ไอเย็นยะเยือกชนิดหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของคนชุดดำ ทำให้อินชิงเสวียนชาวาบไปทั้งศีรษะนางหยุดฝีเท้าลง กระซิบกับเสี่ยวอานจื่อ “เจ้ากลับตำหนักไปก่อน ปกป้องจ้าวเอ๋อร์ให้ดี”เสี่ยวอานจื่อไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นคนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติงราวกับภูตผีก็ไม่ปาน เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจแล้ว“พระสนม...”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง“อย่าพูดมาก รีบไปซะ”เสี่ยวอานจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”คนชุดดำทำราวกับมองไม่เห็นเสี่ยวอานจื่อ ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งแต่เพียงอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเสี่ยวอานจื่อหายตัวไป นางจึงประกบมือคำนับพูดว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเข้าวังมาด้วยธุระอันใด”คนผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง “ลิ่นเซียวไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และพิณก็ไม่ได้อยู่กับเขา”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พิณก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้เยาว์เช่นกัน ผู้อาวุโสที่เป็นถึงยอดฝีมือผู้ถือสันโดษ คงไม่บีบบังคับผู้เยาว์เพียงเพราะเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวกระมัง หากผู้อาวุโสดึงดันต้องการให้แสดงวรยุทธ์ที่แท้จริง ผู้เยาว์ก็พร้อมรับใช้”สิ่
“หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์คือที่ใดกันแน่”เย่จิ่งอวี้มองไปที่คนชุดดำและถามอย่างเย็นชาทันทีที่เขาได้ยินคำนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเคยได้ยินมาก่อนสายตาคนชุดดำจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเย่จิ่งอวี้โดยไม่ละสายตา โดยที่อารมณ์ความรู้สึกในดวงตาฉายแวววูบไหวไม่แน่นอน“ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครในโลกจะหาพบได้ ฝ่าบาทอย่าถามมากจะดีกว่า สำนักที่ถือสันโดษไม่เกี่ยวข้องกับทางโลก และฝ่าบาทก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแดกดัน “ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับไต้หล้า แล้วเหตุใดถึงต้องมาแย่งชิงพิณการเวกไปด้วยเล่า”คนชุดดำกล่าวว่า “เดิมทีพิณการเวกเป็นของอาจารย์ในสำนักของข้า เป็นลิ่นเซียวที่ล่อลวงหลี่เฟิ่งอี๋และนำพิณนี้มาสู่ใต้หล้า หากได้พิณนี้แล่ว ข้าสัญญาว่าจะไม่มารบกวนพวกเจ้าอีก”เย่จิ่งอวี้ไม่เชื่อคำมุสาของนาง จึงถามอีกว่า “แล้วกระพรวนทองนั่นเจ้าได้มาจากที่ใด มีคุณสมบัติอย่างไรกันแน่”อินชิงเสวียนกลับมาพอดี เมื่อได้ยินเย่จิ่งอวี้ถามเกี่ยวกับกระพรวนทอง นางก็ชะงักกึกทันทีเย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพราะเสียงกระพรวนมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสนี้ถามให้กระจ่า
“เสด็จอาไม่ต้องร้อนใจไป รองแม่ทัพหลิวเฉิงโจวและเสด็จอารบทัพจับศึกตั้งแต่เหนือยันใต้ เรื่องการป้องกันเมืองไม่เป็นปัญหา ถ้าเสด็จอายืนกรานที่จะไปให้ได้ ข้าก็ทำได้แค่ต้องไปส่งเสด็จอากลับด้วยตัวเอง”ครั้นได้ยินคำพูดของเย่จิ่งอวี้ เย่จั้นก็ถอนหายใจ“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้ตบมือที่ซีดเซียวของเขาเบาๆ ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วพูดว่า “ท่านกับข้าเป็นอาหลาน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”เมื่อเห็นว่าสองอาหลานสนิทสนมแน่นแฟ้นขนาดนี้ อินชิงเสวียนก็ไม่วายอิจฉาในใจยังคิดถึงตระกูลอินสองพ่อลูก ไม่รู้ว่าพวกเดินทางไปถึงที่ใดแล้วพวกเขากลับมาอยู่ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ นางไม่ทันมีเวลาได้ถามถึงเรื่องของอินหลีเลยด้วยซ้ำในเวลาเดียวกัน จู่ๆ อินปู้อวี่ที่กำลังเดินทางอยู่ก็จามขึ้น“สหายอิน เจ้าไม่สบายหรือเปล่า”กวนเซี่ยวเดินม้ามาถามอินปู้อวี่ลูบจมูก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “ไม่เป็นไร น้องหญิงใหญ่อาจกำลังคิดถึงข้า”กวนเซี่ยวพูดติดตลก “ที่แท้ก็เป็นน้องสาวอินนี่เอง ข้าคิดว่าเจ้ากำลังพูดถึงสตรีผู้อื่นเสียอีก”อินปู้อวี่ต่อยเขาเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก “สตรีผู้ใดจะมาชอบข้า”กวนเซี่ยวกอดอกมองดูเ
ฟางรั่วตัวสั่นไปทั้งร่างกล่าวด้วยสีหน้าหวาดผวาว่า “ราชครูโปรดไว้ชีวิตด้วย”ให้ตายนางก็นึกไม่ถึงว่า ตัวเองอุตส่าห์ปลอมตัวมาตลอดทาง แต่ตัวตนกลับถูกเปิดเผยก่อนที่จะได้พบกับอาซือหลานด้วยซ้ำ“นังไพร่ชั้นต่ำ ยังกล้าขอให้ข้าไว้ชีวิตอีก ถ้าท่านอ๋องรู้ว่าเจ้าเป็นคนสวมรอยแทน เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”จูอวี้เหยียนตบหน้านางอีกฉาดหนึ่ง จนมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของฟางรั่วเมื่อนึกถึงวิธีการอันโหดเหี้ยมของอาซือหลานแล้ว ฟางรั่วก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นไม่รู้ว่าผีร้ายอะไรมาดลใจนางจริงๆ ทำไมถึงได้โดนอินชิงเสวียนหลอกได้ ท่านอ๋องเชี่ยวชาญในวิชาแปลงโฉม เป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่ออก นางถึงขั้นเพ้อฝันอยากจะค้างคืนกับเขาจริงๆ...เมื่อคิดถึงผลที่ตามมา ฟางรั่วก็หน้าถอดสีทันที“บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ทั้งหมดต้องโทษอินชิงเสวียนที่เจ้าเล่ห์เกินไป นางควบคุมตัวบ่าวไว้ แย่งหน้ากากของบ่าวไป แล้วใส่หน้ากากนี้ไว้บนใบหน้าของบ่าว บาวยังถูกจี้สกัดจุดมาตลอดทาง ไม่มีโอกาสที่จะอธิบายความจริงให้หระจ่าง”ฟางรั่วคลานขึ้นมาโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างกายของนางสั่นสะท้านราวกับเรือลำเล็กในทะเลใหญ่จูอวี้เหยียนเหลือบ
ในเวลานี้ อาซือหลานพร้อมด้วยสาวใช้ทั้งสี่คนได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังภูเขาด่านถงกู่ได้รับการพิทักษ์ปกป้องโดยต้าโจวมาโดยตลอด หากพวกเขาต้องการกลับไปที่เจียงวู ก็มีแต้ต้องปีนข้ามเขาเท่านั้นหลังจากพักผ่อนไม่กี่วัน ความแข็งแกร่งทางร่างกายของอาซือหลานฟื้นตัวพอสมควรแล้ว สีหน้าดูสดใสขึ้นมากเขาขึ้นภูเขาด้วยฝีเท้าว่องไวดุจบินได้ ราวกับเดินบนพื้นราบ สาวใช้ทั้งสี่เดินตามหลังเขาไปติดๆ ทุกคนหายใจหอบ เหงื่อไหลไคลย้อย เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา อาซือหลานก็หยุดฝีเท้าลง เอามือไพล่หลัง แล้วทอดสายตามองด่านถงกู่ไกลๆนี่เป็นปราการธรรมชาติด่านสุดท้ายของต้าโจว หากสามารถผ่านด่านถงกู่ได้ ก็สามารถโรมรุกบุกตะลุยตรงเข้าไปยึดเมืองหลวงได้เขาเล่นกับต้าโจวมานานแล้ว และถึงเวลาที่จะต้องกลับไปต่อสู้กับพวกที่ดีแต่ดื่มสุราไม่ได้ประโยชน์เหล่านี้อย่างจริงจังแล้วเมื่อคิดว่าเวลานี้อินชิงเสวียนน่าจะมาถึงเจียงวูแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขบัดนี้เย่จั้นได้ตายแล้ว ทั้งอินชิงเสวียนและอินสิงอวิ๋นก็อยู่ในมือของเขา แม้ว่าอินจ้งจะกลับมา แล้วจะทำอะไรได้เล่าแม้เสือร้ายก็ไม่กินลูกของมัน ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าอินจ้งจะลงมือ
