จูอวี้เหยียนโน้มตัวและพูดว่า “เหนียงเหนียงพูดแรงไปแล้วเพคะ พวกข้ามีตำแหน่งต้อยต่ำ เหนียงเหนียงมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ คงไม่มาทะเลาะเอาความกับผู้ที่ต่ำกว่าอย่างพวกข้า”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “พูดได้ดี ข้าคงไม่ลดตัวไปทะเลาะกับพวกเจ้าหรอก เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ข้าจะให้คนนำเข็มเงินมาทำการตรวจสอบก่อน เพื่อไม่ให้พวกเจ้าต้องหวาดระแวง และไม่ยอมกินอาหาร”อย่างไรก็เรียกพวกนางมาเพื่อยื้อเวลา อินชิงเสวียนไม่ได้รีบร้อนนางหันไปโบกมือให้อวิ๋นฉ่าย อวิ๋นฉ่ายหยิบเข็มเงินมาด้านหน้าโต๊ะทันที และทำการตรวจสอบยาพิษทีละจานเมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่เปลี่ยนสี จูอวี้เหยียนก็ยิ้มที่มุมปาก “หม่อมฉันเพียงพูดเล่นเท่านั้น ผู้ใดจะกล้าสงสัยพระนางกุ้ยเฟยเพคะ”อินชิงเสวียนยิ้มระรื่นและพูดว่า “พวกเจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็สมควรที่จะระแวงข้า ตอนนี้พวกเจ้าเห็นชัดแล้วใช่หรือไม่?”จูอวี้เหยียนพูดว่า “เห็นชัดแล้วเพคะ ขอบพระทัยเหนียงเหนียง”อินชิงเสวียนยื่นมือทำท่าทางเชื้อเชิญ“ไม่ต้องเกรงใจ พี่น้องทุกท่านกินได้ตามสบายเลย”จูอวี้เหยียนหยิบตะเกียบขึ้นมา คนอื่นๆ ก็หยิบขึ้นมาตามเช่นกันอาหารหลายจานบนโต๊ะเป็นพริก
เย่จิ่งอวี้หอมแก้มลูกชายของเขา จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาด้วยความดีใจ และกอดคอของเย่จิ่งอวี้ไว้ ใบหน้าเล็กซบลงบนไหล่ของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ว่า “เสด็จพ่อ~”“จ้าวเอ๋อร์น่ารักจัง”เมื่อมองเด็กน้อยที่ใบหน้าขาวสะอาด ความมืดมนในจิตใจของเย่จิ่งอวี้ก็มลายหายไปเมื่อเห็นความรักของสองพ่อลูก ความสุขก็ผุดขึ้นในใจของอินชิงเสวียนนางไม่ได้อยากเป็นฮองเฮา สิ่งเดียวที่นางต้องการ ก็คือการเป็นคู่รักไปตลอดชีวิตนางไม่สนใจว่าเย่จิ่งอวี้มีสถานะเป็นอะไร ขอเพียงครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากันก็พอแล้วเย่จิ่งอวี้หันหน้ามามอง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนมองหน้าตัวเองด้วยรอยยิ้ม เขาก็อบอุ่นหัวใจ แทบอยากอุ้มสาวน้อยคนนี้ไปนัวเนียสักรอบเมื่อเห็นแววตาที่มีเลศนัยคู่นั้น อินชิงเสวียนหน้าแดงเล็กน้อย นางอยู่กับเย่จิ่งอวี้มาเป็นเวลานาน นางรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดตำหนิว่า “หากฝ่าบาทอยากไปกับหม่อมฉัน ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเพคะ ไม่เช่นนั้น หม่อมฉันจะไม่รอท่านแล้ว”เย่จิ่งอวี้จึงต้องอดกลั้นความคิดนี้ไว้ในใจ“ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”ห
อินสิงอวิ๋นถูกอินชิงเสวียนดึงหน้าจนยืด แต่บนใบหน้าก็ไม่มีหน้ากากผิวหนังมนุษย์หรืออะไรทำนองนั้นอินชิงเสวียนตรวจสอบอย่างระมัดระวังอีกครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกนี่จะคงเป็นอินสิงอวิ๋นตัวจริงแน่แล้ว แต่จู่ๆ อินชิงเสวียนนึกถึงเงาร่างที่ดูคล้ายกับฟางรั่วมาก เชื่อว่าอีกไม่นานการเดาของนางคงจะได้รับการยืนยัน“ได้ยินว่าท่านพ่อขอร้องหัวหน้าหมอหลวงเหลียงมารักษาพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าตรวจพบอะไรหรือไม่”อินปู้อวี่พูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “หมอหลวงเหลียงบอกว่าพี่ใหญ่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เพียงแต่เลือดลมอ่อนแอ ไม่มีอาการป่วยร้ายแรงแต่อย่างใด”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว อาการคล้ายกับสถานการณ์ของเย่จั้นเลยนี่การผ่าตัดของเย่จิ่งหลานล้มเหลวไปแล้วครั้งหนึ่ง ถึงตามหาเขาอีกก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น“นอกจากนอนหลับแล้ว เขายังมีการเคลื่อนไหวอื่นอีกหรือไม่”อินปู้อวี่ส่ายศีรษะ“ไม่มี เพียงแต่ง่วงซึมอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ก็ไม่เหมาะนัก ต้องวินิจฉัยโรคก่อน จึงจะรักษาได้”อินชิงเสวียนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “บางที...อาการที่พี่ใหญ่เป็นไม่ใช่โรค”อ
