อินชิงเสวียนรู้สึกกระดากใจอยู่พักหนึ่ง“เอ่อ...นี่...”ต่งจื่ออวี๋พูดอย่างใจกว้าง “ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าไม่ได้เอาม้าของข้ามา ข้าก็ไม่รู้ว่าจะตามเจ้าทันหรือไม่ แต่ข้าเกรงว่าม้าตัวนี้จะไม่รอดแล้วล่ะ”เขามองม้าด้วยดวงตาเศร้าโศกอินชิงเสวียนก็ไม่อยากขี่ม้าจนมันตาย แต่ม้าตัวนี้อาจไม่มีอาการป่วยร้ายแรงใดๆ มันอาจจะแค่หมดแรง บางทีน้ำจากน้ำพุวิญญาณอาจช่วยชีวิตมันได้จึงบอกว่า “มันคงจะหิวน้ำกระมัง เดี๋ยวข้าจะเอาน้ำมาให้”อินชิงเสวียนพูดจบนางก็เดินเข้าไปในป่าต่งจื่ออวี๋ตะโกนอยู่ข้างนอก “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”“ข้าจะไปเอาน้ำ ผิดจริยาอย่าดู เจ้าอย่าเข้ามานะ”หลังจากได้ยินที่อินชิงเสวียนพูดแล้ว ต่งจื่ออวี๋ก็ไม่เข้าใจไปเอาน้ำทำไมต้องปกปิดด้วยแต่เขาไม่กล้าบุ่มบ่าม จึงตอบ “ได้ ข้าจะรอเจ้า”อินชิงเสวียนเข้าไปในมิติแล้ว เติมอ่างน้ำด้วยอ่างกระเบื้องเคลือบ แล้วก็หาถุงใส่น้ำ และเทบางส่วนให้ต่งจื่ออวี๋ด้วยต่งจื่ออวี๋รู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาเห็นอินชิงเสวียนถืออ่างกระเบื้องเคลือบขนาดใหญ่ออกมาเอามาจากไหนกันนะอินชิงเสวียนเดินไปถึงตัวม้า ลูบหัวของมันแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ตายหรอก คงเหนื่อยเกินไป
ณ วังหลวงเมื่อเสียงไก่ขันดังขึ้นสามครั้ง ในที่สุดเย่จิ่งอวี้กค่อยๆ ตื่นขึ้นพอลืมตาขึ้น เขาเห็นหมอหลวงคุกเข่าอยู่บนพื้นเขาลุกขึ้นนั่งทันที “เสวียนเอ๋อร์กลับวังแล้วหรือยัง”หมอหลวงเหลียงคลานไปข้างหน้าหลายก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “พระสนมเหยาเฟยเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ฝ่าบาทได้โปรดเห็นแก่พระวรกายเป็นสำคัญด้วยเภิดพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากนั้นทันทีก็มีเสียงที่ชัดเจนและอ่อนโยนดังขึ้นในห้อง“กระหม่อมได้ส่งคนออกจากเมืองไปค้นหาแล้ว ฝ่าบาทโปรดอย่ากังวลเกินไปนัก”ครั้นแล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฏสู่คลองสายตา และเห็นเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะที่สะดุดตาเป็นพิเศษเมื่อเห็นคนผู้นี้ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้น“เสด็จอามาตั้งแต่เมื่อไหร่”เย่จั้นมองเย่จิ่งอวี้อย่างเป็นห่วง“หมอหลวงเหลียงส่งคนมาแจ้งให้ข้าทราบ ตอนนี้ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรบ้าง”“ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”เย่จิ่งอวี้ลุกจากเตียง สวมรองเท้าหุ้มส้นทรงสูงมังกรทองสีเหลืองอ่อนเขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เสด็จอาได้ข่าวอะไรบ้างหรือไม่”เย่จั้นส่ายศีรษะ “ยังไม่มี”แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะรู้อยู่
ในเวลานี้ เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังมาจากในบ้าน สีหน้าท่าทางของชายผมขาวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็แวบหายเข้าไปในเรือนฝ่ามือของเย่จิ่งอวี้สะบัดได้เพียงความว่างเปล่า จากนั้นคนก็ตามเข้าไปในเรือนเย่จั้นก็ตามไปติดๆ ทั้งสองทยอยเข้าประตูไป และแน่นอนว่าพวกเขาเห็นเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้นเสี่ยวหนานเฟิงไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย เอาแก้มแนบชายผมขาวอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเย่จิ่งอวี้ก็เห็นหยดน้ำไหลลงมาตามแขนเสื้อของชายผมขาวหลังจากที่เสี่ยวหนานเฟิงปัสสาวะเสร็จ เขาก็มีความสุข ชี้นิ้วป้อมๆ ไปที่เย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก “เด็จพ่อ~”“จ้าวเอ๋อร์!”เมื่อได้ยินลูกชายเรียกตัวเอง ขอบตาของเย่จิ่งอวี้แดงก่ำเห็นลูกอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นวันนี้ถึงต้องเสี่ยงชีวิตก็พาเขากลับวังให้ได้ในเวลานี้ บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เย่จิ่งอวี้และเย่จั้นดูเหมือนจะถูกผลักด้วยพลังมหาศาล จนพวกเขาถอยออกไปก้าวหนึ่งชายผมขาวได้ผลักกำลังภายในของเขา คราบน้ำบนแขนเสื้อของเขาแห้งทันที เขาเงยหน้าขึ้น แล้วพูดเบาๆ ว่า “เห็นแก่เ
