อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เหมือนมีคนจ้องข้าอยู่”อินปู้อวี่ขยับเท้าเล็กน้อยโผบินขึ้นหลังคา เมื่อมองไปรอบๆ ก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีใครเลยนะ?”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“ข้าอาจมองผิดพลาดไป เฝ้าพี่ใหญ่ไว้ให้ดี ข้าจะไปดูที่โถงด้านหน้า”อินปู้อวี่หัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก“น้องใหญ่วางใจได้ ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้ว สองวันนี้ข้าจะดูแลเขาให้ดี”อินชิงเสวียนพยักหน้า และพูดกำชับอีกว่า “อาซือหลานยังไม่ตาย เขาจะมาถึงเมืองหลวงตอนไหนก็ย่อมได้ คนคนนี้มีแผนการซับซ้อน พี่และท่านพ่อต้องระวังไว้ให้ดีที่สุด”“ข้ารู้แล้ว”อินปู้อวี่ตอบรับอย่างอารมณ์ดีตอนนี้พี่ใหญ่หายดีแล้ว ครอบครัวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันจริงๆ เสียทีขณะเดียวกันนั้น ในตรอกที่ไม่ไกลมากนักคนตัวเตี้ยหลายคน หน้าตาอัปลักษณ์ กำลังรวมตัวกันและพูดภาษาที่ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจหนึ่งคนในนั้นชี้ไปที่ตระกูลอิน อีกหลายคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หนึ่งคนในนั้นก็หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมา และทันทีที่มีควันลอยขึ้นมา คนคนนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับคนที่เหลือต่างมองหน้ากัน และหายไปในฝูงคนตระกูลอินอินชิงเสวียนเดินมายังบ้านส่วนหน้าอิน
“ขอบคุณลุงต่ง”อินชิงเสวียนพูดขอบคุณอย่างมีมารยาท อย่างไรเขาก็เป็นผู้รับใช้เก่าแก่ที่ภักดีของตระกูลอิน นางเคยได้ยินซูหมิงหลานเล่าว่า เหลาต่งเคยเผชิญอันตรายเพื่อปกป้องตระกูลเอาไว้ นางจึงเคารพเขามากเหลาต่งยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ขี่รถม้าออกไปอินชิงเสวียนจึงพาจังอวี้จิ่นตรงไปที่ตำหนักจินหวูเมื่อเห็นดอกไม้หลากหลายชนิดในวังที่มีสีเหลืองอร่ามแวววาว จังอวี้จิ่นก็ตื่นตาตื่นใจอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดว่าพระราชวังจะงดงามเช่นนี้ อาคารสีสันสวยงาม ด้านบนแกะสลักรูปมังกร นกฟีนิกซ์ ดอกไม้และนกต่างๆ เอาไว้ ซึ่งดูหรูหรากว่าบ้านในหมู่บ้านมากสองนายบ่าวมาถึงตำหนักจินหวูอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเสี่ยวหนานเฟิงยายหลี่มองเห็นอินชิงเสวียน จึงรีบออกมาต้อนรับ“เหนียงเหนียง ท่านกลับมาแล้ว แม่นางผู้นี้คือ...”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา และหอมลงบนใบหน้าที่อวบอ้วนของเขา“นี่คือเด็กสาวที่ข้าช่วยเอาไว้ที่ตลาด บอกอวิ๋นฉ่ายหาเสื้อผ้าที่นางสามารถสวมใส่ได้ให้นางเปลี่ยน สอนมารยาทในวังแก่นาง ข้าจะเข้าห้องไปพักเสียหน่อย ไม่ต้องเข้ามารับใช้”ยายหลี่เข้าใจในทันที เหนียงเหนียงอยา
จูอวี้เหยียนตกใจเล็กน้อย“ท่านจะเอากู่แม่ไปทำอะไร?”อินชิงเสวียนพูดเสียงเรียบ “นี่คือเรื่องของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”จูอวี้เหยียนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง และถามเย้ยหยันว่า “พิษกู่ของเย่จิ่งอวี้ยังไม่ได้แก้ใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “กู่แม่อยู่ในหัวใจของเจ้า แก้แล้วหรือไม่ เจ้าน่าจะรู้ชัดเจนกว่าข้า”จูอวี้เหยียนกัดฟันกรามกรอดๆ และถามว่า “ท่านคิดจะทำสิ่งใด?”“ข้าขอพูดอีกรอบว่า นี่คือเรื่องของข้า เจ้าจะยินยอมหรือไม่”อินชิงเสวียนพูดจบก็หยิบเม็ดยาที่ห่อด้วยกล่องสีขาวออกจากเสื้อพูดกับผู้คุมคุกหลวงว่า “ให้นางกินลงไป”ตอนนี้ฟางรั่วก็ถูกจับแล้ว หมากตัวนี้ของนางไร้ประโยชน์เสียแล้ว ไม่ว่าวันนี้ต้องใช้วิธีการใด นางก็ต้องเอากู่เสน่หามาไว้ในมือให้ได้จูอวี้เหยียนลนลานในทันที“ท่านให้ข้ากินอะไรเข้าไป?”นางพยายามส่ายหัวไปมา แต่มือและเท้าถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้ ไม่มีทางที่จะหลุดออกไปได้ จึงถูกบังคับยัดเข้าไปในปากอินชิงเสวียนมองนางแล้วพูดว่า “นี่คือยาพิษที่ข้าค้นคว้ามาด้วยตัวเอง หากไม่มีการแก้พิษ หลังจากนี้อีกสามวันจะเปื่อยพุพองไปทั่วทั้งร่างกายจนตาย สุดท้ายก็เละเป็นกอ
จูอวี้เหยียนพยายามหันหน้ามามอง และตะโกนอย่างยากลำบาก “ฝ่า… บาท...”เย่จิ่งอวี้สวมชุดคลุมสีเขียวเข้ม เดินเข้ามาจากด้านนอกอินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นพอดี ทั้งสองสบตากันกลางอากาศเพียงครู่เดียว และต่างคนต่างหลบสายตากันสายตาของเย่จิ่งอวี้มองไปที่จูอวี้เหยียนด้วยความเย็นชา พูดออกมาทีละคำว่า “เจ้าปลอมตัวเป็นสาวรับใช้เข้ามาในวัง วางยาพิษหนอนกู่แก่ข้า สมควรตายอย่างยิ่ง และยังกล้าพูดจาเพ้อเจ้อ ต่อให้กุ้ยเฟยไว้ชีวิตเจ้าในวันนี้ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ทหาร จับนังผู้หญิงชั่วร้ายไปลงโทษด้วยแส้เกลือ”แส้เกลือก็คือแส้เหล็กที่อาบน้ำเกลือเข้มข้น และตัวแส้ก็มีหนามคม เป็นการลงโทษของพระราชวังที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ว่าจะมีรสชาติอย่างไรเมื่อถูกฟาดลงบนร่างกายจูอวี้เหยียนถูกขังไว้ในคุกหลวงตลอดสองวันนี้ นางก็เคยพบเห็น เมื่อนึกถึงเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกลงโทษ ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้อินชิงเสวียนปล่อยมือ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องที่สุดเพคะ ผู้หญิงชั่วร้ายเช่นนี้ สมควรตายอย่างทุกข์ทรมาน”ผู้คุมเรือนจำหิ้วจูอวี้เหยียนลุกขึ้นมา ใบหน้าของจูอวี้เหยียนซีดขาวราวกับกระ
“กฎหมายของต้าโจมเข้มงวดมาโดยตลอด หากคนในเชื้อพระวงศ์ฝ่าฝืนกฎหมายก็มีความผิดเทียบเท่าราษฎร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูอวี้เหยียน เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจหรอกเพคะ”เมื่อเห็นใบหน้าที่ชอบธรรมของอินชิงเสวียน เย่จั้นยิ้มและพยักหน้า“ดี ในเมื่อกู่แม่เข้ามาอยู่ในร่างกายของกุ้ยเฟยแล้ว เชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ข้าและเจ้าควรไปยอมรับผิดต่อฝ่าบาทหรือไม่”“เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องตามข้ามาที่ตำหนักจินหวูเถอะเพคะ”เย่จั้นพยักหน้า และเดินไปกับอินชิงเสวียน ตรงไปยังตำหนักจินหวู...ตระกูลอินอินจ้งสั่งให้คนแก้มัดอินสิงอวิ๋น และป้อนข้าวต้มให้เขาแม้อินสิงอวิ๋นจะกินอาหาร แต่สายตายังเต็มไปด้วยความระแวงอินจ้งรู้ว่าลูกชายคนโตสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้จึงทำได้เพียงระมัดระวัง และค่อยเป็นค่อยไป“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นท่านพ่อของเจ้าจริงๆ นี่คืออินปู้อวี่ น้องรองของเจ้า เจ้าชื่อว่าอินสิงอวิ๋น”เขานั่งอยู่ริมเตียงนอน พูดด้วยสีหน้าที่รักใคร่อินสิงอวิ๋นมองเขา ไม่พูดจา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจอินจ้งพูดอีกว่า “ดูน้องชายเจ้าสิ แม้ว่าพวกเจ้าสองคนมีนิสัยแตกต่างกัน แต่กลับมีรูปลักษณ์ค
หลัวจากที่อาซือหลานไปแล้ว อูเอินก็จับไหล่ของน้องสาว และพูดด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง “เป่าเล่อเอ่อร์ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของเขา และห้ามไปกับเขาโดยเด็ดขาด อาซือหลานมีนิสัยอย่างไร เจ้าและข้าต่างก็รู้ดี เจ้าห้ามเชื่อใจเขา”เป่าเล่อเอ่อร์พยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าไม่เชื่อเขาหรอก”อูเอินลูบศีรษะของน้องสาวด้วยความรักและเอ็นดู จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”อาซือหลานยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก เขาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง และมืออีกข้างกำลังโบกพัดพับ ร่างกายที่สูงเพรียวประกอบกับใบหน้าที่หล่อเหลา ซึ่งสามารถทำให้ผู้หญิงใจสั่นได้จริงๆไม่มีผู้หญิงคนใดในเจียงวูที่ไม่อยากแต่งงานกับอาซือหลานอูเอินกลับรู้แจ้งว่า นี่คืออสรพิษที่งดงามเพียงเปลือกนอก อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ทั้งโลภทั้งโหดเหี้ยม“เจ้ารอข้าอยู่งั้นหรือ?”อูเอินชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง และเดินมายังด้านหน้าของอาซือหลานอาซือหลานอมยิ้มที่มุมปาก ไฝที่อยู่ใต้ตายิ่งเห็นเด่นชัดขึ้น“เหตุใดจึงไม่ยอมให้เป่าเล่อเอ่อร์ไปกับข้า?”อูเอินพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว ข้าไม่ต้องการให้นางไปจากเจีย
ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนหยุดอยู่ที่หน้าประตู และพูดกับเย่จั้นว่า “รบกวนท่านอ๋องรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปอธิบายให้ฝ่าบาทฟังก่อน”เย่จั้นถอดหน้ากากออก พยักหน้าพูดว่า “ได้สิ”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปในตำหนัก ทันทีที่เปลี่ยนความคิด เย่จิ่งอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านในตำหนัก“เสวียนเอ๋อร์!”เขาหรี่สายตาคมมองอินชิงเสวียน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยมิติที่ไม่สามารถหนีออกไปได้คือที่ใดกัน เหตุใดเสวียนเอ๋อร์ต้องขังเขาไว้ที่นั่น?อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ต้องถามอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ต้องทดสอบเขาเสียก่อน“ฝ่าบาท หญิงรับใช้หลายคนของเจียงวูกระทำความผิด หม่อมฉันได้จับตัวพวกนางไปที่คุกหลวงชั้นในแล้ว”เมื่อเห็นดวงตากลมโตสีขาวดำชัดเจน เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าหญิงรับใช้ของเจียงวูคือใครหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มจางๆ และพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์เป็นกุ้ยเฟยแห่งวังหลัง แน่นอนว่าเจ้ามีอำนาจในการลงโทษพวกนาง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรายงานข้า”เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนก็สบายใจทันที เย่จิ่งอวี้ไม่ได้พร่ำบ่นอีกแล้ว สติปัญญาของเขาน่าจะเป็นปกติแล้วนางยื่นมือออกมาโค้งคำ
สองพ่อลูกเล่นสนุกกันกว่าหนึ่งชั่วยาม เสี่ยวหนานเฟิงก็เริ่มขยี้ตาเมื่อเห็นลูกชายง่วงนอน อินชิงเสวียนก็รีบอุ้มไปกล่อมนอน เมื่อมองกูลูกชายที่เติบโตอวบอ้วนมากขึ้น อินชิงเสวียนใช้แรงในการอุ้มอย่างมาก เย่จิ่งอวี้จึงรับเจ้าเด็กอ้วนมาอุ้มไว้“ข้าจะเล่านิทานให้เข้าฟัง เสวียนเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สองพ่อลูกจะได้ใกล้ชิดกัน อินชิงเสวียนก็รู้สึกดีใจและผ่อนคลายมาก นางเห็นว่าเย่จิ่งอวี้อุ้มจ้าวเอ๋อร์วางลงบนขา และพูดราวกับกำลังสวดมนต์ “ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง มีพระชราและพระเด็กอยู่ในวัด พระชราพูดกับพระเด็กว่า ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง...”อินชิงเสวียนไร้คำจะพูด คิดว่าตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้คงได้ฟังนิทานแบบนี้มาก่อน ช่างทรมานคนฟังเสียจริงเมื่อฟังวนสองรอบ ก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงพิงลงที่ขอบเตียงและหลับไประหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกเหมือนมีคนมาอุ้มตัวเอง และวางลงบนหมอนเบาๆอินชิงเสวียนเบิกตากว้าง ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีกรอบหน้าชัดเจนทันที“ฝ่าบาท...”เย่จิ่งอวี้ห่มผ้า และพูดราวกับกำลังปลอบลูก “เป็นเด็กดีนะ รีบนอนได้แล้ว หล
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