ณ สำนักหมอหลวงเย่จั้นฟื้นคืนสติเต็มที่แล้ว อินชิงเสวียนได้ปรุงน้ำแกงที่ใส่น้ำพุวิญญาณให้เขาเป็นพิเศษ ถือเป็นการชดเชยความผิดพลาดของตัวเองน้ำแกงมีรสกลมกล่อมถูกปากมาก เย่จั้นจึงกินได้มาก ซดน้ำแกงไปชามใหญ่ และกินเนื้อไก่ด้วยหลี่เต๋อฝูป้อนอาหารด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นว่าเย่จั้นหยุดกิน เขาก็เก็บชามออกไปเย่จั้นไม่สามารถลุกขึ้นได้ จึงพยักหน้าให้อินชิงเสวียนแทน“ขอบคุณหวงกุ้ยเฟย”อินชิงเสวียนผลิยิ้มบางๆ“ท่านอ๋องเกรงใจไปแล้ว”ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคือเย่จิ่งอวี้ที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าครามปกกว้างปักลายเมฆามงคลสีเข้ม สีสะอาดตา ขับเน้นให้ผิวขาวดูราวกับหยก ยิ่งหล่อเหลายิ่งขึ้น“ดูสีหน้าของเสด็จอา เหมือนจะดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา“ดีขึ้นมากจริงๆ ต้องขอบคุณหมอหลวงเหลียงด้วย ถ้าเขาไม่มาช่วย กระหม่อมคงจากฮ่องเต้ไปแล้ว”เย่จั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตเขา และคิดว่าเป็นหมอหลวงเหลียงที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ทำการผ่าตัดเพื่อกำจัดกู่ออกจากเขาเย่จิ่งอวี้ส่ายศีรษะ“ผู้ที่ช่วยชีวิตเสด็จอาไม่ใช่หมอหลวงเหลียง แต่เป็นเสวียนเอ๋อร์”“โอ้?”เ
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เสด็จอาไม่เคยขอร้องข้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากขอรร้องข้า แม้ว่าจะมีความยากลำบากและเสี่ยงอันตรายมากมาย ข้าก็จะช่วยเขาเติมเต็มความปรารถนาของเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่า...ทำไมเสด็จอาถึงอยากสืบหาหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงอินหลีหลังจากเล่นดนตรีนางหายตัวไป และตอนนี้มีคนมาขโมยพิณ จึงอดปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้แต่เมื่อดูท่าทางของเย่จิ่งอวี้ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เรื่องนี้เลย“ฝ่าบาทไม่กลัวว่าจะเป็นการไปก่อกวนสำนักสันโดษหรอกหรือ”อินชิงเสวียนถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมอง“ข้าย่อมไม่ต้องการไปก่อกวนพวกเขาอยู่แล้ว แต่ข้ายิ่งไม่อยากละอายใจต่อเสด็จอา”เย่จิ่งอวี้หยุดชะงัก และกุมมือเล็กๆ ของอินชิงเสวียนไว้ในฝ่ามือของเขา“หากวันหนึ่ง เสวียนเอ๋อร์ต้องการให้ข้าทำอะไรสักอย่าง แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะยอมทำเพื่อเสวียนเอ๋อร์ ถึงตัวตายก็ไม่หวั่น”เมื่อมองดูดวงตาที่ลึกล้ำราวกับทะเลลึกคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกเหมือนถูกไฟดูด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำนางหลุบตาลง รอยยิ้มก็ระบายออกมาจากมุมริมฝีปากที่เม้มแน่น“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท
เมื่อเย่จิ่งอวี้เข้ามา เห็นอินชิงเสวียนกำลังอ่านหนังสือภายใต้แสงเทียน ท่าทางดูจริงจังยิ่งนักเพื่อไม่ให้อินชิงเสวียนตกใจ เขากระแอมไอเบาๆ อินชิงเสวียนเงยหน้าที่ขอบตาแดงก่ำขึ้น ก็เห็นเย่จิ่งอวี้ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูพอหันไปมองเสี่ยวหนานเฟิงดูอีกที เห็นเขากัดกำปั้นเผลอหลับไปแล้ว“อ่านอะไรอยู่ เพลินขนาดนั้นเลยรึ”เย่จิ่งอวี้เดินไปที่เตียง และก้มลงดูอินชิงเสวียนขยี้ตาเบาๆ“เป็นตำราเลี้ยงลูก ซื้อมาจากพ่อค้าก่อนที่จะออกเรือนเพคะ”เย่จิ่งอวี้หยิบหนังสือขึ้นมาและถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้ทำมาจากอะไร”ตอนที่อินชิงเสวียนยังเป็นขันทีน้อย เขาสนใจใคร่รู้เจ้าสิ่งที่สามารถบันทึกตัวอักษรเหล่านี้ได้การใช้สิ่งของประเภทนี้จดบันทึกเหตุการณ์น่าจะสะดวกกว่าม้วนไม้ไผ่มากนัก ม้วนใบไผ่อาจดูใหญ่ แต่จริงๆ แล้วไม่สามารถจดจารตัวอักษรได้มากนักแต่ตำราเล่มเล็กๆ นี้กลับสามารถบันทึกตัวอักษรได้หลายพันคำ ทั้งยังพกพาสะดวก เย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วก็ไม่ยุ่งยากเพคะ ขั้นแรกต้มเปลือกไม้ต้นป่านให้กลายเป็นเยื่อกระดาษ ทิ้งให้เย็น วางบนม