ยินหรือว่าความคิดเห็นของประชาชนมีพลัง กลับดำเป็นขาวได้ ร
คำโบราณกล่าวว่า วรยุทธ์สูงส่งเพียงไหนก็ยังกลัวมีดทำอาหาร จึงไม่เชื่อว่ายอดฝีมือการต่อสู้เหล่านั้นจะไม่กลัวปืนพก แม่งเอ้ย ถึงตอนนั้นใครกล้าลองดีกับเขา ก็จะให้เขาได้ลิ้มรสกระสุนปืนเสียหน่อยแน่นอนว่า คนที่เขาอยากฆ่าที่สุดก็คือไอ้คนตงหลิวพวกนั้น แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ยังต้องทำการผ่าตัดอีกสองครั้ง จึงจะมีเงินไปแลกซื้อลูกกระสุนเพียงแต่น่าเสียดายที่อินชิงเสวียนมุ่งมั่นจะไปยังเป่ยไห่ จึงลงมือทำการได้ยาก หากลากยาวเกินไปก็กลัวว่าอินชิงเสวียนจะโมโหอีก ตอนนี้จึงทำได้เพียงเดินดูไปก่อนเย่จิ่งหลานกลับหวังว่าจะสามารถเดินช้าลงหน่อย หากเส้นทางนี้ไม่มีจุดหมายปลายทางก็คงดีเมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง เย่จิ่งหลานสอดปืนพกเอาไว้อย่างดี และเรียกหวังซุ่นเข้ามา ตัวเองก็ไปนอนพักผ่อนร่างกายของเขาที่เล็กเพียงแค่นี้ เมื่อทำการผ่าตัดเป็นเวลานานจึงค่อนข้างใช้แรงมาก เมื่อตื่นขึ้นมา ฟ้าก็ใกล้มืดลงแล้วเมื่อไปดูที่ห้องรักษาก็พบว่าเจ้าอ้วนนั่นได้กลับไปแล้ว เมื่อออกจากมิติจึงได้รู้ว่า อินชิงเสวียนสั่งให้คนขับรถม้าออกเดินทางแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนนั่งอยู่บนรถม้า“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่จิ่งหลานนั่งเบียดลงบนที่นั
จากที่ไกลๆ ชายชุดดำหลายคนกำลังรุมโจมตีผู้หญิงชุดม่วงคนนั้นคนหนึ่งเห็นเพื่อนล้มลงบนพื้น จึงร้องตะโกนออกมาเสียงดังและยาว“เจ้าสามตายแล้ว รีบเข้าไปช่วยเร็ว”ทันใดนั้น ชายชุดดำสองคนก็แยกตัวออกมา และโผบินมาทางรถม้าเย่จิ่งหลานยิงปืนอีกสองนัด น่าเสียดายที่คาดเดาคนเหล่านี้ไม่ได้ จึงยิงไม่โดนเย่จิ่งหลานรู้สึกลนลานในทันที จึงเหนี่ยวไกปืนอีกครั้ง เมื่อครู่ยิงโดนเพราะระยะทางค่อข้างใกล้ หากต้องการแม่นเหมือนตาเห็น เกรงว่ายังต้องฝึกฝนอีกสักระยะหนึ่งอินชิงเสวียนกระโดดลงจะรถม้า นางต้องการทดลองความสามารถของคนเหล่านี้ หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยเข้าในมิติความเร็วและพละกำลังถาโถมเข้าสู่ร่างกาย นางเบี่ยงหลบดาบยาวของคนคนนั้น ความว่องไวของนางราวกับปีศาจ ล้อมไปด้านหลังของคนคนนั้น และฟาดฝ่ามือลงใจกลางหลังของเขาชายชุดดำอีกคนถือดาบมาช่วยเพื่อนในทันที เมื่อเป็นเช่นนั้น หญิงสาวที่อยู่ไกลๆ ก็ลดแรงกดดันลงนางฉวยโอกาสในการเปิดการโจมตี เสียงทอดถอนใจดังขึ้นหลายครั้ง ชายชุดดำ ทันใดนั้นก็ล้มลงบนพื้นหญิงสาวมีบาดแผลเต็มตัว สองขาอ่อนแรงและร่วงลงบนพื้นในทันที บนหน้าอกมีรูเลือดขนาดใหญ่ นางมีเลือดไหลออกมามาก สีหน้าซีด
อินชิงเสวียนพูดอย่างสบายๆ ว่า “อาจจะเป็นคนไข้ของเจ้าก็ได้”เย่จิ่งหลานส่ายหัวแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ โดยพื้นฐานข้าทำการตรวจคนแก่เป็นส่วนมาก อีกทั้งมากสุดคือวันละสองคน และจำได้หมดแทบทุกคน”“เช่นนั้นเจ้ารู้จักนางที่ใด?”อินชิงเสวียนหาเรื่องมาถามแก้ขัดก่อนหน้านี้เย่จิ่งหลานอาศัยอยู่ที่ตำหนักฉู่เย่ว์มาตลอด เขารู้จักคนไม่มากนักเย่จิ่งหลานเองก็สงสัยเช่นกัน แต่เขายังคงรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ ต้องเคยพบเจอที่ไหนมาก่อนแน่เขาจ้องผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด อินชิงเสวียนจึงพูดเร่งรัดอย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว รีบทำการผ่าตัดก่อนเถอะ พวกเรายังต้องรีบเดินทางอีก ตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในวังเป็นอย่างไรบ้าง”เมื่อได้ยินคำว่า ‘ในวัง’ เย่จิ่งหลานก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าคิดออกแล้ว ผู้หญิงคนนี้เคนเป็นคนในวัง”อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อย“ข้าหลวงหญิงงั้นหรือ? แต่เหตุใดข้าหลวงหญิงจึงมีวิทยายุทธ์สูงส่งเช่นนี้ หรือว่าเป็นองครักษ์เงาของเย่จิ่งอวี้?”“เย่จิ่งอวี้?”ทันใดนั้นเย่จิ่งหลานก็ตบที่ศีรษะแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นหญิงรับใช้ของหวนไท่เฟ
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงลูกสะใภ้ของเซี่ยวอิ๋นหวน ฮวาเชียนก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้วนางหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ข้าคือคนขแงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ผู้คุมตราเซี่ยวที่ท่านพูดถึงก็คือเสด็จแม่ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์นี้ ไท่เฟยเซี่ยวอิ๋นหวน”อินชิงเสวียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เสด็จแม่ของฝ่าบาทคือคนในยุทธจักร อีกทั้งยังเป็นผู้คุมตราแห่งสำนัก นี่มันเกินจินตนาการมากไปแล้วฮวาเชียนฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าเป็นหญิงรับใช้ของผู้คุมตรา หลายปีก่อนข้าลงเขาไปอวยพรวันเกิดให้แก่เจ้าสำนักกระบี่สังหารกับผู้คุมตรา ระหว่างทางได้พบกับเสด็จพ่อของอวี้เอ๋อร์ ผู้คุมตราหลงใหลในคำหวานของเขาและตามเขาเข้าวัง แต่เรื่องดีมักไม่ยืนยาว ฝ่าบาทก็เปลี่ยนไปมีรักใหม่ ผู้คุมตราเศร้าหมองมาโดยตลอด เมื่อถูกเจ้าสำนักรู้เข้าจึงพยายามบังคับให้ผู้คุมตรากลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”เมื่อเล่าถึงตรงนี้ สายตาของฮวาเชียนก็มีความเกลียดชังแวบผ่านมา“สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ตระกูลราชวงศ์ที่ไร้หัวใจ”“เช่นนั้น... พระศพของหวนไท่เฟยคืออะไรกัน?”อินชิงเสวียนถามด้วยความไม่เข้าใจฮวาเชียนถอนหายใจแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาที
เมื่อดื่มน้ำชาหมดกาแล้ว เย่จิ่งอวี้จึงกลับเข้าห้องเขานั่งขัดสมาธิบนเตียง เคลื่อนไหวกำลังภายใน ปรับตัวเองอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ต้องออกไปจากเป่ยไห่ให้ได้เพียงพริบตาเดียว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสภาพอากาศริมทะเลเปลี่ยนแปลงอย่างไม่อาจคาดเดาได้ พระอาทิตย์เพิ่งตกสู่พื้นดิน ลมทะเลเริ่มโหมกระหน่ำกลิ่นเค็มค่อยๆ พัดมาจากริมทะเล และบางครั้งอาจได้ยินเสียงคลื่นยักษ์กระทบโขดหินช่วงเวลาเที่ยงคืน เงาดำที่ทอดยาวบินออกจากด้านหลังต่างของโรงเตี๊ยม และหายเข้าไปในยามราตรีทันทีผู้นี้ก็คือฮ่องเต้เย่จิ่งอวี้ผู้ปกครองแผ่นดินเขาใช้เวลาหลายวันในการตรวจดูเส้นทางไปจากเป่ยไห่ และเวลาที่แน่ชัดในการลาดตระเวนของลูกศิษย์แต่ละสำนักขอเพียงคลาดเวลาที่ยืนยาวนี้ไปได้ ก็จะสามารถออกไปจากสถานที่บ้านี่ได้เช่นกันเย่จิ่งอวี้ใช้วิชาตัวเบา หมอบอยู่บนหลังคาราวกับแมว เมื่อถึงประตูลานกว้างของเป่ยไห่ ปรากฏว่าพบลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากปากทาง คนเหล่านี้ถือดาบในมือทุกคน ท่าทางราวกับเผชิญหน้ากับข้าศึกการแต่งกายก็แตกต่างกัน ซึ่งมองออกว่ามาจากต่างสำนักกันเมื่อนึกถึงฝีมือที่แปลกประหลาดของผ
ผีแคระนั่นก็ว่องไวมากเช่นกัน กระโดดขึ้นสูงจากพื้นระยะสามจ้าง และฟาดฝ่ามือไปที่เย่จิ่งอวี้ฝ่ามือขนาดใหญ่พัดกรรโชกเข้ามา เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย ผีแคระเหล่านี้มีความสามารถไม่แพ้กันเลยบูมมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น พัดฝุ่นดินตลบ ทั้งสองต่างถอยคนละหนึ่งก้าวผีแคระด่าออกมาหนึ่งคำด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ จากนั้นก็โบกฝ่ามือโจมตีเย่จิ่งอวี้อีกครั้งลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็ต่อสู้กับผีแคระที่เหลือเหล่านั้น เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีลูกศิษย์หลายคนล้มลงบนพื้นเย่จิ่งอวี้กวาดสายตามอง และเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ผีแคระเหล่านี้ช่ำชองการโจมตีเป็นกลุ่ม โดยปกแล้วเป็นการต่อสู้แบบสามรุมหนึ่ง อีกคนหนึ่งเดินไปรอบๆ เพื่อต้านการเข้ามาปะทะของพวกลูกศิษย์จึงพูดตะโกนทันทีว่า “อย่าแยกจากกัน คนเหล่านี้ช่ำชองการโจมตีเป็นกลุ่ม”ระหว่างที่พูดก็มีอีกหลายคนล้มลงบนพื้นผีแคระคนหนึ่งส่งเสียงหัวเราะร่าดังออกมา ระหว่างสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก ใช้ภาษาดินแดนจงหยวนพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ไอ้โง่”สายตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นทันที“รนหาที่ตาย”เขาชักดาบยาวข้างเอวออกมา เมื่อขยับข้อมือก็มีเสียงมังกร