อินชิงเสวียนบรรเลงเพลงพิณต่อหน้าคนนอกเป็นครั้งแรก นางจึงรู้สึกไม่มั่นใจทักษะการเล่นพิณของนางยังไม่ชำนาญมากพอ อีกทั้งพิณตัวนี้ก็ไม่ใช่พิณการเวก จึงไม่แน่ใจว่าจะบรรเลงได้ผลดีหรือไม่ตอนนี้ทำได้เพียงลองพยายามอย่างเต็มที่เท่านั้น เพื่อเพิ่มพลังในการบรรเลงพิณ อินชิงเสวียนจึงแลกทักษะห้าสิบห้าสิบ ซึ่งเป็นทักษะการเลียนแบบอีกฝ่ายมาจากในมิติ เมื่อพลังไม่มากพอก็จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสียงพิณดุจสายน้ำ ไหลออกมาอย่างเชื่องช้า จิตใจของอินชิงเสวียนก็ค่อยๆ สงบลง และใช้สมาธิทั้งหมดในการบรรเลงพิณอากาศที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากเสียงพิณ คล้ายระลอกคลื่นที่ซัดกระเพื่อมเป็นชั้นๆ คลื่นเสียงสัมผัสร่างของอินสิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว และหายเข้าไปในร่างของเขาทันที ราวกับว่ามันพบทางระบายอินชิงเสวียนมองไม่เห็นระลอกคลื่นเสียงนั้น สมาธิของนางยังคงจดจ่ออยู่ที่ใจหินผา หลังจากนั้นไม่นาน ใจหินผาก็บรรเลงได้ช่ำชองมากขึ้น จังหวะของบทเพลงก็ยิ่งสงบมากขึ้นเรื่อยๆอินปู้อวี่รู้ว่าน้องใหญ่กลับมาแล้ว จึงรีบเข้ามาพบในทันที เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แวบผ่านเข้ามา เขาคุกเข่าหนึ่งข้างลงที่พื้นและหลับตาตั
อินชิงเสวียนพลิกตัวลงจากหลังม้า และพยุงจังอวี้จิ่นขึ้นมา“แม่นางไม่ต้องมากพิธี ต่อไปก็ทำการค้าขายอย่างระวังด้วย อย่าให้ชายหนุ่มที่มีความประพฤติเลวทรามเหล่านี้เข้ามาวุ่นวายได้”จังอวี้จิ่นกลับไม่ยอมลุกขึ้น แต่คำนับต่ออินชิงเสวียน พร้อมพูดอย่างดื้อรั้นว่า “ในเมื่อคุณชายช่วยผู้ต่ำต้อยเอาไว้ ผู้ต่ำต้อยก็ควรตอบแทนบุญคุณตลอดจนวันตาย คุณชายได้โปรดรับผู้ต่ำต้อยไปด้วย ผู้ต่ำต้อยยอมรับใช้คุณชายไปตลอดชีวิต”จังอวี้จิ่นเติบโตขึ้นในหมู่บ้านชาวประมง นางไม่เคยได้รับการศึกษา เพียงแต่เคยได้ยินพ่อสอนว่าต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณเดิมทีนางต้องการตอบแทนผู้ที่ช่วยชีวิตนางไว้ แต่คนเหล่านั้นต่างปกปิดใบหน้า จากนั้นก็ทิ้งเงินให้นางแล้วหายตัวไปทั้งหมด จังอวี้จิ่นใช้เงินเหล่านั้นในการทำมาค้าขาย เป้าหมายก็เพื่อตามหาพวกเขาเพียงแต่นางไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของผู้คนเหล่านั้น จึงไม่รู้ว่าควรเริ่มตามหาจากที่ใด ตอนนี้นางถูกคุณชายท่านนี้ช่วยไว้อีกครั้ง ในใจจึงคิดอยากตอบแทนบุญคุณ วิธีเดียวที่นางคิดได้คือการเป็นบ่าวรับใช้อินชิงเสวียนใช้แรงมากขึ้น เพื่อพยุงจังอวี้จิ่นให้ลุกขึ้น“แม่นาง ไม่ต้องคิดมากไป การช่วยเหลือเจ้าเป็น