อินจ้งยืนขึ้นโดยเร็ว“ฝ่าบาทอยากดื่มชาสร่างเมาก่อนเสด็จกลับหรือไม่”เย่จิ่งอวี้ยิ้มจางๆ และพูดว่า “ไม่ต้อง สามารถแบ่งเวลาว่างมาได้ครึ่งวันก็ไม่ง่ายแล้ว ข้ายังมีงานอื่นต้องทำ ไม่รั้งอยู่นานดีกว่า”อินจ้งรู้ดีว่าเย่จิ่งอวี้ยุ่งงานกิจการบ้านเมือง เขาจึงรีบโค้งคำนับและพูดว่า “เช่นนี้แล้ว กระหม่อมก็ไม่รั้งฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงอืมรับคำ จากนั้นเสี่ยวอานจื่อก็พยุงไปที่ประตู อินชิงเสวียนก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมาเช่นกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่รอง ข้าจะกลับวังแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่บ้าน ให้ส่งคนมาแจ้งข้าด้วย”อินจ้งพยักหน้าหงึกหงัก“เจ้าก็ต้องรักษาสุขภาพ ดูแลลูกให้ดีด้วย”ซูหมิงหลานก้าวไปข้างหน้า จับมืออินชิงเสวียนแล้วกระซิบ “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา ในบ้านเรียบร้อยดีทุกอย่าง เจ้าอยู่ในวังคนเดียวก็ไม่ง่าย ต้องระวังและคิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำ”อินชิงเสวียนรู้สึกอบอุ่นในใจ นางพูดเบาๆ “ขอบคุณท่านแม่รอง ข้าจะจดจำคำสอนของท่านแม่รอง ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ ท่านพ่อ พี่รอง และน้องหญิงเล็ก ต้องรบกวนท่านแม่รองให้ช่วยดูแลแล้ว”ซูหมิงหลานพูดด้วยใบหน้าเปี่ยมรัก “เราเป็นครอบครัวเด
“ในเมื่อกงกงให้เราไป เราก็ไปเถอะ เราไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ไม่มีอะไรต้องกลัว”กระเสียงเย้ายวนมีเสน่ห์ดังมาจากในตำหนัก แล้วจูอวี้เหยียนก็เดินนวดนาดออกมาหลี่เต๋อฝูเหลือบมองนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงท่านนี้ยังมีไหวพริบ เช่นนั้นก็เชิญเถิด”จูอวี้เหยียนโน้มตัวเล็กน้อย แล้วพาทุกคนออกจากหอซีอวิ๋นนางหลุบตาลง ระหว่างทางที่เดินก็ระดมหนอนกู่ในร่างกายด้วยในห้องหนังสือ จิตใจของเย่จิ่งอวี้เริ่มกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ ความปรารถนาที่จะพบหน้าสาวใช้เหล่านั้นก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเขานั่งบนเก้าอี้ พยายามสงบจิตใจ หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที เขาก็ลุกขึ้นยืน“เด็กๆ ไปคุกหลวง”ในเวลานี้ จูอวี้เหยียนและคนอื่นๆ มาถึงแล้ว นางหันกลับมา ถามด้วยรอยยิ้มหวานราวบุปผา “กงกงท่านนี้ ไม่ทราบว่าพวกเรามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด”หลี่เต๋อฝูกล่าวว่า “ฝ่าบาทต้องการถามอะไรบางอย่าง จึงต้องลำบากนายหญิงทุกคนแล้ว เด็กๆ มามัดนายหญิงเหล่านี้ไว้”“ช้าก่อน”เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านนอกประตูเย่จิ่งอวี้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามาจากประตูหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับกล่าวว่า “ฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้มองไปที่จูอวี้เหยีย
เสี่ยวอานจื่อเงยหน้าขึ้นมองดูสีหน้าของอินชิงเสวียน โดยที่ไม่กล้าปริปากเอ่ยคำใด“ไม่ต้องแล้ว เรากลับกันเถอะ”ใบหน้าของอินชิงเสวียนเย็นชา หลังจากพูดจบนางก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองเสี่ยวอานจื่อรีบไล่ตามหลังไป“พระสนม...”“ข้าไม่เป็นไร”อินชิงเสวียนไม่พูดอะไรอีก นางเดินกลับไปที่ตำหนักจินหวู นางมองซ้ายขวา แล้วเปิดโทรศัพท์ ทันใดนั้นฉากของหอซีอวิ๋นก็ปรากฏขึ้นเห็นเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ตำแหน่งที่หนักหลักอย่างสง่าผ่าเผย ด้านล่างเป็นกลุ่มสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าบ้างก็กำลังเล่นเครื่องดนตรี บ้างก็กำลังร่ายรำ ดูน่าดึงดูดมากสตรีชื่อเหยียนหงนั่งอยู่ข้างๆ เย่จิ่งอวี้ คอบปรนนิบัติรับใช้เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นฉากนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกเปลวไฟที่คุกรุ่นอยู่ในใจไม่กี่ชั่วยามก่อนยังบอกว่าจะพานางไปชมภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียง แต่เพียงพริบตาเดียวก็ไปฟังเพลงดูการร่ายรำกับสตรีจากเจียงวูเหล่านั้นปากของบุรุษ มีแต่คำโกหกพกลมจริงๆอินชิงเสวียนโกรธจัดจนแลกเปลี่ยนขนมมานั่งกินบนเตียงอาหารรสเลิศสามารถทำให้คนอารมณ์ดีได้จริงๆ พอกินจนรู้สึกสบายใจแล้ว ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก เวลานี้ เย่จิ่งอวี้ที่
“นี่เป็น...เรื่องจริงงั้นหรือ”รูม่านตาของเย่จิ่งอวี้หดตัวลงพลัน เรียวตาหงส์คู่นั้นจ้องมองภาพในโทรศัพท์อินชิงเสวียนพูดเบาๆ “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อครู่ฝ่าบาทก็ปรากฏตัวด้วย ย่อมรู้ว่าสิ่งนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าเมื่อครู่เขาอยู่ในหอซีอวิ๋น และฉากภายในก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาทำโดยไม่ได้ออกมาจากใจ เรียวตาหงส์ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา“เจียงวูไม่มีเจตนาดีจริงๆ”อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ภายใต้การควบคุมของกู่เสน่หา อาจส่งผลกระทบต่อความคิดและจิตใจ ฉะนั้นเรื่องนี้มอบให้หม่อมฉันจัดการจึงเหมาะสมที่สุด”จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงถ้วยชาที่จูอวี้เหยียนส่งให้เขา อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเกลียดชัง “คงเป็นเพราะชาถ้วยนั้น”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ“ฝ่าบาทก็ได้ยินแล้ว เมื่อใดที่กู่พิษเลือกแล้ว คนผู้นั้นก็จะหนีไม่พ้น พวกนางมาถึงเมืองหลวง เราก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้”“โจรถ่อยพวกนี้...”เย่จิ่งอวี้ต้องการสั่งให้คนจับตัวพวกนางไปทั้งหมด แต่มีเสียงในใจบอกเขาว่า ห้ามจับเขาไม่สามารถควบคุมความคิดของเขาได้ และมีอาการปวดหัวอีกครั้งเมื
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เย่จิ่งอวี้ที่สวมชุดคลุมมังกรก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เสวียนเอ๋อร์”อินชิงเสวียนหันกลับไปมอง พอเห็นมาลามงกุฎบนศีรษะของเขา ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฝ่าบาท เหตุใดท่านจึงมาที่นี่”ในเวลานี้ เย่จิ่งอวี้ต้องประชุมเช้าอยู่ในราชสำนัก เขาไม่เคยมาวังหลังโดยที่ไม่ถอดมาลามงกุฎ แต่วันนี้กลับดูเร่งร้อนขนาดนี้จู่ๆ จูอวี้เหยียนก็แสดงสีหน้ายินดี นางคลานไปข้างหน้าสองก้าว แล้วกอดขาของเย่จิ่งอวี้“ฝ่าบาท กุ้ยเฟยบอกว่าพวกหม่อมฉันเป็นสายลับที่เจียงวูส่งมา มาถึงก็ทุบตีพวกหม่อมฉันโดยไม่ถามถูกผิด ขอฝ่าบาทช่วยให้ความเป็นธรรมกับพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ”เย่จิ่งอวี้อดทนต่ออาการปวดหัวแทบระเบิด พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เสวียนเอ๋อร์พูดถูก เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าเป็นสายลับ”จูอวี้เหยียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้างามเปื้อนน้ำตาดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝนพูดว่า “ฝ่าบาททรงปรีชา หม่อมฉันไม่ใช่สาบลับจริงๆ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย”เมื่อสบตากัน เย่จิ่งอวี้ก็ตะลึงงันเสียงในใจของเขาพูดว่า ใช่แล้ว สตรีที่อ่อนแอเช่นนี้จะเป็นสายลับได้อย่างไรเขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น มองไปที่อินชิงเสวียน“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าคงสับสนกร