แต่ไม่ว่าจูอวี้เหยียนจะเกลียดนางมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ตำแหน่งใหญ่กว่าหนึ่งขั้นยังฆ่าคนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอินชิงเสวียนอยู่ในฐานะที่สูงกว่านางหลายขั้น ในเมื่อเลือกที่จะเข้าวัง ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น“ได้ ข้าจะไปกับพวกเจ้า หากพวกเจ้ากล้าใช้เครื่องมือทรมาน ข้าจะรายงานต่อฝ่าบาทอย่างดีเชียว”เสี่ยวอานจื่อขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจนาง แล้วจึงพาองครักษ์กลับไปรายงานจูอวี้เหยียนตามมาข้างหลัง คิดในใจว่าถ้าอินชิงเสวียนทรมานนางอีก นางจะทำอย่างไรดีอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจูอวี้เหยียนจะคิดมากเกินไป อินชิงเสวียนให้หมัวมัวเฒ่ามาสอนกฎเกณฑ์และมารยาทในวังให้นางจริง ส่วนตัวเองกลับนั่งอยู่ข้างๆ กินองุ่น มองดูพวกนางอย่างสบายใจจูอวี้เหยียนเกลียดนางแทบตาย แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ทำได้เพียงปฏิบัติตามหมัวมัวเฒ่าที่สอนว่าจะเดินอย่างไร สอนว่าต้องถวายพระพรเจ้านายแต่ละตำหนักอย่างไร ทำซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น ชั่วพริบตาท้องฟ้าก็มืดลง อินชิงเสวียนเรียกเสี่ยวอานจื่อเข้ามา“คืนนี้ทำเนื้อย่างเสียบไม้กันเถอะ ให้พวกเจ้าได้กินด้วย”“ขอบพระทัยพระสนม”เสี่ยวอานจื่อดีใจมาก วิ่งออกไปอย่างยินดีปรีดาอินชิ
อินชิงเสวียนกินเนื้อเสียบไม้ย่างหอมๆ และดื่มชามะลิที่นางชื่นชอบจูอวี้เหยียนหิวมากจนท้องร้องโครกคราก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเพลิดเพลินกับอาหาร ก็แทบตบะแตกชั่วพริบตาก็ถึงยามดึกแล้วอินชิงเสวียนเห็นใจที่หมัวมัวเฒ่าอายุจนปูนนี้แล้ว จึงเปลี่ยนคนมาแทนจูอวี้เหยียนเดินจนปวดขา ง่วงก็ง่วง หมัวมัวเฒ่าถือไม้บรรทัด แล้วชี้ไปที่เอวของนาง“ตั้งใจหน่อย”จูอวี้เหยียนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองนางด้วยสายตาดุร้ายบนเก้าอี้ตัวยาว อินชิงเสวียนเลิกคิ้วขึ้น“ไม่ยอมหรือ”จูอวี้เหยียนกัดริมฝีปาก กลืนคำพูดลงไปเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีขาวมุกอินชิงเสวียนหาว เปลี่ยนอิริยาบถ แล้วพูดว่า “วันนี้พอเท่านี้เถอะ นายหญิงเหยียน เจ้ากลับไปได้แล้ว”ดวงตาของจูอวี้เหยียนกลายเป็นสีแดง เลือดเกือบจะพุ่งออกมานางโค้งคำนับอย่างไม่เต็มใจ แล้วออกจากตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนให้หมัวมัวเฒ่ากลับไปพักผ่อน จากนั้นนางก็เข้าไปในมิติหลังจากแช่น้ำพุวิญญาณแล้ว ก็รู้สึกสดชื่น ความเหนื่อยล้าที่อดนอนทั้งคืนก็หายไปนางตรวจสอบเวลา แล้วอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกจากวังหลังจากที่เมื่อวานทรมานจูอวี้เหยียนมาทั้งคืน อาจทำให้หม
จูอวี้เหยียนแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “เจ้าคงรู้วิธีการของข้า ถ้าขืนเจ้ากล้าทรยศ ข้าจะทำให้เจ้าร้องขอความตายก็ไม่ได้ ขอมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้”ฟางรั่วก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “บ่าวไม่กล้า”จูอวี้เหยียนเหลือบมองนางแล้วพูดว่า “กลับไปซะ แล้วเรียกชิงจู๋กับฉุยหลิ่วเข้ามา”หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้สองคนก็เดินเข้ามาจากประตู โค้งคำนับอย่างนอบน้อม“บ่าวน้อมคำนับราชครู”จูอวี้เหยียนก้าวออกมา พูดอย่างเย็นชา “ตามข้าไปที่ตำหนักจินหวู”นางกระตุ้นกู่ตลอดทาง เมื่อกู่แม่ถูกเพรียกหา มันเริ่มเคลื่อนไหวอีกเพราะได้ดื่มเลือดหัวใจของจูอวี้เหยียน ทำให้วันนี้กู่แม่รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเมื่อก่อนจูอวี้เหยียนกระตุกมุมปากขึ้น นางอยากเห็นว่าเย่จิ่งอวี้จะทนได้นานแค่ไหนในตำหนัก อินชิงเสวียนกำลังดื่มชาพลางสนทนากับเย่จิ่งอวี้เย่จิ่งอวี้สวมเสื้อคลุมสีดำที่ดูสงบและสง่างาม ชายเสื้อและปกเสื้อปักด้วยด้ายสีทอง ยิ่งดูสูงส่งอินชิงเสวียนสวมกระโปรงคาดอกสีเหลืองอมส้ม สีวิจิตรงดงามรับกับใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของนางได้เป็นอย่างดี ดุจเกสรแรกเกิด ที่สีสันสดสวยแพรวพรายทั้งสองคนหญิงงามหนุ่มหล่อนั่