อินจ้งยังคงอยู่ในห้อง เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนเชิญฝูอี้อ๋องมาจริงๆ จึงรีบคุกเข่าลงทำความเคารพ“กระหม่อมอินจ้งขอถวายบังคมฝูอี้อ๋อง”เย่จิ่งหลานเอามือเล็กไพล่หลัง และแสดงท่าทางของท่านอ๋องพร้อมพูดขึ้นเบาๆ “ลุกขึ้นเถิด แม่ทัพอินไม่ต้องมากพิธี”อินจ้งลุกขึ้นมือ ประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ลูกสาวข้าบอกว่าท่านอ๋องมีวิชาการแพทย์เป็นเลิศ ท่านอ๋องได้โปรดตรวจดูอาการให้ลูกชายข้าด้วย ตอนนี้เขามีอาการเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่จิ่งหลานตอบรับและพูดว่า “พวกเจ้าออกไปข้างนอกเถอะ เหลือเพียงพระนางกุ้ยเฟยอยู่ที่นี่ก็พอ”อินจ้งรีบมองไปที่อินชิงเสวียนทันที เมื่อเห็นลูกสาวพยักหน้า จึงพาอินปู้อวี่ออกไปจากห้องอินจื่อลั่วมาถึงในบ้านพอดี เมื่อได้ยินว่าพี่สาวกลับมาแล้ว จึงรีบนึกถึงของขวัญของตัวเอง รีบไปหยิบเสื้อคลุมขนกระต่ายให้กับเสี่ยวหนานเฟิง และวิ่งออกมาด้วยความดีใจอินจ้งขวางนางเอาไว้“ท่านพี่ของเจ้าเชิญผู้สูงส่งมาตรวจท่านพี่ใหญ่ของเจ้า อย่าเพิ่งเข้าไป”อินจื่อลั่วตอบรับ และยืนอีกด้านอย่างเชื่อฟังด้านในห้องอินสิงอวิ๋นนอนหลับไปแล้วเขาไม่ได้กินอาหารหลายวัน และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำพุวิ
อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เหมือนมีคนจ้องข้าอยู่”อินปู้อวี่ขยับเท้าเล็กน้อยโผบินขึ้นหลังคา เมื่อมองไปรอบๆ ก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีใครเลยนะ?”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“ข้าอาจมองผิดพลาดไป เฝ้าพี่ใหญ่ไว้ให้ดี ข้าจะไปดูที่โถงด้านหน้า”อินปู้อวี่หัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก“น้องใหญ่วางใจได้ ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้ว สองวันนี้ข้าจะดูแลเขาให้ดี”อินชิงเสวียนพยักหน้า และพูดกำชับอีกว่า “อาซือหลานยังไม่ตาย เขาจะมาถึงเมืองหลวงตอนไหนก็ย่อมได้ คนคนนี้มีแผนการซับซ้อน พี่และท่านพ่อต้องระวังไว้ให้ดีที่สุด”“ข้ารู้แล้ว”อินปู้อวี่ตอบรับอย่างอารมณ์ดีตอนนี้พี่ใหญ่หายดีแล้ว ครอบครัวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันจริงๆ เสียทีขณะเดียวกันนั้น ในตรอกที่ไม่ไกลมากนักคนตัวเตี้ยหลายคน หน้าตาอัปลักษณ์ กำลังรวมตัวกันและพูดภาษาที่ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจหนึ่งคนในนั้นชี้ไปที่ตระกูลอิน อีกหลายคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หนึ่งคนในนั้นก็หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมา และทันทีที่มีควันลอยขึ้นมา คนคนนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับคนที่เหลือต่างมองหน้ากัน และหายไปในฝูงคนตระกูลอินอินชิงเสวียนเดินมายังบ้านส่วนหน้าอิน
“ขอบคุณลุงต่ง”อินชิงเสวียนพูดขอบคุณอย่างมีมารยาท อย่างไรเขาก็เป็นผู้รับใช้เก่าแก่ที่ภักดีของตระกูลอิน นางเคยได้ยินซูหมิงหลานเล่าว่า เหลาต่งเคยเผชิญอันตรายเพื่อปกป้องตระกูลเอาไว้ นางจึงเคารพเขามากเหลาต่งยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ขี่รถม้าออกไปอินชิงเสวียนจึงพาจังอวี้จิ่นตรงไปที่ตำหนักจินหวูเมื่อเห็นดอกไม้หลากหลายชนิดในวังที่มีสีเหลืองอร่ามแวววาว จังอวี้จิ่นก็ตื่นตาตื่นใจอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดว่าพระราชวังจะงดงามเช่นนี้ อาคารสีสันสวยงาม ด้านบนแกะสลักรูปมังกร นกฟีนิกซ์ ดอกไม้และนกต่างๆ เอาไว้ ซึ่งดูหรูหรากว่าบ้านในหมู่บ้านมากสองนายบ่าวมาถึงตำหนักจินหวูอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเสี่ยวหนานเฟิงยายหลี่มองเห็นอินชิงเสวียน จึงรีบออกมาต้อนรับ“เหนียงเหนียง ท่านกลับมาแล้ว แม่นางผู้นี้คือ...”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา และหอมลงบนใบหน้าที่อวบอ้วนของเขา“นี่คือเด็กสาวที่ข้าช่วยเอาไว้ที่ตลาด บอกอวิ๋นฉ่ายหาเสื้อผ้าที่นางสามารถสวมใส่ได้ให้นางเปลี่ยน สอนมารยาทในวังแก่นาง ข้าจะเข้าห้องไปพักเสียหน่อย ไม่ต้องเข้ามารับใช้”ยายหลี่เข้าใจในทันที เหนียงเหนียงอยา
จูอวี้เหยียนตกใจเล็กน้อย“ท่านจะเอากู่แม่ไปทำอะไร?”อินชิงเสวียนพูดเสียงเรียบ “นี่คือเรื่องของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”จูอวี้เหยียนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง และถามเย้ยหยันว่า “พิษกู่ของเย่จิ่งอวี้ยังไม่ได้แก้ใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “กู่แม่อยู่ในหัวใจของเจ้า แก้แล้วหรือไม่ เจ้าน่าจะรู้ชัดเจนกว่าข้า”จูอวี้เหยียนกัดฟันกรามกรอดๆ และถามว่า “ท่านคิดจะทำสิ่งใด?”“ข้าขอพูดอีกรอบว่า นี่คือเรื่องของข้า เจ้าจะยินยอมหรือไม่”อินชิงเสวียนพูดจบก็หยิบเม็ดยาที่ห่อด้วยกล่องสีขาวออกจากเสื้อพูดกับผู้คุมคุกหลวงว่า “ให้นางกินลงไป”ตอนนี้ฟางรั่วก็ถูกจับแล้ว หมากตัวนี้ของนางไร้ประโยชน์เสียแล้ว ไม่ว่าวันนี้ต้องใช้วิธีการใด นางก็ต้องเอากู่เสน่หามาไว้ในมือให้ได้จูอวี้เหยียนลนลานในทันที“ท่านให้ข้ากินอะไรเข้าไป?”นางพยายามส่ายหัวไปมา แต่มือและเท้าถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้ ไม่มีทางที่จะหลุดออกไปได้ จึงถูกบังคับยัดเข้าไปในปากอินชิงเสวียนมองนางแล้วพูดว่า “นี่คือยาพิษที่ข้าค้นคว้ามาด้วยตัวเอง หากไม่มีการแก้พิษ หลังจากนี้อีกสามวันจะเปื่อยพุพองไปทั่วทั้งร่างกายจนตาย สุดท้ายก็เละเป็นกอ
จูอวี้เหยียนพยายามหันหน้ามามอง และตะโกนอย่างยากลำบาก “ฝ่า… บาท...”เย่จิ่งอวี้สวมชุดคลุมสีเขียวเข้ม เดินเข้ามาจากด้านนอกอินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นพอดี ทั้งสองสบตากันกลางอากาศเพียงครู่เดียว และต่างคนต่างหลบสายตากันสายตาของเย่จิ่งอวี้มองไปที่จูอวี้เหยียนด้วยความเย็นชา พูดออกมาทีละคำว่า “เจ้าปลอมตัวเป็นสาวรับใช้เข้ามาในวัง วางยาพิษหนอนกู่แก่ข้า สมควรตายอย่างยิ่ง และยังกล้าพูดจาเพ้อเจ้อ ต่อให้กุ้ยเฟยไว้ชีวิตเจ้าในวันนี้ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ทหาร จับนังผู้หญิงชั่วร้ายไปลงโทษด้วยแส้เกลือ”แส้เกลือก็คือแส้เหล็กที่อาบน้ำเกลือเข้มข้น และตัวแส้ก็มีหนามคม เป็นการลงโทษของพระราชวังที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ว่าจะมีรสชาติอย่างไรเมื่อถูกฟาดลงบนร่างกายจูอวี้เหยียนถูกขังไว้ในคุกหลวงตลอดสองวันนี้ นางก็เคยพบเห็น เมื่อนึกถึงเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกลงโทษ ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้อินชิงเสวียนปล่อยมือ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องที่สุดเพคะ ผู้หญิงชั่วร้ายเช่นนี้ สมควรตายอย่างทุกข์ทรมาน”ผู้คุมเรือนจำหิ้วจูอวี้เหยียนลุกขึ้นมา ใบหน้าของจูอวี้เหยียนซีดขาวราวกับกระ
“กฎหมายของต้าโจมเข้มงวดมาโดยตลอด หากคนในเชื้อพระวงศ์ฝ่าฝืนกฎหมายก็มีความผิดเทียบเท่าราษฎร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูอวี้เหยียน เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจหรอกเพคะ”เมื่อเห็นใบหน้าที่ชอบธรรมของอินชิงเสวียน เย่จั้นยิ้มและพยักหน้า“ดี ในเมื่อกู่แม่เข้ามาอยู่ในร่างกายของกุ้ยเฟยแล้ว เชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ข้าและเจ้าควรไปยอมรับผิดต่อฝ่าบาทหรือไม่”“เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องตามข้ามาที่ตำหนักจินหวูเถอะเพคะ”เย่จั้นพยักหน้า และเดินไปกับอินชิงเสวียน ตรงไปยังตำหนักจินหวู...ตระกูลอินอินจ้งสั่งให้คนแก้มัดอินสิงอวิ๋น และป้อนข้าวต้มให้เขาแม้อินสิงอวิ๋นจะกินอาหาร แต่สายตายังเต็มไปด้วยความระแวงอินจ้งรู้ว่าลูกชายคนโตสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้จึงทำได้เพียงระมัดระวัง และค่อยเป็นค่อยไป“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นท่านพ่อของเจ้าจริงๆ นี่คืออินปู้อวี่ น้องรองของเจ้า เจ้าชื่อว่าอินสิงอวิ๋น”เขานั่งอยู่ริมเตียงนอน พูดด้วยสีหน้าที่รักใคร่อินสิงอวิ๋นมองเขา ไม่พูดจา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจอินจ้งพูดอีกว่า “ดูน้องชายเจ้าสิ แม้ว่าพวกเจ้าสองคนมีนิสัยแตกต่างกัน แต่กลับมีรูปลักษณ์ค