“ในเมื่อกงกงให้เราไป เราก็ไปเถอะ เราไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ไม่มีอะไรต้องกลัว”กระเสียงเย้ายวนมีเสน่ห์ดังมาจากในตำหนัก แล้วจูอวี้เหยียนก็เดินนวดนาดออกมาหลี่เต๋อฝูเหลือบมองนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงท่านนี้ยังมีไหวพริบ เช่นนั้นก็เชิญเถิด”จูอวี้เหยียนโน้มตัวเล็กน้อย แล้วพาทุกคนออกจากหอซีอวิ๋นนางหลุบตาลง ระหว่างทางที่เดินก็ระดมหนอนกู่ในร่างกายด้วยในห้องหนังสือ จิตใจของเย่จิ่งอวี้เริ่มกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ ความปรารถนาที่จะพบหน้าสาวใช้เหล่านั้นก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเขานั่งบนเก้าอี้ พยายามสงบจิตใจ หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที เขาก็ลุกขึ้นยืน“เด็กๆ ไปคุกหลวง”ในเวลานี้ จูอวี้เหยียนและคนอื่นๆ มาถึงแล้ว นางหันกลับมา ถามด้วยรอยยิ้มหวานราวบุปผา “กงกงท่านนี้ ไม่ทราบว่าพวกเรามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด”หลี่เต๋อฝูกล่าวว่า “ฝ่าบาทต้องการถามอะไรบางอย่าง จึงต้องลำบากนายหญิงทุกคนแล้ว เด็กๆ มามัดนายหญิงเหล่านี้ไว้”“ช้าก่อน”เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านนอกประตูเย่จิ่งอวี้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามาจากประตูหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับกล่าวว่า “ฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้มองไปที่จูอวี้เหยีย
เสี่ยวอานจื่อเงยหน้าขึ้นมองดูสีหน้าของอินชิงเสวียน โดยที่ไม่กล้าปริปากเอ่ยคำใด“ไม่ต้องแล้ว เรากลับกันเถอะ”ใบหน้าของอินชิงเสวียนเย็นชา หลังจากพูดจบนางก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองเสี่ยวอานจื่อรีบไล่ตามหลังไป“พระสนม...”“ข้าไม่เป็นไร”อินชิงเสวียนไม่พูดอะไรอีก นางเดินกลับไปที่ตำหนักจินหวู นางมองซ้ายขวา แล้วเปิดโทรศัพท์ ทันใดนั้นฉากของหอซีอวิ๋นก็ปรากฏขึ้นเห็นเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ตำแหน่งที่หนักหลักอย่างสง่าผ่าเผย ด้านล่างเป็นกลุ่มสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าบ้างก็กำลังเล่นเครื่องดนตรี บ้างก็กำลังร่ายรำ ดูน่าดึงดูดมากสตรีชื่อเหยียนหงนั่งอยู่ข้างๆ เย่จิ่งอวี้ คอบปรนนิบัติรับใช้เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นฉากนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกเปลวไฟที่คุกรุ่นอยู่ในใจไม่กี่ชั่วยามก่อนยังบอกว่าจะพานางไปชมภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียง แต่เพียงพริบตาเดียวก็ไปฟังเพลงดูการร่ายรำกับสตรีจากเจียงวูเหล่านั้นปากของบุรุษ มีแต่คำโกหกพกลมจริงๆอินชิงเสวียนโกรธจัดจนแลกเปลี่ยนขนมมานั่งกินบนเตียงอาหารรสเลิศสามารถทำให้คนอารมณ์ดีได้จริงๆ พอกินจนรู้สึกสบายใจแล้ว ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก เวลานี้ เย่จิ่งอวี้ที่
“นี่เป็น...เรื่องจริงงั้นหรือ”รูม่านตาของเย่จิ่งอวี้หดตัวลงพลัน เรียวตาหงส์คู่นั้นจ้องมองภาพในโทรศัพท์อินชิงเสวียนพูดเบาๆ “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อครู่ฝ่าบาทก็ปรากฏตัวด้วย ย่อมรู้ว่าสิ่งนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าเมื่อครู่เขาอยู่ในหอซีอวิ๋น และฉากภายในก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาทำโดยไม่ได้ออกมาจากใจ เรียวตาหงส์ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา“เจียงวูไม่มีเจตนาดีจริงๆ”อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ภายใต้การควบคุมของกู่เสน่หา อาจส่งผลกระทบต่อความคิดและจิตใจ ฉะนั้นเรื่องนี้มอบให้หม่อมฉันจัดการจึงเหมาะสมที่สุด”จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงถ้วยชาที่จูอวี้เหยียนส่งให้เขา อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเกลียดชัง “คงเป็นเพราะชาถ้วยนั้น”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ“ฝ่าบาทก็ได้ยินแล้ว เมื่อใดที่กู่พิษเลือกแล้ว คนผู้นั้นก็จะหนีไม่พ้น พวกนางมาถึงเมืองหลวง เราก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้”“โจรถ่อยพวกนี้...”เย่จิ่งอวี้ต้องการสั่งให้คนจับตัวพวกนางไปทั้งหมด แต่มีเสียงในใจบอกเขาว่า ห้ามจับเขาไม่สามารถควบคุมความคิดของเขาได้ และมีอาการปวดหัวอีกครั้งเมื
