จูอวี้เหยียนพยายามหันหน้ามามอง และตะโกนอย่างยากลำบาก “ฝ่า… บาท...”เย่จิ่งอวี้สวมชุดคลุมสีเขียวเข้ม เดินเข้ามาจากด้านนอกอินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นพอดี ทั้งสองสบตากันกลางอากาศเพียงครู่เดียว และต่างคนต่างหลบสายตากันสายตาของเย่จิ่งอวี้มองไปที่จูอวี้เหยียนด้วยความเย็นชา พูดออกมาทีละคำว่า “เจ้าปลอมตัวเป็นสาวรับใช้เข้ามาในวัง วางยาพิษหนอนกู่แก่ข้า สมควรตายอย่างยิ่ง และยังกล้าพูดจาเพ้อเจ้อ ต่อให้กุ้ยเฟยไว้ชีวิตเจ้าในวันนี้ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ทหาร จับนังผู้หญิงชั่วร้ายไปลงโทษด้วยแส้เกลือ”แส้เกลือก็คือแส้เหล็กที่อาบน้ำเกลือเข้มข้น และตัวแส้ก็มีหนามคม เป็นการลงโทษของพระราชวังที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ว่าจะมีรสชาติอย่างไรเมื่อถูกฟาดลงบนร่างกายจูอวี้เหยียนถูกขังไว้ในคุกหลวงตลอดสองวันนี้ นางก็เคยพบเห็น เมื่อนึกถึงเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกลงโทษ ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้อินชิงเสวียนปล่อยมือ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องที่สุดเพคะ ผู้หญิงชั่วร้ายเช่นนี้ สมควรตายอย่างทุกข์ทรมาน”ผู้คุมเรือนจำหิ้วจูอวี้เหยียนลุกขึ้นมา ใบหน้าของจูอวี้เหยียนซีดขาวราวกับกระ
“กฎหมายของต้าโจมเข้มงวดมาโดยตลอด หากคนในเชื้อพระวงศ์ฝ่าฝืนกฎหมายก็มีความผิดเทียบเท่าราษฎร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูอวี้เหยียน เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจหรอกเพคะ”เมื่อเห็นใบหน้าที่ชอบธรรมของอินชิงเสวียน เย่จั้นยิ้มและพยักหน้า“ดี ในเมื่อกู่แม่เข้ามาอยู่ในร่างกายของกุ้ยเฟยแล้ว เชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ข้าและเจ้าควรไปยอมรับผิดต่อฝ่าบาทหรือไม่”“เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องตามข้ามาที่ตำหนักจินหวูเถอะเพคะ”เย่จั้นพยักหน้า และเดินไปกับอินชิงเสวียน ตรงไปยังตำหนักจินหวู...ตระกูลอินอินจ้งสั่งให้คนแก้มัดอินสิงอวิ๋น และป้อนข้าวต้มให้เขาแม้อินสิงอวิ๋นจะกินอาหาร แต่สายตายังเต็มไปด้วยความระแวงอินจ้งรู้ว่าลูกชายคนโตสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้จึงทำได้เพียงระมัดระวัง และค่อยเป็นค่อยไป“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นท่านพ่อของเจ้าจริงๆ นี่คืออินปู้อวี่ น้องรองของเจ้า เจ้าชื่อว่าอินสิงอวิ๋น”เขานั่งอยู่ริมเตียงนอน พูดด้วยสีหน้าที่รักใคร่อินสิงอวิ๋นมองเขา ไม่พูดจา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจอินจ้งพูดอีกว่า “ดูน้องชายเจ้าสิ แม้ว่าพวกเจ้าสองคนมีนิสัยแตกต่างกัน แต่กลับมีรูปลักษณ์ค
หลัวจากที่อาซือหลานไปแล้ว อูเอินก็จับไหล่ของน้องสาว และพูดด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง “เป่าเล่อเอ่อร์ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของเขา และห้ามไปกับเขาโดยเด็ดขาด อาซือหลานมีนิสัยอย่างไร เจ้าและข้าต่างก็รู้ดี เจ้าห้ามเชื่อใจเขา”เป่าเล่อเอ่อร์พยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าไม่เชื่อเขาหรอก”อูเอินลูบศีรษะของน้องสาวด้วยความรักและเอ็นดู จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”อาซือหลานยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก เขาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง และมืออีกข้างกำลังโบกพัดพับ ร่างกายที่สูงเพรียวประกอบกับใบหน้าที่หล่อเหลา ซึ่งสามารถทำให้ผู้หญิงใจสั่นได้จริงๆไม่มีผู้หญิงคนใดในเจียงวูที่ไม่อยากแต่งงานกับอาซือหลานอูเอินกลับรู้แจ้งว่า นี่คืออสรพิษที่งดงามเพียงเปลือกนอก อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ทั้งโลภทั้งโหดเหี้ยม“เจ้ารอข้าอยู่งั้นหรือ?”อูเอินชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง และเดินมายังด้านหน้าของอาซือหลานอาซือหลานอมยิ้มที่มุมปาก ไฝที่อยู่ใต้ตายิ่งเห็นเด่นชัดขึ้น“เหตุใดจึงไม่ยอมให้เป่าเล่อเอ่อร์ไปกับข้า?”อูเอินพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว ข้าไม่ต้องการให้นางไปจากเจีย
ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนหยุดอยู่ที่หน้าประตู และพูดกับเย่จั้นว่า “รบกวนท่านอ๋องรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปอธิบายให้ฝ่าบาทฟังก่อน”เย่จั้นถอดหน้ากากออก พยักหน้าพูดว่า “ได้สิ”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปในตำหนัก ทันทีที่เปลี่ยนความคิด เย่จิ่งอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านในตำหนัก“เสวียนเอ๋อร์!”เขาหรี่สายตาคมมองอินชิงเสวียน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยมิติที่ไม่สามารถหนีออกไปได้คือที่ใดกัน เหตุใดเสวียนเอ๋อร์ต้องขังเขาไว้ที่นั่น?อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ต้องถามอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ต้องทดสอบเขาเสียก่อน“ฝ่าบาท หญิงรับใช้หลายคนของเจียงวูกระทำความผิด หม่อมฉันได้จับตัวพวกนางไปที่คุกหลวงชั้นในแล้ว”เมื่อเห็นดวงตากลมโตสีขาวดำชัดเจน เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าหญิงรับใช้ของเจียงวูคือใครหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มจางๆ และพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์เป็นกุ้ยเฟยแห่งวังหลัง แน่นอนว่าเจ้ามีอำนาจในการลงโทษพวกนาง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรายงานข้า”เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนก็สบายใจทันที เย่จิ่งอวี้ไม่ได้พร่ำบ่นอีกแล้ว สติปัญญาของเขาน่าจะเป็นปกติแล้วนางยื่นมือออกมาโค้งคำ
สองพ่อลูกเล่นสนุกกันกว่าหนึ่งชั่วยาม เสี่ยวหนานเฟิงก็เริ่มขยี้ตาเมื่อเห็นลูกชายง่วงนอน อินชิงเสวียนก็รีบอุ้มไปกล่อมนอน เมื่อมองกูลูกชายที่เติบโตอวบอ้วนมากขึ้น อินชิงเสวียนใช้แรงในการอุ้มอย่างมาก เย่จิ่งอวี้จึงรับเจ้าเด็กอ้วนมาอุ้มไว้“ข้าจะเล่านิทานให้เข้าฟัง เสวียนเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สองพ่อลูกจะได้ใกล้ชิดกัน อินชิงเสวียนก็รู้สึกดีใจและผ่อนคลายมาก นางเห็นว่าเย่จิ่งอวี้อุ้มจ้าวเอ๋อร์วางลงบนขา และพูดราวกับกำลังสวดมนต์ “ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง มีพระชราและพระเด็กอยู่ในวัด พระชราพูดกับพระเด็กว่า ในอดีตมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่ง...”อินชิงเสวียนไร้คำจะพูด คิดว่าตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้คงได้ฟังนิทานแบบนี้มาก่อน ช่างทรมานคนฟังเสียจริงเมื่อฟังวนสองรอบ ก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงพิงลงที่ขอบเตียงและหลับไประหว่างที่กำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกเหมือนมีคนมาอุ้มตัวเอง และวางลงบนหมอนเบาๆอินชิงเสวียนเบิกตากว้าง ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีกรอบหน้าชัดเจนทันที“ฝ่าบาท...”เย่จิ่งอวี้ห่มผ้า และพูดราวกับกำลังปลอบลูก “เป็นเด็กดีนะ รีบนอนได้แล้ว หล
หน้าประตูวัง กวนเซี่ยวคุกเข่าตัวตรงอินชิงเสวียนมองเห็นแต่ไกลๆ และรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากลูกผู้ชายจะไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ แต่กวนเซี่ยวกลับยอมทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งแจ้นมาคุกเข่าที่หน้าประตูวัง เรียกได้ว่าขายหน้าตระกูลกวนจนหมดสิ้นเมื่อยิ่งนึกถึงที่เขาปิดบังตัวตนของฟางรั่ว ในใจก็ยิ่งโกรธเป็นไฟอินชิงเสวียนรีบเดินจ้ำหลายก้าว และมาถึงด้านหน้าของกวนเซี่ยว พร้อมพูดเสียงแข็งว่า “เจ้าเข้ามาในพระราชวัง ท่านอาจารย์รู้หรือไม่?”กวนเซี่ยวเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นอินชิงเสวียน ทันใดนั้นแสงริบหรี่ก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา“พระนางกุ้ยเฟย ขอพระองค์โปรดเมตตาและไว้ชีวิตฟางรั่วด้วย”เมื่อเห็นท่าทางของกวนเซี่ยว อินชิงเสวียนก็ยิ่งรำคาญใจ นี่คือลูกหลานของแม่ทัพนายพล เหตุใดจึงไร้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้นางมองกวนเซี่ยวจากที่สูง และพูดอย่างเข้มงวดว่า “กวนเซี่ยว ในเมื่อเจ้ารู้ตัวตนของฟางรั่วแล้ว ยังคิดจะขอความเมตตาให้นาง เจ้าไม่กลัวว่าจอมพลเฒ่ากวนจะต้องแบกรับชื่อเป็นผู้สมคบกับศัตรูและกบฏต่อประเทศชาติงั้นหรือ? ท่านพ่อและท่านลุงของเจ้าต่างก็ปกบ้านป้องเมือง ตายในสนามรบ วันนี้เจ้ากลับขอความเมตตาให้แก่ศัตร
ระหว่างทาง อินชิงเสวียนมีสีหน้าเคร่งขรึมเสี่ยวอานจื่อเดินตามหลังนาง และไม่กล้าพูดอะไรหลังจากนั้นสิบห้านาที สองนายบ่าวก็มาถึงห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้กำลังพูดคุยอยู่กับหลี่เต๋อฝู เมื่อขันทีเข้ามารายงาน ก็วางแก้วชาลงและเดินออกมาด้านนอก“ไม่ราบรื่นงั้นหรือ?”เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของอินชิงเสวียนมีความบึ้งตึง เย่จิ่งอวี้จึงเดินลงจากบันไดหินและถามด้วยความห่วงใย“บอกไม่ได้ว่าราบรื่นหรือไม่ราบรื่น เพียงแต่รู้สึกโมโหที่กวนเซี่ยวหลงงมงาย และกิริยาท่าทางของทายาทแม่ทัพนายพล”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ผู้คนมักทำเรื่องที่บ้าบิ่นในช่วงเวลาวัยหนุ่มสาว กวนเซี่ยวอยู่ในวัยที่เริ่มแตกหน่อ เขารักหญิงสาวเป็นครั้งแรก ก็คงลุ่มหลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเสียสติไปชั่วขณะ”อินชิงเสวียนกลอกตาให้เขาแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทเข้าใจผู้ชายดีทีเดียวนะเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและจับมือของนาง พร้อมกับศีรษะพูดว่า “นั่นเป็นเพราะว่าตอนนี้ข้าเป็นเหมือนกับเขา แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือผู้หญิงที่ข้ารักเป็นผู้หญิงที่อัศจรรย์ ฉลาดและจิตใจกว้างขวาง สามารถช่วยเหลือประชาชนมากมายจากปัญหาความยากลำบาก นี่ก็คือความโชคดีของข้า”คำสารภ
“อยากออกไปเที่ยวเล่นงั้นหรือ?”อินชิงเสวียนเลิกตากลมโตมองไปที่เย่ไห่ถังไม่รู้ว่าเย่ไห่ถังกำลังคิดเรื่องอะไร ใบหน้าของนางแดงขึ้นเล็กน้อยพูดเสียงเบาว่า “ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยออกไปนอกวังเลย หากว่าเสด็จพี่สะใภ้สะดวก... ข้าก็อยากออกไปเที่ยวบ้าง”อินชิงเสวียนเข้าใจเป็นอย่างมากแม้ชีวิตในพระราชวังจะดีพร้อม แต่หากเทียบกับโลกภายนอกแล้ว สิ่งที่ขาดหายไปคืออิสรเสรี เย่ไห่ถังอยากออกไปข้างนอกถือเป็นเรื่องปกติ“ข้าจะลองดู แต่ว่าเจ้าอย่าได้คาดหวังมากเกินไปล่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เย่ไห่ถังก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพี่สะใภ้ ขอบพระทัยเสด็จพี่สะใภ้”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “รอให้เสด็จพี่ของเจ้ารับปากก่อน เจ้าค่อยขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย”เย่ไห่ถังดึงแขนของอินชิงเสวียนอีกครั้ง และแกว่งไปมาราวกับเด็ก“เสด็จพี่โปรดปรานเสด็จพี่สะใภ้มากขนาดนั้น ขอเพียงเสด็จพี่สะใภ้รับปาก เสด็จพี่ต้องเห็นด้วยแน่นอนเพคะ”“การออกจากวังเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรข้าจะช่วยพูดให้แล้วกันนะ”อินชิงเสวียนไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ อย่างไรเสียผู้หญิงในพระราชวังก็ไม่สามารถเดินออกไปได้ตามใจชอบ ส่วนตัวเองนับว่า