อินจ้งพูดโดยเร็ว “กระหม่อมเห็นฝ่าบาทไม่มาประชุมเช้าวันนี้ นึกเป็นห่วง จึงมาเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างอบอุ่น “แม่ทัพอินมีน้ำใจแล้ว เมื่อวานข้าดื่มสุรากับเสด็จอา ดื่มมากโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้รู้สึกสบายดีแล้ว”อินจ้งกล่าวว่า “ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าฝ่าบาทไม่เคยได้พักผ่อนเลยแม้แต่วันเดียวนับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ โปรดรักษาสุขภาพด้วย”“ขอบคุณท่านขุนนางที่เป็นห่วง เข้ามาคุยกันเถอะ”เย่จิ่งอวี้เดินเข้าไปในห้องหนังสือ แต่อินจ้งมองไปที่อินชิงเสวียน เหมือนลังเลที่จะพูดบางอย่างอินชิงเสวียนถามทันที “ท่านพ่อมีอะไรก็พูดมาเถิด เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ”อินจ้งพูดด้วยสีหน้ากังวล “พี่ใหญ่เจ้ายังเหมือนเดิม สลบไสลทั้งวัน โชคดีที่เขาไม่กระอักเลือดแล้ว พ่อให้เขากินยาหลายขนาน แต่ก็ยังไม่มีผลอะไร เกรงว่าใครเป็นคนก่อต้องเป็นคนแก้”อินชิงเสวียนปลอบใจเบาๆ “ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไป จูอวี้เหยียนถูกฝ่าบาทจับตัวไว้แล้ว อีกไม่กี่วันลูกจะทำให้นางนำยาถอนพิษออกมา”เมื่อเขาได้ยินว่าจูอวี้เหยียนถูกจับ สีหน้าของอินจ้งก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย“เจ้า...เจ้าทรมานนางหรือไม่”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว“เหตุ
อินชิงเสวียนตกตะลึง ดวงตาเบิกโพลงพอเปิดมิติดู ก็เห็นเย่จิ่งอวี้นอนอยู่ในมิติแล้วจริงๆทำไมเขาถึงสามารถเข้าสู่มิติได้หรือว่าทุกคนก็สามารถเข้ามาอยู่ในมิติของนางได้อย่างนั้นหรือถ้าเป็นเช่นนั้น ก็สุดยอดแล้วน่ะสิ!เมื่อใดก็ตามที่นางต้องการโจมตีที่แห่งใด ก็สามารถยกกองทหารทั้งหมดเข้าไปในมิติ แล้วนางก็เดินทางไปคนเดียว ไม่เพียงแต่สามารถประหยัดเสบียงอาหารเท่านั้น แต่ยังสามารถประหยัดแรงได้อีกด้วยอินชิงเสวียนค่อนข้างตื่นเต้น นางมาที่ประตู แล้วคว้าข้อมือของอวิ๋นฉ่ายอวิ๋นฉ่ายมองไปที่อินชิงเสวียนด้วยสีหน้ามึนงง“พระสนม เป็นอะไรไปเพคะ”อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร แต่ใช้ความคิดเพื่อจะพาอวิ๋นฉ่ายเข้าไปในมิติทว่า ยังได้รับคำเตือนจากระบบอยู่ว่า บุคคลภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในมิติ!แต่ทำไมเย่จิ่งอวี้ถึงถูกตัดสินว่าเป็นตัวเองหรือว่า...เพราะเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตัวเอง?อินชิงเสวียนคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ นางจึงต้องปล่อยผ่านไปเช่นนี้“ไม่มีอะไร ไปทำงานของเจ้าเถอะ”อินชิงเสวียนปล่อยอวิ๋นฉ่าย ในเมื่อใส่เย่จิ่งอวี้เข้าในมิติได้ จึงไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้วแม้ว่าการจี้สกัดจุ