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เย่จิ่งอวี้ที่สวมชุดคลุมมังกรก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เสวียนเอ๋อร์”อินชิงเสวียนหันกลับไปมอง พอเห็นมาลามงกุฎบนศีรษะของเขา ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฝ่าบาท เหตุใดท่านจึงมาที่นี่”ในเวลานี้ เย่จิ่งอวี้ต้องประชุมเช้าอยู่ในราชสำนัก เขาไม่เคยมาวังหลังโดยที่ไม่ถอดมาลามงกุฎ แต่วันนี้กลับดูเร่งร้อนขนาดนี้จู่ๆ จูอวี้เหยียนก็แสดงสีหน้ายินดี นางคลานไปข้างหน้าสองก้าว แล้วกอดขาของเย่จิ่งอวี้“ฝ่าบาท กุ้ยเฟยบอกว่าพวกหม่อมฉันเป็นสายลับที่เจียงวูส่งมา มาถึงก็ทุบตีพวกหม่อมฉันโดยไม่ถามถูกผิด ขอฝ่าบาทช่วยให้ความเป็นธรรมกับพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ”เย่จิ่งอวี้อดทนต่ออาการปวดหัวแทบระเบิด พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เสวียนเอ๋อร์พูดถูก เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าเป็นสายลับ”จูอวี้เหยียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้างามเปื้อนน้ำตาดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝนพูดว่า “ฝ่าบาททรงปรีชา หม่อมฉันไม่ใช่สาบลับจริงๆ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย”เมื่อสบตากัน เย่จิ่งอวี้ก็ตะลึงงันเสียงในใจของเขาพูดว่า ใช่แล้ว สตรีที่อ่อนแอเช่นนี้จะเป็นสายลับได้อย่างไรเขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น มองไปที่อินชิงเสวียน“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าคงสับสนกร
จวนจิ้งอ๋องเย่จั้นกำลังเก็บจัดเสื้อผ้า ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้ว ถึงเวลาออกเดินทางแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้เตรียมตัวที่จะออกจากเมืองหลวง เนื่องจากเมืองซุ่ยหานส่งจดหมายมาแจ้งว่าเป่ยมู่ต๋าถอนกำลังทหารออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้จึงขอให้เขาอยู่ต่ออีกสองสามวันเย่จั้นบังเอิญไปที่วัดสุ่ยจิ้ง จากนั้นไปที่โรงน้ำชาเพื่อสอบถามข่าวเป่ยไห่ อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้รู้เรื่องเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่ออีกทันทีที่เก็บของเสร็จเรียบร้อย คนรับใช้ก็มารายงาน“ท่านอ๋อง หวงกุ้ยเฟยเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลายวันนี้อินชิงเสวียนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาที่จวนอ๋องได้“กุ้ยเฟยมากับใคร”คนรับใช้กล่าวอย่างพินอบพิเทา “มีเพียงองค์ชายน้อย และบ่าวรับใช้สองคนเท่านั้น”เย่จั้นพยักหน้า“เชิญเข้ามา”ครู่ต่อมา อินชิงเสวียนก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเดินเข้ามาจากด้านนอกเย่จั้นโค้งคำนับ กล่าวว่า “ถวายพระพรกุ้ยเฟย”อินชิงเสวียนยิ้มเบาๆ ตอบว่า “ท่านอ๋องตามสบาย ข้ามาที่นี่เพราะข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับท่านอ๋อง”พวกเขาทั้งสองก็นับว่าเคยร่วมงานกันหลายครั้ง
เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งเครียดของอินชิงเสวียน ยายหลี่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก นางโค้งคำนับแล้วถอยออกไปอินชิงเสวียนกำลังนั่งอยู่ในห้องโถง เล่นเกมไปด้วย มองกล้องวงจรปิดด้านนอกไปด้วยชั่วพริบตาก็ถึงยามไห้ (เวลา 21.00 - 23.00 น.)อินชิงเสวียนกำลังเล่นเกมแคนดี้ครัชอยู่ลำพัง แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงจากกล้องวงจรปิดแล้วมีคนตะโกน “นั่นใคร”ฟางรั่วและคนอื่นๆ ไม่คาดคิดว่าจะมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่ในตำหนักจินหวูจำนวนมาก พวกนางตกใจทันทีนางพลิกฝ่ามือแล้วกระแทกใส่คนหนึ่งในนั้นออกไป และกระซิบ “รีบสู้รีบกลับ จัดการกับพวกเขาโดยเร็ว”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา แล้วพาเขาเข้าไปในมิติจากนั้นก็เปิดประตู แล้วเดินออกจากเรือนอย่างสงบ“ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงเป็นฟางรั่วกระมัง ในเมื่อเจ้าชื่นชอบเจ้านายของเจ้ามากถึงเพียงนั้น ทำไมเจ้าถึงกลับมาที่ต้าโจวอีก”หัวใจของฟางรั่วเต้นรัว อินชิงเสวียนสามารถเดาตัวตนของนางได้!ขณะที่กำลังตกตะลึง ทหารองครักษ์ก็เข้าโจมตีแล้วฟางรั่วไม่กล้าวอกแวก ต่อสู้กับทหารองครักษ์ทันทีอินชิงเสวียนมองไปที่ฟางรั่วอย่างเย็นชา พูดเชิงสัพยอก “คิดว่าจูอวี้เหยียนคงไปที่ห้องห
สติสัมปชัญญะของเย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในภวังค์ทันที“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือว่านักฆ่าคือคนเหล่านี้จริงๆ”อินชิงเสวียนพูดไม่ออกชั่วขณะ หากนางไม่รู้ว่าเย่จิ่งอวี้ถูกครอบงำโดยกู่เสน่หา อินชิงเสวียนคงจะสงสัยว่าฝ่าบาทที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คนเดิมฮ่องเต้น้อยที่ครั้งหนึ่งเคยเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว แววตาเฉียบคม กลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ซึ่งทำให้นางทั้งหงุดหงิด ทั้งปวดใจจริงๆไม่ว่าต้องใช้วิธีใด นางก็ต้องช่วยเย่จิ่งอวี้กำจัดพิษกู่ให้ได้ นังแม่มดจูอวี้เหยียนก็ต้องชดใช้เช่นกัน“หม่อมฉันแน่ใจ ทหารองครักษ์เหล่านี้ล้วนถูกส่งมาจากฝ่าบาท แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่เชื่อหม่อมฉัน แต่จะไม่เชื่อพวกเขาหรือเพคะ”ทหารองครักษ์คุกเข่าลงทันที ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “คนเหล่านี้คือคนที่มาที่ตำหนักจินหวูเพื่อลอบสังหารจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”จูอวี้เหยียนกล่าวอีกครั้ง “ฝ่าบาท เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนจึงพูดว่า “ฝ่าบาท มีสายตาหลายคู่จ้องมองอยู่ หม่อมฉันจะโป้ปดมดเท็จได้หรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในความสับสนเนื่องจากอิทธิพลของหนอนกู่ แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินพวกนางทะเลาะกัน เขาก็เริ่มปวดหัวอีกครั้ง“เรื่องนี้ไว้ค่อย
จูอวี้เหยียนกลอกตา เหลือบมองหญิงสาวเหล่านั้น แล้วหัวเราะเบาๆ “พวกเจ้าจงรักภักดีต่อข้า?”ทุกคนคุกเข่าลงอย่างลนลาน “พวกบ่าวไม่มีทางคิดไม่ซื่อต่อราชครู”จูอวี้เหยียนยังคงยิ้มอยู่ นางหยิบยาลูกกลอนสีเขียวหลายเม็ดออกจากแขนเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะ“ในเมื่อพวกเจ้าภักดีต่อข้า เช่นนั้นก็กินยานี่ ต่อไปทุกวันที่หนึ่งของเดือน ข้าจะให้ยาแก้พิษกับพวกเจ้า”หญิงสาวเหล่านั้นต่างมองหน้ากัน แล้วทยอยเดินไปหยิบยาทุกคนจูอวี้เหยียนเงยหน้าขึ้นมอง“ฟางรั่ว ถึงตาเจ้าแล้ว”ใบหน้าของฟางรั่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามด้วยเสียงแผ่วต่ำ “บ่าวก็ต้องกินด้วยหรือ”จูอวี้เหยียนพูดด้วยรอยยิ้มแต่แววตาไม่ยิ้ม “ฟางรั่ว เจ้าไม่ใช่หน่วยกล้าตายของอาซือหลานอีกต่อไปแล้ว เป็นข้าที่ช่วยเจ้าไว้ เจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้าไปตลอดชีวิต เจ้าคิดว่าเจ้าควรกินหรือไม่เล่า”ฟางรั่วเม้มริมฝีปากแรงๆ แล้วหยิบยาเม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปากในอีกด้านหนึ่งของหน้าจอโทรศัพท์ อินชิงเสวียนกำลังดูภาพในหอซีอวิ๋นสำหรับความคิดเห็นของเย่จั้น นางไม่มีความหวังมากนัก แต่ในตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเฝ้าจับตาดูจูอวี้เหยียนก่อน แล้วค่อยหาข้อพิรุธให้เจอ