“เจ้าอยู่ในวัง...สบายดีหรือเปล่า...”มีโอกาสไม่มากนักที่จะได้พบกันแบบนี้ สวีเม่าจึงใช้เวลาถามลูกสาวของเขาว่านางเป็นอย่างไรบ้างสวีจือย่วนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ลูกเรียบร้อยดีทุกอย่าง”สวีเม่าจับมือลูกสาว แล้วมองขึ้นลงอย่างสำรวจตรวจตรา รู้สึกภูมิใจจนหุบปาดไม่ลงด้วยซ้ำ“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี รู้ว่าเจ้าสบายดี ข้ากับแม่ของเจ้าก็สบายใจ”ความจริงที่ว่าฝ่าบาทอนุญาตให้พวกเขาสองพ่อลูกได้พบกันตามลำพัง ก็พิสูจน์ว่าเขาดีต่อสวีจือย่วนเพียงใด และการเลื่อนตำแหน่งจากอาลักษณ์ไปเป็นผู้ช่วยเจ้ากรม ก็มีมูลเหตุมาจากบุตรสาวสวีเม่าเป็นคนมีเหตุผล เขามองไปที่ลูกสาว และพูดด้วยสีหน้ายินดี “อยู่ในวังต้องประพฤติตัวดี ต่อไปหากเคราะห์ดีก็จะได้รับการแต่งตั้งยศเป็นสนมขั้นผินขั้นเฟย ตระกูลสวีของเราก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย”ทันใดนั้นสวีเม่าก็นึกถึงการใกล้กลับราชสำนักของตระกูลอิน สีหน้าของเขาก็ดูกังวลเล็กน้อย“ตอนนี้เมื่อเจ้าเข้าวังแล้ว เจ้าเป็นสตรีของฝ่าบาท เจ้าต้องไม่คิดเรื่องอื่น แม้ว่าตระกูลอินจะได้รับการแก้ไขสถานะให้ถูกต้องแล้ว แต่เจ้ากับอินสิงอวิ๋นก็เป็นไปได้ได้อย่างแน่นอน”สวีจื
การเดินทางระยะไกลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ด้านในต้นขาของอินชิงเสวียนปวดระบมไปหมด โชคดีที่นางสวมชุดกระโปรงสีดำของฟางรั่ว ถ้านางใส่กางเกง ท่าที่เดินคงจะน่าอายไม่น้อยนางกุมบังเหียน แล้วเดินโซเซไปทางวังหลวง ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองสวมใส่หน้ากากใบหน้าของฟางรั่วอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบหาสถานปลอดคน และถอดหน้ากากออกหลังจากใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วยาม อินชิงเสวียนก็มาถึงประตูวังในที่สุดทหารองครักษ์ย่อมรู้จักนางอยู่แล้ว จึงพูดด้วยความประหลาดใจ “พระสนมเหยาเฟย ท่านกลับมาแล้ว”อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า ถามอย่างกังวลทันที “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”ทหารองครักษ์กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงสำราญดี ตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องหนังสือกระมัง”เช้านี้เขาเห็นฝ่าบาทและจิ้งอ๋องขี่ม้าออกจากวัง ท่าทางดูกระตือรือร้นมากอินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย “ฝ่าบาทปลอดภัยดี? แล้วองค์ชายน้อยล่ะ”ทหารองครักษ์ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก “เมื่อวานพระสนมก็อุ้มกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ”เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวหนานเฟิงยังอยู่ในวัง อินชิงเสวียนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เย่จิ่งอวี้คงรู้แผนการของโยวหลานแล้ว พอมาลองคิดดู ถ้าเขาสามารถเป็นฮ่อ
เย่จิ่งอวี้ต้องการออกรบด้วยตัวเองงั้นหรือและเพื่อตัวนางเองอีกด้วย?อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกันนอกจากย่าของนางแล้ว ไม่มีใครดีต่อนางอย่าที่สุดขนาดนี้เลยทันใดนั้นนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วเดินออกจากทางเส้นเล็กไป“ฝ่าบาท หม่อมฉันกลับมาแล้ว”เสียงที่คุ้นเคยทำให้เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อยแล้วก็เห็นร่างอรชรในชุดผ้าโปร่งสีดำยืนอยู่กลางพุ่มไม้เขียวชอุ่ม ใบหน้าที่งดงามราวกับเครื่องกระเบื้องหยก ส่องแสงเจิดจ้าท่ามกลางประกายแดดคิ้วบนใบหน้าของนางปัดเบาๆ จมูกเป็นสีดอกกุหลาบ ริมฝีปากแดงระเรื่อ และดวงตารูปกลมโตคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความโกรธและเสียงหัวเราะ นั่นคืออินชิงเสวียนผู้ที่ทำให้เขาถวิลหาทั้งยามหลับยามตื่นเย่จิ่งอวี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น แล้วหยุดลงเขากระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ราชาสวรรค์เหนือกว่าพยัคฆ์ประจำถิ่น”อินชิงเสวียนยิ้ม “ผู้ถือเจดีย์สะกดปีศาจแห่งหนองน้ำ”“เป็นเจ้าจริงๆ!”เย่จิ่งอวี้รีบก้าวไปข้างหน้าและกอดร่างผอมเพรียวไว้ในอ้อมแขนของเขาเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เค้นออกมาอย่างยากลำบาก “ข้า...เป็นห่วงเจ้ามาก”อุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่นได้ห่อ
ณ ตำหนักเฉิงเทียนเย่จิ่งอวี้แช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ และหลับลึกอีกแล้วบาดแผลที่หน้าอกตกสะเก็ดออกหมด ทิ้งไว้เพียงรอบแผลเป็นสีชมพูฝีมือการเย็นของเย่จิ่งหลานไม่เลวเลย อย่างน้อยบาดแผลก็ไม่น่าเกลียดอินชิงเสวียนยืนอยู่ข้างๆ เมื่อมองไปที่เย่จิ่งอวี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความลำเอียงของท่านเทพผู้สร้างดูเหมือนว่าข้อดีทั้งหลายจะอยู่ในตัวเขาหมดเลย คิ้วหนา เรียวตาหงส์ จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากบาง กลุ่มผมสีดำห้อยอยู่บนไหล่ เส้นตรงใต้กระดูกไหปลาร้า กล้ามเนื้อหน้าท้องแน่น และกล้ามท่อนแขนเป็นเส้น หลังมือที่วางอยู่ขอบถังไม้อาบน้ำเห็นเส้นปูดนูน อันทำให้รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งในสมัยโบราณการที่นางสามารถพบกับชายหนุ่มรูปงามได้ และเขาก็ชอบนางด้วย อาจเป็นผลบุญที่ครอบครัวของนางสั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษแต่ชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ดูเหมือนจะหลับไปสักพัก ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อ นางจึงหยิบกระพรวนทองเส้นเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อของนางต่งจื่ออวี๋กล่าวว่าต้องสั่นเจ้านี่ในตอนกลางคืน ถึงจะตามหาเขาได้ ถ้าลองสั่นดูตอนนี้คงจะไม่เป็นไรกระมังอินชิงเสวียนค่อนข้างชอบเสียงนี้ มันฟัง
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วงามนางมีความประทับใจที่ดีต่อเย่จั้น เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้อีกทั้งเขายังมีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และยังมีกุศโลบายอีกมากมาย หากสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ จะช่วยเย่จิ่งอวี้ได้มากโขหากเขาไปในตอนนี้ เย่จิ่งอวี้ก็จะไม่มีผู้ใดที่สามารถเชื่อถือได้อีกแล้ว“ในเมืองซุ่ยหานไม่มีนายพลท่านอื่นเลยหรือ?”“ตอนนี้มีเพียงผู้คุมเมืองสองนาย เกรงว่าจะสกัดกั้นได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”เย่จิ่งอวี้มาที่ด้านหน้าหน้าต่าง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อย“อันที่จริงเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้รับข่าวด่วนจากเมืองซุ่ยหาน”อินชิงเสวียนถอนหายใจออกมา“น่าเสียดายที่ท่านพ่อข้ากลับเมืองหลวงแล้ว มิเช่นนั้นคงมีรับสั่งพระราชโองการให้พวกเขาอยู่สกัดกั้นสักพักก่อน”“เป็นจริงดังนั้น จะรับสั่งราชโองการตอนนี้ก็สายไปแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างทำอะไรไม่ได้ และพูดกับหลี่เต๋อฝูว่า “รีบไปส่งข่าวให้เสด็จอาเข้าวัง”หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เย่จั้นก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปพยุงเขาขึ้น “เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี”เย่จั้นเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยืนอยู่ข้า