“ตอนนี้ขอพูดสักเรื่องหนึ่ง”อินชิงเสวียนเหลือบมองนางอย่างเยือกเย็น เดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดว่า “ข้ามีความสนใจเรื่องพิษกู่ ขอเพียงเจ้าสอนวิธีการใช้และวิธีการแก้กู่เสน่หาให้ข้า ใบหน้าของเจ้าก็จะถูกรักษาไว้ได้”จูอวี้เหยียนทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดว่า “ฝันไปเสียเถอะ พิษกู่ต้องเลี้ยงด้วยเลือดบริสุทธิ์ จะเรียนรู้ภายในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไรกัน”อินชิงเสวียนพูดว่า “สามารถเรียนได้หรือไม่เป็นเรื่องของข้า ส่วนเจ้าจะสอนหรือไม่?”“ต่อให้ข้ายินยอมจะสอนท่าน ท่านก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้”จูอวี้เหยียนไม่ได้พูดโกหก หากสามารถฝึกฝนหนอนกู่ได้ง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ นางคงฝึกนับร้อยนับพันตัว ควบคุมให้ฮ่องเต้และขุนนางต่างก็เชื่อฟังนางทุกคน ไม่จำเป็นต้องเปลืองเรี่ยวแรงเช่นนี้“ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอม ทหาร ขูดหน้านางต่อไป”ผู้คุมเรือนจำเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวในทันทีจูอวี้เหยียนหดคอกลับโดยไม่รู้ตัว สีหน้าซีดอย่างรวดเร็วแม้นางไม่เคยรักใครด้วยใจจริง แต่ก็เพลิดเพลินกับการที่ถูกผู้ชายไล่ตาม หากไร้ซึ่งใบหน้านี้ นางก็คงไม่เหลืออะไรแล้ว“อย่า ไม่เอานะ อินชิงเสวียน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากสอนท่าน แต่สิ
อินชิงเสวียนออกมาจากมิติแล้วเดิมทีคิดว่าแผนการของตัวเองจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด แต่ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า นางคิดง่ายเกินไปทว่าทั้งหมดกลับไม่ได้เสียเปล่า เมื่อรู้ว่าคนของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยอินสิงอวิ๋นได้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างเต็มเปี่ยมอีกทั้งยังทำให้นางรู้ถึงความสัมพันธ์ของกู่แม่และกู่ลูก ดังนั้นจึงคิดวิธีอื่นได้แล้วภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จูอวี้เหยียนไม่น่าจะพูดโกหกแต่ผู้อาวุโสที่ชิงเอาพิณไปได้บอกไว้ว่า นางจะไม่กลับมาที่เมืองหลวงอีก เย่จิ่งอวี้ส่งกำลังคนออกไปตามหาจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เลย เกรงว่าเส้นทางนี้จะล้มเหลวทันใดนั้น อินชิงเสวียนก็นึกถึงบทเพลงใจหินผาที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา ไม่รู้ว่าจะทดลองได้หรือไม่หากสามารถช่วยอินสิงอวิ๋นได้จริงๆ ก็อาจทดลองกับเย่จิ่งอวี้ได้เช่นกันเมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงความหวังที่ริบหรี่อีกครั้งนางรีบเดินมาที่ห้องหนังสือ อินจ้งก็เดินออกมาจากในห้องพอดี เมื่อเห็นอินชิงเสวียน สีหน้าและสายตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย“พระนางกุ้ยเฟย”“ท่านพ่อไม่ต้องมาพิธี ข้าจะออกจากวังไปเยี่
อินชิงเสวียนบรรเลงเพลงพิณต่อหน้าคนนอกเป็นครั้งแรก นางจึงรู้สึกไม่มั่นใจทักษะการเล่นพิณของนางยังไม่ชำนาญมากพอ อีกทั้งพิณตัวนี้ก็ไม่ใช่พิณการเวก จึงไม่แน่ใจว่าจะบรรเลงได้ผลดีหรือไม่ตอนนี้ทำได้เพียงลองพยายามอย่างเต็มที่เท่านั้น เพื่อเพิ่มพลังในการบรรเลงพิณ อินชิงเสวียนจึงแลกทักษะห้าสิบห้าสิบ ซึ่งเป็นทักษะการเลียนแบบอีกฝ่ายมาจากในมิติ เมื่อพลังไม่มากพอก็จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสียงพิณดุจสายน้ำ ไหลออกมาอย่างเชื่องช้า จิตใจของอินชิงเสวียนก็ค่อยๆ สงบลง และใช้สมาธิทั้งหมดในการบรรเลงพิณอากาศที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากเสียงพิณ คล้ายระลอกคลื่นที่ซัดกระเพื่อมเป็นชั้นๆ คลื่นเสียงสัมผัสร่างของอินสิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว และหายเข้าไปในร่างของเขาทันที ราวกับว่ามันพบทางระบายอินชิงเสวียนมองไม่เห็นระลอกคลื่นเสียงนั้น สมาธิของนางยังคงจดจ่ออยู่ที่ใจหินผา หลังจากนั้นไม่นาน ใจหินผาก็บรรเลงได้ช่ำชองมากขึ้น จังหวะของบทเพลงก็ยิ่งสงบมากขึ้นเรื่อยๆอินปู้อวี่รู้ว่าน้องใหญ่กลับมาแล้ว จึงรีบเข้ามาพบในทันที เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แวบผ่านเข้ามา เขาคุกเข่าหนึ่งข้างลงที่พื้นและหลับตาตั
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี