ฟางรั่วก็เห็นอินชิงเสวียนเช่นกัน ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ใบหน้าแดงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอินชิงเสวียนให้องครักษ์ออกไปทันที พลิกกายลงจากหลังม้าฟางรั่วยืนนิ่ง“มาเยี่ยมกวนเซี่ยวหรือ”อินชิงเสวียนถามเรียบๆ“ข้ามาหาเจ้า”ฟางรั่วมองไปที่อินชิงเสวียน โดยไม่หลบเลี่ยงสายตาอินชิงเสวียนยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย พูดสัพยอก “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา”ฟางรั่วกล่าวว่า “เดาเอา”อินชิงเสวียนไม่ต้องการเปิดเผยความคิดของนาง จึงถามเรียบๆ “เจ้ามาหาข้าทำไม”“ข้ามักจะรู้สึกว่าอาซือหลานยังไม่ตาย ข้าอยากตามเจ้าไป ตราบใดที่อยู่ข้างๆ เจ้า ข้าถึงจะมีโอกาสจัดการกับเขา”เสียงของฟางรั่วสงบ แต่ดวงตาไม่สามารถซ่อนความเกลียดชังได้“ไม่จำเป็นหรอก คนอย่างเจ้า ข้าไม่ไว้ใจ”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็เดินเข้าไปในจวนจอมพล ฟางรั่วเลื่อนเข้ามาขวางนาง“เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรถึงจะติดตามเจ้าได้”อินชิงเสวียนหันกลับมา นัยน์ตาเย็นชาราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง“เจ้ากับข้าวิถีทางแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องฝืนใจมาอยู่ด้วยกัน หลีกไปเถอะ”ฟางรั่วยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตามองจับไปยังอินชิงเสวียนโดยไม่ละสายตา“เ
อินชิงเสวียนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ พยักหน้าและพูดว่า “ชิงเสวียนทราบแล้ว อัคราจารย์ก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย อย่าดื่มสุรามากนัก จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ”“อืม อัคราจารย์รู้แล้ว ในเมื่อจะออกจากวังเดินทางไกล ถือโอกาสในสองวันนี้ กลับบ้านไปอยู่กับพ่อเจ้าให้มากเถิด”“เจ้าค่ะ ข้าจะกลับจวนตระกูลอินเดี๋ยวนี้”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบก็ลุกขึ้นยืน กวนฮั่นหลินไม่ได้รั้งตัวไว้ ไปส่งอินชิงเสวียนถึงหน้าประตูจวนด้วยตัวเองอินชิงเสวียนไม่อยากกลับวังจริงๆ ทุกครั้งที่ไปถึงห้องหนังสือ นางจะคิดถึงเย่จิ่งอวี้อย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อไม่สามารถเผชิญหน้าได้ ก็ทำได้แค่หลีกเลี่ยงเท่านั้นเมื่อเห็นอินชิงเสวียนขี่ม้า แต่ไม่ได้ออกเดินเสียที ฉินเทียนก็เดินไปถามว่า “พระสนม เราจะกลับวังหรือไม่”อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะไปดูที่จวนฝูอี้อ๋องหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องคุ้มกันแล้วล่ะ”“จะได้อย่างไร ถ้าฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ คงลงโทษกระหม่อมแน่นอน”ในวันที่อาซือหลานถูกฆ่า ฉินเทียนและหลี่ฉีก็อยู่ด้วย ทั้งสองมีทักษะวรยุทธ์ต่ำ เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็หมดสติไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฮ่องเต้ถูกเปลี่ยน ยิ่งไม่รู้ว่าฝ่าบาท
อินชิงเสวียนก็ประหลาดใจเช่นกันเดิมทีคิดว่าเฟิงเอ้อร์เหนียงเป็นเพียงเถ้าแก่เนี้ยหอนางโลมธรรมดาๆ แต่ไม่คิดว่าสตรีคนนี้จะมีวรยุทธ์สูงขนาดนี้ แม้ว่าตัวเองและพี่รองจะร่วมมือกัน ก็ไม่สามารถเอาชนะนางได้ระหว่างทั้งสองไม่มีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อกัน อินชิงเสวียนไม่ต้องการใช้ทักษะห้าสิบห้าสิบ ถึงอย่างไรการทำร้ายอีกฝ่าย ตัวนางก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากันอันที่จริง เฟิงเอ้อร์เหนียงไม่ได้ผ่อนคลายเท่าที่นางแสดงให้เห็น ลำพังแค่อินชิงเสวียนคนเดียวก็เกินที่จะรับมือได้แล้ว เมื่อผนวกกับอินปู้อวี่ ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกลำบากมากในชั่วพริบตา ก็ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าเมื่อเห็นสองพี่น้องตระกูลอินที่บีบเข้ามาเรื่อยๆ เฟิงเอ้อร์เหนียงก็ทำอุบายหลอกตา และเหาะออกจากวงการต่อสู้“เราอย่าสู้กันเลย คนอื่นเขาต่อสู้กันก็เพราะมีความแค้นต่อกัน ข้าแค่พาแม่นางน้อยกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น ตอนนี้ก็ส่งคนคืนให้พวกเจ้าแล้ว แม่นางโปรดเมตตาปรานี ให้ข้ามีชีวิตรอดด้วย ใครบ้างที่ชีวิตไม่ลำบาก ไยต้องทำให้ลำบากใจด้วย”ดวงตากลมโตของอินชิงเสวียนนิ่งขึง มองไปยังเฟิงเอ้อร์เหนียงจากระยะไกล“เถ้าแก่เนี้ยมีทักษะวรยุทธ์ขนาดนี้
“ทำไมน้องหญิงใหญ่ถึงมองที่นี่แบบนี้ล่ะ”อินปู้อวี่ยังหนุ่มยังแน่น เพียงไม่นานก็ทำความสะอาดหิมะข้างหลุมศพได้พอสมควรแล้วเมื่อเห็นอินชิงเสวียนจ้องมองที่หลุมศพ นางก็ถามอย่างไม่เข้าใจอินชิงเสวียนอึกอัก และพูดว่า “ในหลุมศพของท่านแม่...มีเพียงร่างเท่านั้นหรือ”อินปู้อวี่โพล่งตอบมาง่ายๆ “ใช่สิ ท่านพ่อเราเป็นขุนนางสุจริต จะมีทรัพย์สมบัติมากมายฝังไปพร้อมกับท่านแม่ได้อย่างไร”อินชิงเสวียนหน้าแดง แม้ว่านางจะรู้ว่าอินปู้อวี่ไม่มีเจตนาอื่นใด แต่นางก็ยังคงรู้สึกผิด ราวกับว่าตัวเองมีเจตนาซ่อนเร้นอินปู้อวี่ส่งพลั่วเหล็กกลับคืน“น้องหญิงใหญ่เอากลับไปสิ”“ไม่ต้องหรอก พี่รองเก็บไว้เถอะ ไม่ใช่ของมีค่าอะไร ไม่มีเหล็กมากมายเพียงนั้น ไม่นับวาเป็นของที่แอบมีไว้ในครอบครอง”“ได้จริงหรือ”อินปู้อวี่ชอบพลั่วเหล็กนี้มาก ใช้ของสิ่งนี้ตักหิมะ ง่ายกว่าใช้ไม้ตักหิมะมาก“อืม”เมื่อมองไปยังอินปู้อวี่ที่ดูเซ่อซ่า อินชิงเสวียนก็ยิ้ม แล้วขึ้นไปบนหลังม้าครั้นแล้วสองพี่น้องก็เดินออกมาจากตรอกเส้นเล็ก และเดินตามผู้คนที่หลั่งไหลเข้าไปในประตูเมืองพอมาถึงประตูจวนตระกูลอิน อินชิงเสวียนก็หยุดม้าอินปู้อวี่ถาม “น้
อินชิงเสวียนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “พาไปเถอะ บางทีอาจจะมีประโยชน์บ้าง”“ได้ เอาตามที่เจ้าว่า”ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็คลานออกจากเตียง“อากาศหนาวมากขนาดนี้ แม้แต่เครื่องทำความร้อนหรือเครื่องปรับอากาศก็ไม่มี แย่มากจริงๆ ที่เป่ยไห่คงไม่หนาวขนาดนี้นะ ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะหนาวตายก่อนที่จะไปถึงที่นั่นด้วยซ้ำ”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ พูดว่า “คงไม่หรอก หากทะเลเป่ยไห่เป็นน้ำแข็ง คนตงหลิวพวกนั้นคงไม่ต้องทุ่มเทความพยายามขนาดนี้”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยขึ้นอีก“เจ้าคิดว่าคนพวกนั้น ทำไมต้องมาที่จงหยวนด้วยล่ะ”“ยังต้องถามอีกหรือ ไม่ได้ยินหวังซุ่นบอกหรือว่าเกาะของพวกเขาไม่ใหญ่ ต้องเป็นเพราะมีทรัพยากรน้อยเกินไป จึงต้องการขยายอาณาเขตมาถึงที่นี่ แต่ถ้าคนพวกนั้นเป็นวิชานินจากันหมด กลัวว่าจะจัดการไม่ง่าย”เย่จิ่งหลานตบต้นขาด้วยสีหน้าเสียดาย แล้วพูดว่า “แม่งเอ๊ย ยังขาดการผ่าตัดที่สมบูรณ์แบบอีกครั้งหนึ่ง ข้าถึงจะแลกปืนได้ ถ้าพบคนป่วยหนักระหว่างทาง อย่าลืมให้เวลาข้าสักพัก ให้ข้าช่วยเหลือพวกเขาก่อนนะ”อินชิงเสวียนตอบอืม แล้วก็นึกถึงคะแนนสะสมของตัวเองนานแล้วที่คะแนนสะสม
“ไม่คาดคิดว่าหวนเอ๋อร์ที่ฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี แต่สุดท้ายก็ยังถูกพิณการเวกแว้งกัดเอา”น้ำเสียงของชายชราแผ่วต่ำ น้ำเสียงเจือความไม่เต็มใจเล็กน้อยสตรีทางขวากระซิบ “ถ้าศิษย์พี่หญิงเฟิ่งอี๋ไม่ลงเขา ก็คงไม่...”ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น ในโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า นางเสียชีวิตเพราะคลอดลูกของลิ่นเซียว นี่เป็นชะตากรรมของนาง ตอนนี้หวนเอ๋อร์เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถบรรเลงพิณการเวกได้ จะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยนาง ข้าพาตัวเย่จิ่งอวี้มาแล้ว อยู่ในห้องปีกตะวันตก เจ้าสองคนไปเอาเลือดของเขาออกมาโดยด่วน อย่าลืมว่าต้องเอามาด้วยจำนวนที่พอเหมาะ อย่าทำให้ตายในคราวเดียว ข้าจะไปหาหมอเทวดาหนิง”ร่างของชายชราหายวับไปจากที่เดิมทันทีสตรีทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่จะไปยังห้องปีกตะวันตก ทันทีที่เข้าไปในประตูก็เห็นเย่จิ่งอวี้นอนอยู่บนพื้น“นี่คือลูกชายของศิษย์พี่หวนหรือ”สตรีในชุดสีชมพูทางด้านซ้ายจ้องมองเย่จิ่งอวี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสตรีในชุดสีเขียวทางขวาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ช่างเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาจริงๆ นี่คือฮ่องเต้น้อยคนปัจจุบัน
“เกิดอะไรขึ้น”สตรีคนหนึ่งที่สวมกระโปรงคาดอกสีแดงเข้มเดินออกจากห้องข้างๆ โดยที่ในมือถือชามยาอยู่สตรีสองคนหันกลับอย่างรวดเร็ว“พี่ฮวาเชียน คุณชายแซ่เย่หนีหายไปแล้ว”ใบหน้าของฮวาเชียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย“อะไรนะ เจ้าสำนักจับกุมฮ่องเต้น้อยจริงๆ หรือ “สตรีในชุดสีชมพูพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าสำนักเพิ่งกลับมา วานให้พวกเราไปเอาเลือดคุณชายน้อยเย่ ไม่นึกว่าจู่ๆ เขาก็ตื่นขึ้น พังประตูแล้ววิ่งหนีไป”ฮวาเชียนถามอย่างร้อนรน “เจ้าสำนักล่ะ”“ไปหาหมอเทวดาหนิง พี่ฮวาเชียน ควรทำอย่างไรดี”หญิงสาวในชุดสีเขียวกังวลมากจนแทบจะร้องไห้ฮวาเชียนรีบส่งชามยาในมือให้กับหญิงสาวในชุดสีเขียว“พวกเจ้าป้อนยาชามนี้ให้ผู้คุมตรา ข้าจะออกไปดู ต้องปกป้องผู้คุมตราให้ปลอดภัยนะ”“เจ้าค่ะ”ทั้งสองตอบพร้อมกัน และเดินเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็วฮวาเชียนใช้วิชาตัวเบา เหาะเหินไปตามตึกในหอเมฆมืดมนขนาดมหึมาแผ่ปกคลุมชายฝั่งทะเลเป่ยไห่ ท้องนภาปราศจากแสงเดือนแสงดาว เอื้อมมืออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่นิ้วเดียวแม้ว่าเมืองนี้จะไม่ใหญ่นัก แต่ทางด้านซ้ายก็ล้อมรอบด้วยภูเขา ด้านหน้าติดทะเล การจะหาใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยฮวาเชียนหยุ
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดหวานๆ ของฮ่องเต้ใจโฉด หวนเอ๋อร์คงไม่ติดตามเขาเข้าวัง ถ้าเขาดีกับหวนเอ๋อร์ก็คงไม่เป็นไร แต่ฮ่องเต้ใจโฉดมีนางสนมมากมาย ได้ใหม่ก็ลืมเก่าหลังจากทราบว่าเซี่ยวอิ๋นหวนเป็นทุกข์ไร้สุขอยู่ในวังตลอดทั้งวัน ป่วยหนักก็ไม่ยอมรักษา เจ้าสำนักเซี่ยวจึงเดินทางไกลไปยังเมืองต้าโจว พาคนกลับมายังหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เดิมทีเขาต้องการที่จะบดขยี้ฮ่องเต้ใจโฉดกับเจ้าเด็กเปรตเย่จิ่งอวี้ให้ตาย แต่เซี่ยวอิ๋นหวนขอร้องอ้อนวอน ถึงขั้นขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย เจ้าสำนักเซี่ยวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้โชคดีที่วันนั้นตัวเองมีใจเมตตา ไว้ชีวิตเจ้าเด็กเปรตนั่น ไม่เช่นนั้นหวนเอ๋อร์คงจะ...เมื่อนึกถึงตรงนี้ ใบหน้าของเจ้าสำนักเซี่ยวก็แสดงความเกรี้ยวกราดขึ้นอีกเจ้าเด็กเปรตแซ่เย่กล้าหนีไป หากจับเขาได้ จะต้องทำให้เขาเจ็บปวดทรมานร่างกายแน่ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ ฮวาเชียนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“ฮวาเชียนคารวะเจ้าสำนัก”เจ้าสำนักเซี่ยวนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง แล้วถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “มีข่าวของเจ้าเด็กเปรตนั่นแล้ว?”ฮวาเชียนก้มศีรษะลง “ไม่มีเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวแค่นเสียงหึและพูดว่า “งั้นก็
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล