ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนหยุดอยู่ที่หน้าประตู และพูดกับเย่จั้นว่า “รบกวนท่านอ๋องรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปอธิบายให้ฝ่าบาทฟังก่อน”เย่จั้นถอดหน้ากากออก พยักหน้าพูดว่า “ได้สิ”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปในตำหนัก ทันทีที่เปลี่ยนความคิด เย่จิ่งอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านในตำหนัก“เสวียนเอ๋อร์!”เขาหรี่สายตาคมมองอินชิงเสวียน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยมิติที่ไม่สามารถหนีออกไปได้คือที่ใดกัน เหตุใดเสวียนเอ๋อร์ต้องขังเขาไว้ที่นั่น?อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ต้องถามอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ต้องทดสอบเขาเสียก่อน“ฝ่าบาท หญิงรับใช้หลายคนของเจียงวูกระทำความผิด หม่อมฉันได้จับตัวพวกนางไปที่คุกหลวงชั้นในแล้ว”เมื่อเห็นดวงตากลมโตสีขาวดำชัดเจน เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าหญิงรับใช้ของเจียงวูคือใครหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มจางๆ และพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์เป็นกุ้ยเฟยแห่งวังหลัง แน่นอนว่าเจ้ามีอำนาจในการลงโทษพวกนาง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรายงานข้า”เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนก็สบายใจทันที เย่จิ่งอวี้ไม่ได้พร่ำบ่นอีกแล้ว สติปัญญาของเขาน่าจะเป็นปกติแล้วนางยื่นมือออกมาโค้งคำ
สองพ่อลูกเล่นสนุกกันกว่าหนึ่งชั่วยาม เสี่ยวหนานเฟิงก็เริ่มขยี้ตาเมื่อเห็นลูกชายง่วงนอน อินชิงเสวียนก็รีบอุ้มไปกล่อมนอน เมื่อมองกูลูกชายที่เติบโตอวบอ้วนมากขึ้น อินชิงเสวียนใช้แรงในการอุ้มอย่างมาก เย่จิ่งอวี้จึงรับเจ้าเด็กอ้วนมาอุ้มไว้“ข้าจะเล่านิทานให้เข้าฟัง เสวียนเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สองพ่อลูกจะได้ใกล้ชิดกัน อินชิงเสวียนก็รู้สึกดีใจและผ่อนคลายมาก นางเห็นว่าเย่จิ่งอวี้อุ้มจ้าวเอ๋อร์วางลงบนขา และพูดราวกับกำลังสวดมนต์ “ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง มีพระชราและพระเด็กอยู่ในวัด พระชราพูดกับพระเด็กว่า ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง...”อินชิงเสวียนไร้คำจะพูด คิดว่าตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้คงได้ฟังนิทานแบบนี้มาก่อน ช่างทรมานคนฟังเสียจริงเมื่อฟังวนสองรอบ ก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงพิงลงที่ขอบเตียงและหลับไประหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกเหมือนมีคนมาอุ้มตัวเอง และวางลงบนหมอนเบาๆอินชิงเสวียนเบิกตากว้าง ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีกรอบหน้าชัดเจนทันที“ฝ่าบาท...”เย่จิ่งอวี้ห่มผ้า และพูดราวกับกำลังปลอบลูก “เป็นเด็กดีนะ รีบนอนได้แล้ว หล
หน้าประตูวัง กวนเซี่ยวคุกเข่าตัวตรงอินชิงเสวียนมองเห็นแต่ไกลๆ และรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากลูกผู้ชายจะไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ แต่กวนเซี่ยวกลับยอมทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งแจ้นมาคุกเข่าที่หน้าประตูวัง เรียกได้ว่าขายหน้าตระกูลกวนจนหมดสิ้นเมื่อยิ่งนึกถึงที่เขาปิดบังตัวตนของฟางรั่ว ในใจก็ยิ่งโกรธเป็นไฟอินชิงเสวียนรีบเดินจ้ำหลายก้าว และมาถึงด้านหน้าของกวนเซี่ยว พร้อมพูดเสียงแข็งว่า “เจ้าเข้ามาในพระราชวัง ท่านอาจารย์รู้หรือไม่?”กวนเซี่ยวเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นอินชิงเสวียน ทันใดนั้นแสงริบหรี่ก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา“พระนางกุ้ยเฟย ขอพระองค์โปรดเมตตาและไว้ชีวิตฟางรั่วด้วย”เมื่อเห็นท่าทางของกวนเซี่ยว อินชิงเสวียนก็ยิ่งรำคาญใจ นี่คือลูกหลานของแม่ทัพนายพล เหตุใดจึงไร้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้นางมองกวนเซี่ยวจากที่สูง และพูดอย่างเข้มงวดว่า “กวนเซี่ยว ในเมื่อเจ้ารู้ตัวตนของฟางรั่วแล้ว ยังคิดจะขอความเมตตาให้นาง เจ้าไม่กลัวว่าจอมพลเฒ่ากวนจะต้องแบกรับชื่อเป็นผู้สมคบกับศัตรูและกบฏต่อประเทศชาติงั้นหรือ? ท่านพ่อและท่านลุงของเจ้าต่างก็ปกบ้านป้องเมือง ตายในสนามรบ วันนี้เจ้ากลับขอความเมตตาให้แก่ศัตร
ระหว่างทาง อินชิงเสวียนมีสีหน้าเคร่งขรึมเสี่ยวอานจื่อเดินตามหลังนาง และไม่กล้าพูดอะไรหลังจากนั้นสิบห้านาที สองนายบ่าวก็มาถึงห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้กำลังพูดคุยอยู่กับหลี่เต๋อฝู เมื่อขันทีเข้ามารายงาน ก็วางแก้วชาลงและเดินออกมาด้านนอก“ไม่ราบรื่นงั้นหรือ?”เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของอินชิงเสวียนมีความบึ้งตึง เย่จิ่งอวี้จึงเดินลงจากบันไดหินและถามด้วยความห่วงใย“บอกไม่ได้ว่าราบรื่นหรือไม่ราบรื่น เพียงแต่รู้สึกโมโหที่กวนเซี่ยวหลงงมงาย และกิริยาท่าทางของทายาทแม่ทัพนายพล”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ผู้คนมักทำเรื่องที่บ้าบิ่นในช่วงเวลาวัยหนุ่มสาว กวนเซี่ยวอยู่ในวัยที่เริ่มแตกหน่อ เขารักหญิงสาวเป็นครั้งแรก ก็คงลุ่มหลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเสียสติไปชั่วขณะ”อินชิงเสวียนกลอกตาให้เขาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทเข้าใจผู้ชายดีทีเดียวนะเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและจับมือของนาง พร้อมกับศีรษะพูดว่า “นั่นเป็นเพราะว่าตอนนี้ข้าเป็นเหมือนกับเขา แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือผู้หญิงที่ข้ารักเป็นผู้หญิงที่อัศจรรย์ ฉลาดและจิตใจกว้างขวาง สามารถช่วยเหลือประชาชนมากมายจากปัญหาความยากลำบาก นี่ก็คือความโชคดีของข้า”คำสารภ
“อยากออกไปเที่ยวเล่นงั้นหรือ?”อินชิงเสวียนเลิกตากลมโตมองไปที่เย่ไห่ถังไม่รู้ว่าเย่ไห่ถังกำลังคิดเรื่องอะไร ใบหน้าของนางแดงขึ้นเล็กน้อยพูดเสียงเบาว่า “ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยออกไปนอกวังเลย หากว่าเสด็จพี่สะใภ้สะดวก... ข้าก็อยากออกไปเที่ยวบ้าง”อินชิงเสวียนเข้าใจเป็นอย่างมากแม้ชีวิตในพระราชวังจะดีพร้อม แต่หากเทียบกับโลกภายนอกแล้ว สิ่งที่ขาดหายไปคืออิสรเสรี เย่ไห่ถังอยากออกไปข้างนอกถือเป็นเรื่องปกติ“ข้าจะลองดู แต่ว่าเจ้าอย่าได้คาดหวังมากเกินไปล่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เย่ไห่ถังก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพี่สะใภ้ ขอบพระทัยเสด็จพี่สะใภ้”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “รอให้เสด็จพี่ของเจ้ารับปากก่อน เจ้าค่อยขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย”เย่ไห่ถังดึงแขนของอินชิงเสวียนอีกครั้ง และแกว่งไปมาราวกับเด็ก“เสด็จพี่โปรดปรานเสด็จพี่สะใภ้มากขนาดนั้น ขอเพียงเสด็จพี่สะใภ้รับปาก เสด็จพี่ต้องเห็นด้วยแน่นอนเพคะ”“การออกจากวังเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรข้าจะช่วยพูดให้แล้วกันนะ”อินชิงเสวียนไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ อย่างไรเสียผู้หญิงในพระราชวังก็ไม่สามารถเดินออกไปได้ตามใจชอบ ส่วนตัวเองนับว่า
ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนกำลังพาเย่ไห่ถังทำเนื้อเสียบไม้ย่าง เย่ไห่ถังเห็นของเหล่านี้เป็นครั้งแรก จึงมีสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างมากสักพักโรยผงยี่หร่า สักพักโรยผงพริก เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อเสียบไม้ น้ำลายก็แทบไหลออกมา“เสด็จพี่สะใภ้เก่งมากจริงๆ คิดวิธีการกินแบบนี้ออกมาได้ด้วย”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ข้าก็เคยเห็นคนอื่นกินมาก่อนเช่นกัน จึงลองทำดูบ้าง ไม้นี้สุกแล้ว องค์หญิงชิมก่อนสิ”เย่ไห่ถังหยิบขึ้นมากัดหนึ่งคำ และพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น “อร่อยมากเลย ข้าไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย”“เจ้าอยากกินตอนไหนก็มาได้เลยนะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าสามารถทำเพื่อองค์หญิงได้เพคะ”อินชิงเสวียนรู้สึกดีต่อเจ้าสาวคนนี้มาโดยตลอด เย่ไห่ถังเกิดในวัง แต่ยังสามารถมีจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้ได้ ถือว่าหาได้ยากมากทีเดียวเย่ไห่ถังพยักหน้าด้วยความดีใจ“ขอบพระทัยเสด็จพี่สะใภ้”“เสด็จพี่สะใภ้ของเจ้าทำของดีอะไรให้เจ้าอีกนะ?”เสียงที่ทุ้มต่ำและนุ่มลึกดังขึ้นที่ด้านหลัง เย่จิ่งอวี้เดินนำหลี่เต๋อฝูมาด้านหน้าเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ เย่ไห่ถังก็รีบหยิบเนื้อย่างขึ้นและโบกไปมา“นี่คือเนื
ณ คุกหลวงฝ่าบาทมาด้วยตัวเอง เหล่าผู้คุมเรือนจำต่างคุกเข่ารอรับเสด็จที่หน้าประตูเย่จิ่งอวี้โบกมือและพูดเสียงเข้มว่า “ต่างก็ลุกขึ้นเถิด นำตัวจูอวี้เหยียนออกมา”ผู้คุมเรือนจำรีบหิ้วจูอวี้เหยียนออกมาทันที และใช้โซ่เหล็กล็อกนางไว้กับเสาหินจูอวี้เหยียนยังคงเชิดหน้าชูคอเช่นเคย และมองอินชิงเสวียนด้วยสายตาที่เยือกเย็น“ข้าให้สิ่งที่พวกเจ้าต้องการไปแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำอะไรอีก?”เย่จิ่งอวี้เดินไปด้านหน้า และพูดเสียงแข็งว่า “เจ้าคนรับใช้ชั้นต่ำ ตอนนี้เจ้าเป็นถึงนักโทษ แต่ยังกล้าจองหองเช่นนี้อีก”จูอวี้เหยียนพูดเสียงฮึดฮัด “แล้วทำไมเล่า?”“อวดดี!”เย่จิ่งอวี้ตะคอกเสียงขรึม พร้อมกับมาด้านหน้าของจูอวี้เหยียนด้วยความว่องไว มือข้างหนึ่งตบที่ศีรษะของนางจูอวี้เหยียนตกใจ“เจ้าจะทำอะไร?”ยังไม่ทันที่นางจะได้ถามคำถามที่สอง นางก็รู้สึกถึงลมปราณที่ทรงพลังไหลพรูจากเหนือศีรษะและตรงไปที่จุดตันเถียน จากนั้นก็รู้สึกว่าจุดตันเถียนว่างเปล่าราวกับถูกดึงออกไป และเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว หนอนกู่รับรู้ถึงการข่มขู่ จึงกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกจูอวี้เหยียนแสดงสีหน้าตกใจ“เจ้า... เจ้าต้องการจะทำอะไร? อ
“อวี้จิ่น เจ้าเป็นอะไร?”อวิ๋นฉ่ายใช้แขนชนนางหนึ่งทีจังอวี้จิ่นตัวสั่นในทันใด“ไม่ ข้าไม่เป็นไร”จังอวี้จิ่นซุกหัวไว้บนขา และไม่พูดอะไรอีกเลยอวิ๋นฉ่ายคิดว่านางง่วงนอน จึงไม่ได้พูดอะไรอีกด้านในห้อง เย่จิ่งอวี้อุ้มอินชิงเสวียนขึ้นมา และวางลงบนเตียงใหญ่ที่ปูด้วยฟูกนุ่มนิ่มเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหล่าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปากด้วยความเขินอาย ขนตาที่เรียวยาวสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องท่าทางเขินอายของเด็กสาวตัวน้อย ทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกอึดอัดในลำคอ และกอดนางอย่างแน่นไว้ในอ้อมอก“เสวียนเอ๋อร์...”เขาเรียกชื่อของนางเบาๆ ริมฝีปากบางเฉียบจรดลงบนใบหน้าเล็กๆ ของนางที่ขาวนวลราวกับเครื่องเคลือบดินเผาเนื้อดีแม้ทั้งสองจะไม่ได้ร่วมหอกันเป็นครั้งแรก แต่อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกเขินอาย และตื่นเต้นอย่างมาก นางรู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้น และการหายใจก็เร็วขึ้นเล็กน้อยมือใหญ่ของเย่จิ่งอวี้สอดเข้าไปใต้ปกคอเสื้อ ความเย็นยะเยือกเพียงเล็กน้อยทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างมาก จึงแอ่นร่างขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามใจได้ และกอดคอของเย่จิ่งอวี้เอาไว้ริมฝีปากของทั้งสองอยู่ใกล้กันเพียงคืบเ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี