“ขอบคุณลุงต่ง”อินชิงเสวียนพูดขอบคุณอย่างมีมารยาท อย่างไรเขาก็เป็นผู้รับใช้เก่าแก่ที่ภักดีของตระกูลอิน นางเคยได้ยินซูหมิงหลานเล่าว่า เหลาต่งเคยเผชิญอันตรายเพื่อปกป้องตระกูลเอาไว้ นางจึงเคารพเขามากเหลาต่งยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ขี่รถม้าออกไปอินชิงเสวียนจึงพาจังอวี้จิ่นตรงไปที่ตำหนักจินหวูเมื่อเห็นดอกไม้หลากหลายชนิดในวังที่มีสีเหลืองอร่ามแวววาว จังอวี้จิ่นก็ตื่นตาตื่นใจอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดว่าพระราชวังจะงดงามเช่นนี้ อาคารสีสันสวยงาม ด้านบนแกะสลักรูปมังกร นกฟีนิกซ์ ดอกไม้และนกต่างๆ เอาไว้ ซึ่งดูหรูหรากว่าบ้านในหมู่บ้านมากสองนายบ่าวมาถึงตำหนักจินหวูอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเสี่ยวหนานเฟิงยายหลี่มองเห็นอินชิงเสวียน จึงรีบออกมาต้อนรับ“เหนียงเหนียง ท่านกลับมาแล้ว แม่นางผู้นี้คือ...”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา และหอมลงบนใบหน้าที่อวบอ้วนของเขา“นี่คือเด็กสาวที่ข้าช่วยเอาไว้ที่ตลาด บอกอวิ๋นฉ่ายหาเสื้อผ้าที่นางสามารถสวมใส่ได้ให้นางเปลี่ยน สอนมารยาทในวังแก่นาง ข้าจะเข้าห้องไปพักเสียหน่อย ไม่ต้องเข้ามารับใช้”ยายหลี่เข้าใจในทันที เหนียงเหนียงอยา
จูอวี้เหยียนตกใจเล็กน้อย“ท่านจะเอากู่แม่ไปทำอะไร?”อินชิงเสวียนพูดเสียงเรียบ “นี่คือเรื่องของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”จูอวี้เหยียนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง และถามเย้ยหยันว่า “พิษกู่ของเย่จิ่งอวี้ยังไม่ได้แก้ใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “กู่แม่อยู่ในหัวใจของเจ้า แก้แล้วหรือไม่ เจ้าน่าจะรู้ชัดเจนกว่าข้า”จูอวี้เหยียนกัดฟันกรามกรอดๆ และถามว่า “ท่านคิดจะทำสิ่งใด?”“ข้าขอพูดอีกรอบว่า นี่คือเรื่องของข้า เจ้าจะยินยอมหรือไม่”อินชิงเสวียนพูดจบก็หยิบเม็ดยาที่ห่อด้วยกล่องสีขาวออกจากเสื้อพูดกับผู้คุมคุกหลวงว่า “ให้นางกินลงไป”ตอนนี้ฟางรั่วก็ถูกจับแล้ว หมากตัวนี้ของนางไร้ประโยชน์เสียแล้ว ไม่ว่าวันนี้ต้องใช้วิธีการใด นางก็ต้องเอากู่เสน่หามาไว้ในมือให้ได้จูอวี้เหยียนลนลานในทันที“ท่านให้ข้ากินอะไรเข้าไป?”นางพยายามส่ายหัวไปมา แต่มือและเท้าถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้ ไม่มีทางที่จะหลุดออกไปได้ จึงถูกบังคับยัดเข้าไปในปากอินชิงเสวียนมองนางแล้วพูดว่า “นี่คือยาพิษที่ข้าค้นคว้ามาด้วยตัวเอง หากไม่มีการแก้พิษ หลังจากนี้อีกสามวันจะเปื่อยพุพองไปทั่วทั้งร่างกายจนตาย สุดท้ายก็เละเป็นกอ
จูอวี้เหยียนพยายามหันหน้ามามอง และตะโกนอย่างยากลำบาก “ฝ่า… บาท...”เย่จิ่งอวี้สวมชุดคลุมสีเขียวเข้ม เดินเข้ามาจากด้านนอกอินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นพอดี ทั้งสองสบตากันกลางอากาศเพียงครู่เดียว และต่างคนต่างหลบสายตากันสายตาของเย่จิ่งอวี้มองไปที่จูอวี้เหยียนด้วยความเย็นชา พูดออกมาทีละคำว่า “เจ้าปลอมตัวเป็นสาวรับใช้เข้ามาในวัง วางยาพิษหนอนกู่แก่ข้า สมควรตายอย่างยิ่ง และยังกล้าพูดจาเพ้อเจ้อ ต่อให้กุ้ยเฟยไว้ชีวิตเจ้าในวันนี้ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ทหาร จับนังผู้หญิงชั่วร้ายไปลงโทษด้วยแส้เกลือ”แส้เกลือก็คือแส้เหล็กที่อาบน้ำเกลือเข้มข้น และตัวแส้ก็มีหนามคม เป็นการลงโทษของพระราชวังที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ว่าจะมีรสชาติอย่างไรเมื่อถูกฟาดลงบนร่างกายจูอวี้เหยียนถูกขังไว้ในคุกหลวงตลอดสองวันนี้ นางก็เคยพบเห็น เมื่อนึกถึงเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกลงโทษ ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้อินชิงเสวียนปล่อยมือ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องที่สุดเพคะ ผู้หญิงชั่วร้ายเช่นนี้ สมควรตายอย่างทุกข์ทรมาน”ผู้คุมเรือนจำหิ้วจูอวี้เหยียนลุกขึ้นมา ใบหน้าของจูอวี้เหยียนซีดขาวราวกับกระ
“กฎหมายของต้าโจมเข้มงวดมาโดยตลอด หากคนในเชื้อพระวงศ์ฝ่าฝืนกฎหมายก็มีความผิดเทียบเท่าราษฎร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูอวี้เหยียน เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจหรอกเพคะ”เมื่อเห็นใบหน้าที่ชอบธรรมของอินชิงเสวียน เย่จั้นยิ้มและพยักหน้า“ดี ในเมื่อกู่แม่เข้ามาอยู่ในร่างกายของกุ้ยเฟยแล้ว เชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ข้าและเจ้าควรไปยอมรับผิดต่อฝ่าบาทหรือไม่”“เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องตามข้ามาที่ตำหนักจินหวูเถอะเพคะ”เย่จั้นพยักหน้า และเดินไปกับอินชิงเสวียน ตรงไปยังตำหนักจินหวู...ตระกูลอินอินจ้งสั่งให้คนแก้มัดอินสิงอวิ๋น และป้อนข้าวต้มให้เขาแม้อินสิงอวิ๋นจะกินอาหาร แต่สายตายังเต็มไปด้วยความระแวงอินจ้งรู้ว่าลูกชายคนโตสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้จึงทำได้เพียงระมัดระวัง และค่อยเป็นค่อยไป“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นท่านพ่อของเจ้าจริงๆ นี่คืออินปู้อวี่ น้องรองของเจ้า เจ้าชื่อว่าอินสิงอวิ๋น”เขานั่งอยู่ริมเตียงนอน พูดด้วยสีหน้าที่รักใคร่อินสิงอวิ๋นมองเขา ไม่พูดจา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจอินจ้งพูดอีกว่า “ดูน้องชายเจ้าสิ แม้ว่าพวกเจ้าสองคนมีนิสัยแตกต่างกัน แต่กลับมีรูปลักษณ์ค
หลัวจากที่อาซือหลานไปแล้ว อูเอินก็จับไหล่ของน้องสาว และพูดด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง “เป่าเล่อเอ่อร์ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของเขา และห้ามไปกับเขาโดยเด็ดขาด อาซือหลานมีนิสัยอย่างไร เจ้าและข้าต่างก็รู้ดี เจ้าห้ามเชื่อใจเขา”เป่าเล่อเอ่อร์พยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าไม่เชื่อเขาหรอก”อูเอินลูบศีรษะของน้องสาวด้วยความรักและเอ็นดู จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”อาซือหลานยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก เขาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง และมืออีกข้างกำลังโบกพัดพับ ร่างกายที่สูงเพรียวประกอบกับใบหน้าที่หล่อเหลา ซึ่งสามารถทำให้ผู้หญิงใจสั่นได้จริงๆไม่มีผู้หญิงคนใดในเจียงวูที่ไม่อยากแต่งงานกับอาซือหลานอูเอินกลับรู้แจ้งว่า นี่คืออสรพิษที่งดงามเพียงเปลือกนอก อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ทั้งโลภทั้งโหดเหี้ยม“เจ้ารอข้าอยู่งั้นหรือ?”อูเอินชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง และเดินมายังด้านหน้าของอาซือหลานอาซือหลานอมยิ้มที่มุมปาก ไฝที่อยู่ใต้ตายิ่งเห็นเด่นชัดขึ้น“เหตุใดจึงไม่ยอมให้เป่าเล่อเอ่อร์ไปกับข้า?”อูเอินพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว ข้าไม่ต้องการให้นางไปจากเจีย
ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนหยุดอยู่ที่หน้าประตู และพูดกับเย่จั้นว่า “รบกวนท่านอ๋องรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปอธิบายให้ฝ่าบาทฟังก่อน”เย่จั้นถอดหน้ากากออก พยักหน้าพูดว่า “ได้สิ”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปในตำหนัก ทันทีที่เปลี่ยนความคิด เย่จิ่งอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านในตำหนัก“เสวียนเอ๋อร์!”เขาหรี่สายตาคมมองอินชิงเสวียน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยมิติที่ไม่สามารถหนีออกไปได้คือที่ใดกัน เหตุใดเสวียนเอ๋อร์ต้องขังเขาไว้ที่นั่น?อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ต้องถามอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ต้องทดสอบเขาเสียก่อน“ฝ่าบาท หญิงรับใช้หลายคนของเจียงวูกระทำความผิด หม่อมฉันได้จับตัวพวกนางไปที่คุกหลวงชั้นในแล้ว”เมื่อเห็นดวงตากลมโตสีขาวดำชัดเจน เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าหญิงรับใช้ของเจียงวูคือใครหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มจางๆ และพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์เป็นกุ้ยเฟยแห่งวังหลัง แน่นอนว่าเจ้ามีอำนาจในการลงโทษพวกนาง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรายงานข้า”เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนก็สบายใจทันที เย่จิ่งอวี้ไม่ได้พร่ำบ่นอีกแล้ว สติปัญญาของเขาน่าจะเป็นปกติแล้วนางยื่นมือออกมาโค้งคำ
สองพ่อลูกเล่นสนุกกันกว่าหนึ่งชั่วยาม เสี่ยวหนานเฟิงก็เริ่มขยี้ตาเมื่อเห็นลูกชายง่วงนอน อินชิงเสวียนก็รีบอุ้มไปกล่อมนอน เมื่อมองกูลูกชายที่เติบโตอวบอ้วนมากขึ้น อินชิงเสวียนใช้แรงในการอุ้มอย่างมาก เย่จิ่งอวี้จึงรับเจ้าเด็กอ้วนมาอุ้มไว้“ข้าจะเล่านิทานให้เข้าฟัง เสวียนเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สองพ่อลูกจะได้ใกล้ชิดกัน อินชิงเสวียนก็รู้สึกดีใจและผ่อนคลายมาก นางเห็นว่าเย่จิ่งอวี้อุ้มจ้าวเอ๋อร์วางลงบนขา และพูดราวกับกำลังสวดมนต์ “ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง มีพระชราและพระเด็กอยู่ในวัด พระชราพูดกับพระเด็กว่า ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง...”อินชิงเสวียนไร้คำจะพูด คิดว่าตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้คงได้ฟังนิทานแบบนี้มาก่อน ช่างทรมานคนฟังเสียจริงเมื่อฟังวนสองรอบ ก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงพิงลงที่ขอบเตียงและหลับไประหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกเหมือนมีคนมาอุ้มตัวเอง และวางลงบนหมอนเบาๆอินชิงเสวียนเบิกตากว้าง ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีกรอบหน้าชัดเจนทันที“ฝ่าบาท...”เย่จิ่งอวี้ห่มผ้า และพูดราวกับกำลังปลอบลูก “เป็นเด็กดีนะ รีบนอนได้แล้ว หล
หน้าประตูวัง กวนเซี่ยวคุกเข่าตัวตรงอินชิงเสวียนมองเห็นแต่ไกลๆ และรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากลูกผู้ชายจะไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ แต่กวนเซี่ยวกลับยอมทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งแจ้นมาคุกเข่าที่หน้าประตูวัง เรียกได้ว่าขายหน้าตระกูลกวนจนหมดสิ้นเมื่อยิ่งนึกถึงที่เขาปิดบังตัวตนของฟางรั่ว ในใจก็ยิ่งโกรธเป็นไฟอินชิงเสวียนรีบเดินจ้ำหลายก้าว และมาถึงด้านหน้าของกวนเซี่ยว พร้อมพูดเสียงแข็งว่า “เจ้าเข้ามาในพระราชวัง ท่านอาจารย์รู้หรือไม่?”กวนเซี่ยวเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นอินชิงเสวียน ทันใดนั้นแสงริบหรี่ก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา“พระนางกุ้ยเฟย ขอพระองค์โปรดเมตตาและไว้ชีวิตฟางรั่วด้วย”เมื่อเห็นท่าทางของกวนเซี่ยว อินชิงเสวียนก็ยิ่งรำคาญใจ นี่คือลูกหลานของแม่ทัพนายพล เหตุใดจึงไร้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้นางมองกวนเซี่ยวจากที่สูง และพูดอย่างเข้มงวดว่า “กวนเซี่ยว ในเมื่อเจ้ารู้ตัวตนของฟางรั่วแล้ว ยังคิดจะขอความเมตตาให้นาง เจ้าไม่กลัวว่าจอมพลเฒ่ากวนจะต้องแบกรับชื่อเป็นผู้สมคบกับศัตรูและกบฏต่อประเทศชาติงั้นหรือ? ท่านพ่อและท่านลุงของเจ้าต่างก็ปกบ้านป้องเมือง ตายในสนามรบ วันนี้เจ้ากลับขอความเมตตาให้แก่ศัตร
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี